เมื่อวัณโรคตัวร้ายปะทะกับเจ้าแพนิค

กระทู้สนทนา
สวัสดีค่ะ วันนี้เป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้นำเรื่องของเรามาแชร์ ตลอดเวลา 9 เดือนที่ผ่านมา
ต้องกินยาทุกวัน (เม็ดใหญ่มากๆด้วย เพื่อรักษาโรควัณโรคและยาต่างๆอีกที่เราไม่ได้นับ) ที่เราต้องเอาเรื่องของเรามาโพสต์แชร์ให้กับทุกคนเพราะว่าเราบนเอาไว้กับท่านท้าว ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เอาไว้ค่ะ ว่าถ้าเราหายไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าโรควัณโรค เราจะเอาเรื่องราวของเรามาเล่าสู่กันฟัง
ขอเกริ่นก่อนนะค่ะ ว่าเราเป็นเด็กที่เคยเกเรมาก่อนพอถึงเวลาที่เราเริ่มป่วยก็เลยเริ่มเห็นคุณค่าของชีวิตเราเองมากขึ้นเริ่มอยากทดแทนบุญคุณพ่อแม่โดยการทำงานเยอะๆ เท่าที่เราจะทำได้
.
เริ่มแรกปี 2564 เดือนมิถุนายน เราเริ่มมีอาการไม่สบาย หายใจเข้าไม่ค่อยสะดวก อาการคือหายใจเข้าไม่เต็มปอดและเริ่มเป็นหนักขึ้นเรื่อยๆเหมือนมีเสมหะที่ติดที่คอตลอดเวลา เราก็คิดว่าเป็นโควิดรึเปล่า แต่โอกาสที่จะเป็นโควิดคือน้อยมากๆค่ะเพราะว่าเราไม่ได้ออกจากบ้านเลย ตอนนั้นรักษาตัวเองโดยการกินน้ำอุ่น น้ำร้อน กินยาละลายเสมหะที่ดีที่สุด (เม็ดฟู่) และก็กินยาแก้เจ็บคอตราลูกกตัญญู ก็เอ้อ อดทนมาทำแบบนั้นมาเรื่อย 1 เดือน สุดท้ายอาการไม่หาย จากที่เราไม่ไอก็เริ่มไอและเจ็บคอจริง
.
ครั้งแรกของการไปหาหมอที่ โรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้านที่เราไปหาบ่อยๆและเราก็เชื่อใจว่าไปที่นี่ยังไงก็ต้องหาย
พอไปถึงก็ตรวจคัดกรองโควิดค่ะ ไม่ได้เป็นก็ได้เข้าพบหมอ หมอตรวจเราตามปกติ จนเราเชื่อว่าเอ้อ..เราเป็นแค่หวัดลงคอ คุณหมอมีวิธีการพูดที่โอเคมากๆจนคนไข้อย่างเราเชื่อใจว่าโอเค เราเป็นแค่นี้ หลังจากนั้นเราก็กินยา กินยาชนิดที่ว่าแรงมากๆ มีความเบลอและเอ๋อไปเลยค่า
เรากินยาแรงๆที่หมอให้จนครบ 1 อาทิตย์ แต่ก็
.
ไปหาหมอที่โรงพยาบาลเดิมครั้งที่ 2 ค่ะ คราวนี้นัดหมอปอดที่เก่งๆ โดยคุณน้าของเราโทรถามพี่พยาบาลที่รู้จักและติดต่อให้เราไป
พอเราไปถึงขึ้นไปหาคุณหมอปอดโดนพยาบาลไล่ลงมาชั้น 1 ค่ะ ตอนแรกเราก็ไม่เข้าใจว่าทำไม เค้าคิดว่าเราเป็นโควิดมั้งแต่เราไม่มีอาการอะไรเลย เราก็เดินบ่นเป็นหมีกินผึ้งลงมาสักพักนึง หมอปอดที่เรานัดไว้ก็ลงมาค่ะ เราได้เข้าไปเจอหมอ เค้าก็ฟังปอด ตรวจเช็คทุกอย่างยกเว้นเอ็กซเรย์ แล้วบอกว่าเราเป็นภูมิแพ้ค่ะให้ยาแก้ภูมิแพ้มาทานและก็ให้ยาเม็ดฟู่มาอีก โอเคกลับบ้านพร้อมยาชุดใหม่ กินยาตามที่หมอแนะนำผ่านไป 1 อาทิตย์ อ๋อแต่ละครั้งที่ไปหาหมอก็ไม่เกิน 2,000 บาทนะค่ะ เราจะบอกว่าเราก็ยังไม่หายเหมือนเดิม เราก็เริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับอาการที่เราเป็นและแต่ละโรคที่ตรงกับอาการของเราก็คือโรคมะเร็งปอด โรคถุงลมโป่งพอง นู้นนี่นั่นที่เกี่ยวกับปอด เราเริ่มเครียดค่ะ ไปหาหมอครั้งที่ 3
.
การไปหาหมอครั้งที่ 3 คือไปเจอกับคุณหมอคนแรกที่เราไปเจอ คุณหมอเอาอีกแล้วค่ะ บอกว่าเราหลอดลมตีบ ตอนแรกเราสงสัยว่าเราเป็นกรดไหลย้อนรึเปล่าถามคุณหมอเยอะมากนู้นนี่นั่นเค้าก็ยังไม่ให้เราเอ็กซเรย์นะค่ะ แถมบอกว่าเราอายุเท่านี้เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นกรดไหลย้อน เห้อ เราก็เถียงหมอไม่ได้ บวกกับเราพยายามเข้าข้างตัวเองตามที่หมอบอก บอกตรงๆเราเริ่มท้อแล้วนะค่ะที่ต้องมาหาหมอหลายๆรอบ แต่เราก็ยังเอายามากิน ยาที่เรากินก้เป็นยาเดิมๆวนๆลูปแบบนั้น ผ่านไป 4 วันโอเค บอกที่บ้านว่าเราไม่ไหวแล้ว ไปเอ็กซเรย์เถอะ เพราะเราอยู่แบบอีกเราอาจจะเป็นบ้าเพราะนอนค้นหาในเน็ตทั้งวัน ในหัวคือ เป็นอะไรกันแน่? ทำไมไม่หาย? ทำไมหนักขึ้น? ทำไม? ทำไม? และทำไม? ก่อนไปหาหมอครั้งที่ 4 เรายกมือไหว้มะม๊าของเราว่าแบบขอร้องนะ ขอไปหาหมอครั้งนี้ครั้งสุดท้ายจะได้รู้ๆกันไปไม่ต้องมากินยาแบบไร้จุดหมายแบบนี้ เพราะที่บ้านเราเค้าก็ยังคิดว่าเราไม่ได้เป็นอะไรหนักๆ ไม่ได้เป็นอะไรเลย ป่วยและคิดไปเองมากกว่า จนเราร้องไห้ตาบวมตื่นเช้ามา เป็นไข้ เพราะ เหมือนตาเราอักเสบ มะม๊าเราเริ่มคิดว่าเราอาการไม่ดีล่ะ โอเคไปหาหมอก็ไป
.
ครั้งที่ 4 ของการไปหาหมอเราไปด้วยสภาพร่างกายที่แย่และไม่โอเครวมถึงจิตใจที่กังวล ระแวงด้วย เข้าไปเจอคุณหมอที่โรงพยาบาลเดิม คราวนี้เจอคุณหมอผู้หญิงค่อนข้างดุค่ะ เราบอกอาการพร้อมบอกหมอว่า วันนี้ขอเอ็กซเรย์ปอดด้วยนะค่ะ หมอบอกทันทีเลยค่ะ ไม่ต้องขอก็โดนเพราะมาหาหมอถี่ขนาดนี้ พร้อมกับบอกว่า อย่าชะล่าใจว่าไม่ได้ออกไปข้างนอกจะไม่เป็นโควิด เพราะคนเราทุกคนทีความประมาทคิดว่าไม่ออกไปก็คงไม่เป็น แต่อาหารการกิน หรือ อะไรก็มาพร้อมโควิดได้ หมอจับเราเอ็กซเรย์ปอดเลยค่ะ วันนั้นเรานั่งรอผลหน้าห้องกับปะป๊าเรานะค่ะ นั่งจับมือป๊าและบอกว่าไม่เป็นไรนะต่อให้เป็นโรคร้ายหรืออะไร จะสู้และพร้อมรักษา ป๊าเราค่อนข้างกังวลและกลัวเราจะเป็นอะไรร้ายแรงมากๆ นั่งรอกันไป 2 พ่อลูก หมอก็เดินมาแล้วชี้มาที่เราบอกรอแปปนึงนะค่ะ คุณหมอปอดกำลังมา ปอดเรามีความผิดปกติ 
*คือตอนนั้นตัวเราชาไปเลยนะค่ะ  ก็แบบต้องรอหมอปอดอีกครึ่งชั่วโมงเหมือนนานมากๆ สักพักเราเห็นหมอปอดคนเดิม ที่ตรวจเราครั้งที่ 2 ก็เดินลงมา เข้าไปในห้อง รอเค้าสักพัก พยาบาลเรียกเราให้เข้าห้อง หมอดูฟิล์มและไม่พูดอะไรเยอะ เค้าบอกว่าเราเป็นโรคชนิดหนึ่ง เรียกว่า “วัณโรคปอด” ค่ะ ในฟิล์มปอดของเราเห็นได้ชัดเจนมากๆ ว่ามันมีรูกลมๆหรือศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า “โพรง” นั่นเอง และแถมรอยโรคใหญ่และยาวมากๆ หมอไม่ได้ให้เราทำอะไรต่อนอกจากเอายามากิน 2 อาทิตย์และกลับไปหาหมออีกครั้งแต่ต้องเก็บเสมหะมาให้หมอตอนหมอนัดครั้งที่ 2 ด้วย ช่วงนั้นเราเริ่มคุยกับคนๆนึงด้วยเค้าก็อยากเจอเรามาก แต่เราต้องกักตัวคล้ายคนเป็นโควิดเลยค่ะ แยกห้องนอน แยกกิน เพราะหมอบอกเราสามารถแพร่เชื้อได้ค่ะ
ในระหว่างที่เรากินยา 2 อาทิตย์แรกเนี้ยค่ะ เรามีคนคุย เค้าอยากเจอเรามากใช่มั้ยค่ะ แต่เราออกจากบ้านไม่ได้ ไปไหนมาไหนในบ้านก็ต้องใส่แมสเพราะกลัวคนที่บ้านจะติด ในช่วงนั้นจิตใจเราไม่ค่อยดีเลย ผสมกับเรากินยาน่าจะมีผลกับตัวเรามากพอสมควร ทำให้เราเจ็บหน้าอก เราเลยแพนิคคิดว่าเราเป็นมะเร็งเต้านมอีกช่วงนั้นเราน้ำหนักลดจาก 52 เหลือ 46 ผอมเหลือแต่กระดูกคนที่บ้านเราคือเป็นห่วงเรามากๆแต่ช่วงนั้นหมอที่รักษาวัณโรคบอกว่า คนที่เป็นวัณโรคส่วนใหญ่จะน้ำหนักลดไม่อยากทานอะไร มีเสลดหรือเสมหะ อาการมันดูค่อนข้างยากนะค่ะ เราชอบลดน้ำหนักค่ะเลยไม่ได้สังเกตคนที่บ้านก็ไม่สังเกตค่ะ คิดว่าเออเราเครียดเรื่องเรียนไม่กินอะไรเป็นรื่องปกติ แต่จริงๆมันคือผลจากโรคค่ะ กลับมาเข้าเรื่องที่เราเจ็บหน้าอกคิดว่าตัวเองเป็นมะเร็งเต้านม เพื่อนๆรู้มั้ยว่า ภาวะที่เราเป็นมันเริ่มไปผสมกับอาการแพนิคและซึมเศร้าแล้วค่ะ เรากลัวไปหมด ปวดหลังเราก็ค้นข้อมูล ปวดอะไรคือค้นในอินเตอร์เน็ตหมด ดังนั้นเราขอแนะนำเพื่อนๆนะค่ะ ไปหาหมออย่าคิดไปเองเหมือนเราค่ะ อาจจะเป็นโรคแพนิคในระยะยาวเหมือนเราได้ ขอลงรายละเอียดเรื่องแพนิคนิดหน่อยก่อนนะ 
เราไปหาหมออีกแล้วเพราะว่าเรากลัวจะเป็นมะเร็งเต้านม เปิดหน้าอกให้น้าดูเลยค่ะ ทั้งที่เราเป็นคนขี้อายมาก เปิดให้คนที่บ้านช่วยดูช่วยคลำ จนน้าของเราขึ้นมาหาเราก่อนแยกห้องไปนอน ตอนนั้นน้าเราร้องไห้และบอกว่าไม่เป็นไรนะ เป็นอะไรไปรักษา พรุ่งนี้ไปอัลตร้าซาวด์กันจะได้ไม่ต้องเครียดและกินข้าวได้ น้าออกเงินให้เอง เพื่อซื้อความสบายใจของเรา (น้าเหมือนแม่คนที่ 2 ของเรา) 
.
วันรุ่งขึ้นจัดเลยค่ะ ไปโรงพยาบาลเดิมหน้าบ้าน อัลตร้าซาวด์เต้านม ตอนนั้นเราบอกคนที่เราคุยว่า ถ้าวันนึงเราเป็นอะไรขอเลิกคุยนะ คนที่เราคุยเค้าเป็นคนดีมากๆค่ะ เค้าร้องไห้พร้อมบอกว่า เป็นอะไร ไปตรวจอะไรบอกหน่อย เราก็โอเคใจอ่อนบอกเค้าไป เค้าทำเป็นเข้มแข็งนะค่ะในโทรศัพท์ ทำแบบเธอจะไม่เป็นอะไร จนมาตอนท้ายเค้าเฉลยให้เราฟังว่าเค้าโทรไปหาแม่ ใหม่ถามเพื่อนแม่ที่เป็นมะเร็งเต้านมว่ามีอาการยังไงต้องรักษายังไง (ขอบคุณมากๆนะค่ะที่ดูแลกันมาจนถึงตอนนี้) วันนั้นเราจำได้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเราคือ ยาดมค่ะ วันนั้นจำได้ตื่นมาไม่อาบน้ำเลย แปรงฟันล้างหน้ารีบโทรไปหาโรงพยาบาลจองคิว ตอนเราไปถึง เราจับมือน้าเราแน่นเลยค่ะ น้าเราก็ต้องทำเข้มแข็งกับเรา ไม่แสดงความอ่อนแอต่อหน้าเรา ตอนเราเข้าไปอัลตร้าซาวด์นั่นคือครั้งแรกที่เราได้อัลตร้าซาวด์ ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง พอเราเดินออกมา น้าเราถามเป็นไงมั่ง เราบอกไม่รู้ เค้าไม่ได้บอกว่าเป็นยังไง รอหมออ่านทีเดียว รีบเดินกลับไปห้องหมอรอสักพัก หมออ่านบอกว่าเราเป็นแค่ซีสต์ค่ะ เล็กๆไม่กี่มิล และอาจจะมาพร้อมกับรอบเดินที่ไข่กำลังตก โล่งใจไปอีกค่ะ ตอนเดินกลับบ้านน้าเราก็สารภาพว่า ใจหายกลัวด้วย พร้อมกับถามเราว่า เป็นไงกลับบ้านกินข้าวลงรึยัง ? *ขอแนะนำให้สาวๆไปตรวจมะเร็งเต้านมกันบ้างนะค่ะ เพื่อความสบายใจ อย่าปล่อยให้มีอาการที่ไม่ดีแล้วค่อยไปตรวจ เสียเงินนิดหน่อยซื้อสุขภาพที่ดีและความสบายใจค่ะ
.
หลังจากเรากินยาวัณโรคไปได้ไม่นานสัก  1 เดือน เราก็มีอาการปวดท้องอีกค่ะ แต่อาการปวดท้องของเรามันประหลาดมากๆคือปวดที่ท้องน้อยข้างขวา ปวดบีบๆเหมือนประจำเดือนทั้งที่ไม่ได้เป็นประจำเดือน ปวดอยู่ตลอดเวลานะค่ะ ไม่หาย เราก็เอ้ะเกิดอะไรขึ้นอีกแล้ว ตอนนั้นเราเจอกับแฟนเราตัวเป็นๆแล้วนะค่ะ แฟนเราพาเราไปฉีดวัคซีนด้วย และเราไม่ปิดบังแฟนเราเลยนะค่ะว่าเรากำลังเป็นโรคอะไรอยู่ตอนนั้นคิดว่าถ้าเค้ารับไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เราก็ยังใช้ชีวิตคนเดียวได้ มีคนในครอบครัวอยู่ข้างๆ แต่แฟนเราไม่รังเกียจเลยและสงสารเราทุกครั้งที่เรารู้สึกเจ็บปวดที่ร่างกาย หรือ มีอาการแพนิค กลับมาที่อาการปวดท้องเราไปหาหมอค่ะ ที่โรงพยาบาลเดิม หาหมอที่เก่งด้วยค่ะ เพราะว่าเราหาจากพันทิปนี่แหละค่ะจากที่เพื่อนๆคนอื่นแนะนำ ตัดสินใจไปกับคุณแฟน ไปถึงบอกอาการหมอ บอกว่า เราเป็นโรคนี้อยู่ กินยารักษาอยู่ หมอก็เปิดข้อมูลดูเพราะโรงพยาบาลที่เราไปมันเครือเดียวกันกับที่รักษาวัณโรคอยู่ หมอเปิดดูพร้อมถาม ตรวจเสมหะมั้ยนู้นนี่นั่น ทำไมตรวจเจอครั้งแรกไม่ตรวจเสมหะเลย เราก็เลยลังเลแล้ว เออทำไมหมอไม่ตรวจตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ เราก็เกิดความกังวลละนิดนึงแต่คิดว่าโอเค หมอแต่ละคนรักษาไม่เหมือนกันแหละ หมอที่รักษาอาการปวดท้องของเราก็คลำท้องดูคุยกับเราเกือบๆชั่วโมงนะค่ะ ชวนคุยนู้นนี่นั่น เราก็กลัวเป็นมะเร็งลำไส้อีกค่ะ เพราะช่วงนั้นเราอึออกมาคือมีเลือดปนๆด้วย แต่คนที่ทานยาวัณโรคจะรู้ดีว่า ปัสสาวะจะเป็นสีส้มและน้องอึของเราก็เป็นสีส้มไม่ต่างกันค่ะ หมอคลำที่ท้องกดจับ พร้อมดูภาพประกอบที่ถ่ายน้องอึให้หมอดูด้วย ช่วงนั้นเราแพนิคเรื่องปวดท้องนี่ค่ะเข้าห้องน้ำทีไร ถ่ายรูปด้วยทุกครั้ง.. หมอบอกไม่น่าจะเป็นอะไร ให้เราไปนอนที่เตียงตรวจทวารหนักให้ด้วยเพื่อให้เราสบายใจและชัวส์ๆ สรุปหมอบอกวาเราเป็นลำไส้แปรปรวน ให้ยามากินอีกค่ะ รวมทั้งยาแก้แพนิค แก้กังวลด้วยกินยาแล้วจะง่วงนอนค่ะ หมอทำนัดให้บอกว่าถ้าอีก 1 อาทิตย์ไม่หายให้มาแต่หมอบอกส่งท้ายว่ายังไงก็น่าจะหายและหายจริงๆค่ะ ผ่านไปอีก 1 อาการ ดีที่ไม่ใช่ไส้ติ่ง !
.
อ๋อ ก่อนที่เราจะไปหาหมอรักษาอาการปวดท้องคนนี้เราไปหาหมอสูติมาก่อนด้วยนะค่ะ อัลตร้าซาวด์อีกค่ะที่ช่องคลอดว่าเป็นอะไรรึป่าว.. สุดท้ายเจอค่ะ ซีสต์เล็กๆไม่ได้มีก้อนเนื้ออะไร แถมหมอบอกด้วยว่า เรามดลูกสวย นี่ก็เป็นเรื่องดีๆในความเจ็บตัวของเรานะค่ะ โล่งใจไป
นี่คือแค่ส่วนเล็กๆของเรื่องเรานะค่ะ ตลอดเวลาที่รักษาโรควัณโรคนี้เรารู้สึกว่ายาวนานมากค่ะ เดี๋ยวเรามาต่อนะค่ะ

* พิมพ์ผิดหรือตกหล่นขออภัยนะค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่