สวัสดีครับ ผมตัดสินใจเขียนเรื่องนี้ขึ้นเพื่ออยากแบ่งปันประสบการณ์ของตัวเอง เผื่อเป็นประโยชน์กับหลายคนที่มีปัญหาการได้ยินนะครับ
ตอนที่1 จุดเริ่มต้นสู่การผ่าตัดประสาทหูเทียม
ตั้งแต่จำความได้ผมก็ใส่เครื่องช่วยฟังตั้งแต่เรียนอนุบาลแล้วครับ สาเหตุที่เป็นแบบนี้มีคนบอกแม่ว่าอาจเป็นเพราะตอนผมคลอดก็ได้ โดยแม่เล่าให้ผมฟังว่าผมอยู่ในท้องแม่ 10 เดือนไม่ใช่ 9 เดือนเหมือนคนทั่วไป เพราะตอนเริ่มตั้งครรภ์แม่ได้ไปฝากครรภ์กับคุณหมอท่านหนึ่ง แต่พอถึงช่วงเวลาที่กำหนดคลอดแม่ไม่ได้เจ็บท้องจึงไม่ได้ไปหาหมอ ต่อมาอีก 1 เดือนแม่มีอาการเจ็บท้องจึงไปโรงพยาบาลซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงกลางดึก พยาบาลจึงโทรไปหาหมอ หมอไม่สะดวกที่จะมาทำคลอดให้จึงบอกพยาบาลว่าให้คนไข้กินยานอนหลับไปก่อนหมอจะไปทำคลอดให้ตอนเช้า จากนั้นแม่ผมก็หลับไปเพราะฤทธิ์ยานอนหลับ
รุ่งเช้าหมอมาทำคลอดให้ แม่ผมยังมีอาการสะลึมสะลือจากยานอนหลับจึงไม่มีแรงเบ่ง หมอต้องใช้เครื่องคีบหัวเด็กออกมา แม่บอกว่าตอนคลอดออกมามีสิ่งผิดปกติคือผมตัวเขียว มีอาการหอบ เหมือนกับว่าถึงเวลาคลอดแล้วยังไม่ได้คลอดจึงเหนื่อยหอบประมาณนั้น จากนั้นพอผมโตขึ้นสัก 3-4 ขวบพ่อกับแม่เริ่มสังเกตว่าการได้ยินของผมมีความผิดปกติเพราะพูดคำนึงได้ยินเป็นอีกคำนึงและบางครั้งก็เรียกไม่ได้ยิน จึงพาไปหาหมอ และหลังจากนั้นมาผมก็เริ่มใส่เครื่องช่วยฟังตั้งแต่เริ่มเรียนอนุบาล
สมัยก่อนเทคโนโลยียังไม่เจริญเหมือนปัจจุบัน เครื่องช่วยฟังที่ผมใช้จึงเป็นแบบ Analog มีลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่กว่ากล่องไม้ขีดไฟประมาณ 1.5 เท่า และมีสายหูฟังเข้าหูทั้งสองข้าง มีเสียงดังตลอดเวลา เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงซ่าๆ เหมือนเสียงทีวีตอนที่ไม่มีสัญญาณเลย 55 เนื่องจากตอนนั้นผมยังเล็กมากจึงไม่ค่อยรู้เรื่องใส่เครื่องช่วยฟังตลอดทั้งวันไม่ถอดออกเลยจึงทำให้ช่องหูอักเสบจนต้องหยุดใช้เครื่อง ทำให้บางวันจึงไม่ต้องใส่เครื่องช่วยฟังไปโรงเรียนซึ่งผมก็ชอบมากเพราะไม่ต้องทนฟังเสียงซ่าๆ อีก
พอโตขึ้นมาอีกหน่อยช่วงสมัยมัธยม ตอนเรียนก็จะลำบากหน่อย ต้องไปนั่งแถวหน้าสุดเพื่อให้ได้ยินเสียงครู แต่บางครั้งเรียนวิทย์ในห้องทดลองหรือเรียนลูกเสือ ต้องนั่งห่างครูผมก็ไม่ได้ยินเสียงครูพูดโดยเฉพาะครูผู้หญิง ผมต้องจ้องเขม็งอ่านปากครูตลอดเวลา อ่านปากได้บ้างไม่ได้บ้าง บางครั้งต้องถามเพื่อนว่าครูพูดอะไรบ้าง ต้องพยายามมากกว่าคนอื่น แต่ก็อุตส่าห์เรียนจบวิศวะลาดกระบังมาจนได้ 555 แม้จะผ่านมาแบบกระท่อนกระแท่นก็ตาม (เกรดเฉลี่ย 2 ต้นๆ เองครับ)
และเมื่อก่อนผมพูดเสียงตัวอักษร S เสียง ส.เสือ ซ.โซ่ ไม่ได้ครับ เพื่อนบอกว่าพูดเป็นเสียง จ.จาน เป็นเพราะผมไม่ได้ยินเสียงรอดไรฟันจึงทำเสียงนั้นไม่ได้ จนเพื่อนๆ ต้องช่วยกันแนะนำการออกเสียงจึงพูดได้ตอนช่วงเรียนมหาลัยนี่แหละครับ
ที่จริงเมื่อสมัย 30 กว่าปีที่แล้ว ตอนผมอายุประมาณ 16-17 ปีได้ ก็เพิ่งมีประสาทหูเทียมเข้ามาในประเทศไทย แม่ก็พาผมไปหาหมอที่ผ่าตัดประสาทหูเทียมคนแรกๆ ของไทย หมอตรวจดูแล้วบอกว่ายังไม่ควรผ่า เพราะการได้ยินของผมตอนนั้นยังไม่แย่มาก หมอบอกว่ามันเหมาะกับคนที่สูญเสียการได้ยินมากๆหรือคนที่หูหนวกไปเลย เพราะถ้าผ่าแล้วเกิดไม่ได้ผลขึ้นมาก็ไม่เสียหายอะไรมาก และหูผมตอนนั้นยังได้ยินดีกว่าประสาทหูเทียมสมัย 30 กว่าปีที่แล้วนั้นอีก เลยล้มเลิกความคิดที่จะผ่าตัดประสาทหูเทียมไป มาใช้เครื่องช่วยฟังเหมือนเดิม แต่ใช้ไปก็ยังฟังไม่ดีขึ้น เพราะได้ยินเสียงดังขึ้นก็จริงแต่ก็ยังจับคำพูดไม่ค่อยได้ จึงเลิกใส่เครื่องช่วยฟังตั้งแต่หลังจากเรียนจบ
และจากการที่ไม่ได้ใส่เครื่องช่วยฟังมา 26 ปีแล้ว ปัจจุบันการได้ยินของผมแย่ลงกว่าเดิมมากโดยที่ผมไม่รู้ตัว คนรอบข้างก็พูดกันว่าหูผมมันแย่ลงกว่าเดิมจริงๆ พอลองไปตรวจการได้ยินก็พบว่ามันแย่จนเครื่องช่วยฟังไม่ได้ผลแล้ว และตอนนี้คนก็ใส่แมสก์กันหมดฟังเสียงคำพูดอะไรไม่รู้เรื่องเลย ขณะเดียวกันเทคโนโลยีของประสาทหูเทียมก็พัฒนาขึ้นกว่าเดิมมาก สวนทางกับการได้ยินของผมที่แย่ลงมาก จึงต้องตัดสินใจผ่าตัดประสาทหูเทียมครับ
ดังนั้นใครที่มีปัญหาการได้ยินและหมอบอกให้ใส่เครื่องช่วยฟังท่านต้องใส่นะครับ การได้ยินจะได้ไม่ต้องแย่ลงจนต้องผ่าตัดประสาทหูเทียมเหมือนผม เพราะผมได้รู้จักเพื่อนคนนึงที่เค้าใส่เครื่องช่วยฟังตลอดมาตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน การได้ยินของเค้าไม่ตกลงไปจากเดิมเลยครับ
เส้นสีแดงคือเส้นแสดงการได้ยินจากความทรงจำของผมสมัยวัยรุ่น เพราะใบแสดงผลการได้ยินตัวจริงมันหายไปนานแล้วครับ
เดี๋ยวตอนหน้าค่อยเขียนเรื่องการผ่าตัดประสาทหูเทียมต่อนะครับ
รีวิวการผ่าตัดประสาทหูเทียม
ตอนที่1 จุดเริ่มต้นสู่การผ่าตัดประสาทหูเทียม
ตั้งแต่จำความได้ผมก็ใส่เครื่องช่วยฟังตั้งแต่เรียนอนุบาลแล้วครับ สาเหตุที่เป็นแบบนี้มีคนบอกแม่ว่าอาจเป็นเพราะตอนผมคลอดก็ได้ โดยแม่เล่าให้ผมฟังว่าผมอยู่ในท้องแม่ 10 เดือนไม่ใช่ 9 เดือนเหมือนคนทั่วไป เพราะตอนเริ่มตั้งครรภ์แม่ได้ไปฝากครรภ์กับคุณหมอท่านหนึ่ง แต่พอถึงช่วงเวลาที่กำหนดคลอดแม่ไม่ได้เจ็บท้องจึงไม่ได้ไปหาหมอ ต่อมาอีก 1 เดือนแม่มีอาการเจ็บท้องจึงไปโรงพยาบาลซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงกลางดึก พยาบาลจึงโทรไปหาหมอ หมอไม่สะดวกที่จะมาทำคลอดให้จึงบอกพยาบาลว่าให้คนไข้กินยานอนหลับไปก่อนหมอจะไปทำคลอดให้ตอนเช้า จากนั้นแม่ผมก็หลับไปเพราะฤทธิ์ยานอนหลับ
รุ่งเช้าหมอมาทำคลอดให้ แม่ผมยังมีอาการสะลึมสะลือจากยานอนหลับจึงไม่มีแรงเบ่ง หมอต้องใช้เครื่องคีบหัวเด็กออกมา แม่บอกว่าตอนคลอดออกมามีสิ่งผิดปกติคือผมตัวเขียว มีอาการหอบ เหมือนกับว่าถึงเวลาคลอดแล้วยังไม่ได้คลอดจึงเหนื่อยหอบประมาณนั้น จากนั้นพอผมโตขึ้นสัก 3-4 ขวบพ่อกับแม่เริ่มสังเกตว่าการได้ยินของผมมีความผิดปกติเพราะพูดคำนึงได้ยินเป็นอีกคำนึงและบางครั้งก็เรียกไม่ได้ยิน จึงพาไปหาหมอ และหลังจากนั้นมาผมก็เริ่มใส่เครื่องช่วยฟังตั้งแต่เริ่มเรียนอนุบาล
สมัยก่อนเทคโนโลยียังไม่เจริญเหมือนปัจจุบัน เครื่องช่วยฟังที่ผมใช้จึงเป็นแบบ Analog มีลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่กว่ากล่องไม้ขีดไฟประมาณ 1.5 เท่า และมีสายหูฟังเข้าหูทั้งสองข้าง มีเสียงดังตลอดเวลา เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงซ่าๆ เหมือนเสียงทีวีตอนที่ไม่มีสัญญาณเลย 55 เนื่องจากตอนนั้นผมยังเล็กมากจึงไม่ค่อยรู้เรื่องใส่เครื่องช่วยฟังตลอดทั้งวันไม่ถอดออกเลยจึงทำให้ช่องหูอักเสบจนต้องหยุดใช้เครื่อง ทำให้บางวันจึงไม่ต้องใส่เครื่องช่วยฟังไปโรงเรียนซึ่งผมก็ชอบมากเพราะไม่ต้องทนฟังเสียงซ่าๆ อีก
พอโตขึ้นมาอีกหน่อยช่วงสมัยมัธยม ตอนเรียนก็จะลำบากหน่อย ต้องไปนั่งแถวหน้าสุดเพื่อให้ได้ยินเสียงครู แต่บางครั้งเรียนวิทย์ในห้องทดลองหรือเรียนลูกเสือ ต้องนั่งห่างครูผมก็ไม่ได้ยินเสียงครูพูดโดยเฉพาะครูผู้หญิง ผมต้องจ้องเขม็งอ่านปากครูตลอดเวลา อ่านปากได้บ้างไม่ได้บ้าง บางครั้งต้องถามเพื่อนว่าครูพูดอะไรบ้าง ต้องพยายามมากกว่าคนอื่น แต่ก็อุตส่าห์เรียนจบวิศวะลาดกระบังมาจนได้ 555 แม้จะผ่านมาแบบกระท่อนกระแท่นก็ตาม (เกรดเฉลี่ย 2 ต้นๆ เองครับ)
และเมื่อก่อนผมพูดเสียงตัวอักษร S เสียง ส.เสือ ซ.โซ่ ไม่ได้ครับ เพื่อนบอกว่าพูดเป็นเสียง จ.จาน เป็นเพราะผมไม่ได้ยินเสียงรอดไรฟันจึงทำเสียงนั้นไม่ได้ จนเพื่อนๆ ต้องช่วยกันแนะนำการออกเสียงจึงพูดได้ตอนช่วงเรียนมหาลัยนี่แหละครับ
ที่จริงเมื่อสมัย 30 กว่าปีที่แล้ว ตอนผมอายุประมาณ 16-17 ปีได้ ก็เพิ่งมีประสาทหูเทียมเข้ามาในประเทศไทย แม่ก็พาผมไปหาหมอที่ผ่าตัดประสาทหูเทียมคนแรกๆ ของไทย หมอตรวจดูแล้วบอกว่ายังไม่ควรผ่า เพราะการได้ยินของผมตอนนั้นยังไม่แย่มาก หมอบอกว่ามันเหมาะกับคนที่สูญเสียการได้ยินมากๆหรือคนที่หูหนวกไปเลย เพราะถ้าผ่าแล้วเกิดไม่ได้ผลขึ้นมาก็ไม่เสียหายอะไรมาก และหูผมตอนนั้นยังได้ยินดีกว่าประสาทหูเทียมสมัย 30 กว่าปีที่แล้วนั้นอีก เลยล้มเลิกความคิดที่จะผ่าตัดประสาทหูเทียมไป มาใช้เครื่องช่วยฟังเหมือนเดิม แต่ใช้ไปก็ยังฟังไม่ดีขึ้น เพราะได้ยินเสียงดังขึ้นก็จริงแต่ก็ยังจับคำพูดไม่ค่อยได้ จึงเลิกใส่เครื่องช่วยฟังตั้งแต่หลังจากเรียนจบ
และจากการที่ไม่ได้ใส่เครื่องช่วยฟังมา 26 ปีแล้ว ปัจจุบันการได้ยินของผมแย่ลงกว่าเดิมมากโดยที่ผมไม่รู้ตัว คนรอบข้างก็พูดกันว่าหูผมมันแย่ลงกว่าเดิมจริงๆ พอลองไปตรวจการได้ยินก็พบว่ามันแย่จนเครื่องช่วยฟังไม่ได้ผลแล้ว และตอนนี้คนก็ใส่แมสก์กันหมดฟังเสียงคำพูดอะไรไม่รู้เรื่องเลย ขณะเดียวกันเทคโนโลยีของประสาทหูเทียมก็พัฒนาขึ้นกว่าเดิมมาก สวนทางกับการได้ยินของผมที่แย่ลงมาก จึงต้องตัดสินใจผ่าตัดประสาทหูเทียมครับ
ดังนั้นใครที่มีปัญหาการได้ยินและหมอบอกให้ใส่เครื่องช่วยฟังท่านต้องใส่นะครับ การได้ยินจะได้ไม่ต้องแย่ลงจนต้องผ่าตัดประสาทหูเทียมเหมือนผม เพราะผมได้รู้จักเพื่อนคนนึงที่เค้าใส่เครื่องช่วยฟังตลอดมาตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน การได้ยินของเค้าไม่ตกลงไปจากเดิมเลยครับ
เส้นสีแดงคือเส้นแสดงการได้ยินจากความทรงจำของผมสมัยวัยรุ่น เพราะใบแสดงผลการได้ยินตัวจริงมันหายไปนานแล้วครับ
เดี๋ยวตอนหน้าค่อยเขียนเรื่องการผ่าตัดประสาทหูเทียมต่อนะครับ