เรื่องเล่าที่ 16 : เรื่องเล่าผีกะ : ระดับ 3.5 กะโหลก
เมื่อตอนที่ยังเด็ก คุณตาเคยเล่าเรื่องสมัยก่อนให้ฟังว่า สมัยที่คุณตายังหนุ่มๆ นั้น วันไหนฝนตกฟ้าร้องหนักๆ คุณตาจะออกไปส่องกบส่องเขียดตามทุ่งนา
คืนนึงหลังฝนหยุดตกแล้ว คุณตาได้นัดกลุ่มเพื่อนที่ชอบไปหากบหาเขียดด้วยกันเป็นประจำไว้ แต่เพราะว่ามันดึกมากแล้ว ก็เลยไม่มีใครไปด้วยเลย ด้วยความที่อยากหาเงินมาจุนเจือครอบครัว คุณตาเลยตัดสินใจที่จะไปคนเดียว
หลังเตรียมตัวเสร็จแล้ว คุณตาก็ออกเดินทางไปยังไรนาของที่บ้านเหมือนอย่างทุกที ดึกดื่นมืดค่ำ กลางทุ่งนาเต็มไปด้วยเสียงกบร้อง ตอนนั้นเป็นเวลาดึกมาก ในสมัยนั้นแม้แต่ไฟกิ่งข้างทางก็ยังไม่มี แถมบ้านที่คุณตาอาศัยอยู่ก็เป็นเพียงบ้านนอกที่ห่างไกลความเจริญแบบสุดๆ แสงเดียวที่พอจะส่องดูทางได้ก็มีเพียงไฟฉายบนหัวเพียงเท่านั้น
คุณตาเล่าว่า ตอนที่กำลังจับกบเพลินๆ อยู่นั้นก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง มันเป็นเสียงที่แปลกมากจนคุณตาอดสงสัยไม่ได้ เลยกะว่าจะเดินไปดู ในใจก็เริ่มกลัวว่าจะใครแอบมาขโมยหรือทำอะไรในไร่นาของที่บ้านหรือไม่ ที่สุดเขตของไร่นาบ้านคุณตานั้นติดกับป่า คุณตาเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ เหมือนเป็นเงาของคน กำลังก้มๆ เงยๆ คล้ายกับทำอะไรอยู่ ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ เสียงแปลกๆ ที่ได้ยินก็ยิ่งดัง แถมเสียงของกบและเขียดแถวนั้นก็ร้องระงมดังกว่าที่อื่น แวบแรกคุณตาคิดว่าเป็นคู่อริของที่บ้าน มาวางยาข้าวช่วงออกรวง เลยตะโกนเสียงดังออกมาว่า เห้ย!!!
คุณตารีบวิ่งไปที่เงานั้นก่อนจะขว้างสุ่มที่ถืออยู่ในมือออกไป ตอนที่ไฟฉายบนหัวส่องไปที่เงานั้น คุณตาใจหายวาบ เพราะภาพที่เห็นทำเอาคุณตารู้สึกขนลุก ใบหน้าชายแก่ที่ดูคุ้นหน้า สองมือของเขากำกบตัวใหญ่ที่ส่วนท้องเป็นแผลเหวอะหวะจนเครื่องในทะลักออกมา บริเวณริมฝีปากของชายแก่เปรอะไปด้วยคาบเลือด สายตาของชายแก่ที่มองมายังคุณตาดูมุ่งร้าย จนคุณตารู้สึกหวาดกลัว พอเตรียมตัวจะวิ่งหนี ชายแก่ก็คว้ามีดจากที่ไหนไม่รู้มาไล่ฟันคุณตาทันที
คุณตาร้องเสียงหลงและรีบวิ่งหลบทันที คุณตาบอกว่าวิ่งหนีจากตรงนั้นมาไกลมาก แต่ชายแก่ก็ยังไม่เลิกไล่ฟันคุณตาสักที จนคุณตาต้องวิ่งหนีเข้าไปที่วัด ตอนที่เข้าประตูวัดไปนั้น มีดที่ชายแก่ฟันลงมา เฉียดโดนหลังคุณตา ทำให้มีเลือดออก แต่คุณตาก็ยังกัดฟันทน วิ่งไปกุฏิของหลวงพี่ที่รู้จักเพื่อขอความช่วยเหลือ ตอนนั้นคุณตาทั้งเหนื่อยจนแข้งขาอ่อนแรง ทั้งยังขวัญเสียจากการโดนไล่ฆ่า ทั้งยังผวากับภาพติดตาของชายแก่ กว่าจะตั้งสติได้ ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว
คุณตาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้หลวงพี่ฟัง คำตอบที่ได้มานั้นทำเอาคุณตารู้สึกหวาดกลัวอีกครั้ง ชายแก่ที่คุณตาเจอนั้น หลวงพี่บอกว่ามันคือผีกะ คงออกมาหาอะไรกิน แล้วถูกคุณตาเห็นหน้าเข้า กลัวว่าจะถูกจับได้ ก็เลยพยายามจะฆ่าคุณตาเพื่อปิดปาก หลวงพี่ยังเตือนให้คุณตาเก็บเนื้อเก็บตัวช่วงนี้ไว้ดีๆ พระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้วอย่าออกไปไหนเด็ดขาด เพราะตอนนี้คุณตากำลังถูกผีกะหมายหัวเอาไว้อยู่
วิธีแก้เรื่องนี้มีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือต้องให้เจ้าของผีกะตัวนั้นสั่งให้เลิกยุ่งกับคุณตา ซึ่งมันก็เป็นเรื่องยากสำหรับคุณตาอีกอยู่ดี ที่จะหาตัวเจ้าของของผีกะตัวนั้น เพราะในคืนนั้น ด้วยความที่มันมืดมาก คุณตาเลยเห็นหน้าของผีกะไม่ชัด รู้สึกเพียงแค่หน้าตาดูคุ้นๆ แต่นึกไม่ออกว่าเป็นใคร เลยไม่รู้ว่าเจ้าของผีกะเป็นใคร
ผีกะของพื้นที่ที่คุณตาอาศัยอยู่นั้นก็คือผีที่บรรพบุรุษเคยเลี้ยงไว้แล้วส่งต่อให้ลูกหลาน ถ้าลูกหลานรับเลี้ยงไว้ผีกะก็จะคอยดูแลปกป้อง แต่ถ้าลูกหลานเลือกที่จะไม่เลี้ยงต่อ ผีกะก็จะตายตามเจ้าของเก่าไป มีบางกรณีที่ผีกะไม่ยอมตายตามเจ้าของเก่าและกลายไปเป็นผีสัมภเวสีเร่ร่อน ลักษณะของผีกะนั้นจะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับเจ้าของของตัวเองเลย หากอยากรู้ว่าเป็นผีกะของใคร ก็ให้จำหน้าผีกะนั้นไว้ดีๆ และเพราะอย่างนี้เอง เลยมักจะมีคนตายบ่อยๆ จากการเห็นหน้าของผีกะ เพราะหากโดนเห็นหน้าเข้า ตัวเจ้าของนั้นจะถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้าน ส่วนผีกะก็จะโดนฆ่าตาย ซึ่งคุณตาเองก็ไม่ทราบว่าฆ่าด้วยวิธีไหน
คุณตาเล่าเรื่องนี้ให้คนที่บ้านฟัง ทุกคนต่างก็พากันตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งยังตำหนิคุณตาเรื่องที่ออกไปหากบหาเขียดตอนกลางคืนจนเกิดเรื่อง แต่ทุกคนก็ยังคอยช่วยคุณตาและทำตามคำเตือนของหลวงพี่ นั่นก็คือ พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ทุกคนจะปิดบ้านปิดประตูไม่ออกไปไหนกัน
เย็นวันถัดมา ขณะที่ทุกคนกำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ในบ้าน ก็มีเสียง ปัง!!! ดังขึ้น เสียงเหมือนของแข็งๆ ตกลงบนหลังคา ซึ่งเสียงนี้ดังขึ้นตรงจุดที่ทุกคนนั่งกินข้าวกันพอดี แต่เพราะรู้กันดีว่า ถ้าหากมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้น ห้ามใครร้องทักเด็ดขาด เพราะงั้นพอได้ยินเสียง ทุกคนก็ยังคงกินข้าวกันต่อไปเรื่อยๆ ตกดึกคนในบ้านยังได้ยินเสียงคนวิ่งเอาไม้ตีรอบบ้านตลอดทั้งคืนอีกด้วย
เช้าวันถัดมา คุณตาและพี่เขยก็ออกไปสำรวจรอบบ้าน ก็พบว่าเสียงดังเมื่อวานนี้เกิดจากก้อนหินก้อนใหญ่ ถูกโยนใส่หลังคา และแถวหลังบ้านก็มีไม้ไผ่ปลายแหลมปักอยู่รอบทางเข้า ลักษณะคล้ายถูกขว้างเข้ามา คุณตาและพี่เขยปรึกษากันว่า ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้แล้ว เพราะกลัวว่าคนในครอบครัวจะโดนลูกหลงไปด้วย
คุณตาและพี่เขยเลยวางแผนกันว่า วันนี้จะซุ่มดักผีกะเพื่อดูหน้าว่าเป็นใคร และเพื่อไม่ให้เป็นเรื่องใหญ่ ก็จะแอบไปหาเจ้าของเงียบๆ เพื่อบอกให้เจ้าของสั่งให้ผีกะนั้นเลิกรังควานคุณตาและครอบครัว พอฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี คุณตากับพี่เขยก็เตรียมตัว
ข้างๆ บ้านจะมีห้องเก็บของอยู่ ซึ่งจะมีรูเล็กๆ ส่องดูข้างนอกได้ โดยก่อนที่คุณตาและพี่เขยจะเข้าไปซ่อนในนั้น ก็ได้ฆ่าไก่แล้วเอาศพวางไว้แถวนั้น โดยที่คุณตาเอาเส้นเอ็นตกปลาร้อยไว้กับศพ กะไว้ว่าจะดึงเส้นเอ็นผ่านรู พอผีกะวิ่งตามศพเข้ามาใกล้ๆ ก็จะส่องไฟฉายไปที่หน้า จะได้รู้ว่าเป็นของใคร
ซึ่งคุณตาและพี่เขยได้สาดเลือดไก่เป็นทางเพื่อล่อให้ผีกะมากิน พอฟ้ามืด ทั้งบ้านก็พากับดับไฟให้สนิท เด็ก ผู้หญิงและคนแก่ต่างก็เข้าไปรอกันในห้องพระ โดยที่มีเพียงคุณตาและพี่เขยแอบอยู่ในห้องเก็บของกันแค่สองคน รอกันอยู่นานมาก ก็มีเสียงดัง ปัง!!! เหมือนเมื่อวานดังขึ้น คุณตาและพี่เขยรีบส่องดูที่รู เห็นเป็นเงาคนรางๆ ขว้างอะไรขึ้นไปบนหลังคา
เสียงปังดังขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่เงานั้นจะเริ่มวิ่งเข้ามาใกล้ๆ บ้าน เสียงไม้ทุบผนังบ้านดังอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะหยุดชะงักลง เมื่อเสียงนั้นมาถึงจุดที่คุณตากับพี่เขยสาดเลือดไก่ทิ้งไว้ คุณตาและพี่เขยมองหน้ากัน พลางเตรียมไฟฉายและกำสายเอ็นเอาไว้แน่น รอไม่นานสายเอ็นในมือคุณตาก็กระตุกอย่างแรง คุณตาหันไปพยักหน้าให้กับพี่เขยที่เตรียมไฟฉายเอาไว้ ก่อนจะรีบดึงสายเอ็นเข้ามาอย่างรวดเร็ว เสียงสวบสาบเหมือนคนกำลังวิ่งตามดังเข้ามาใกล้ๆ กลิ่นสาบคาวคลุ้งจนคุณตาและพี่เขยที่แอบอยู่ยังได้กลิ่นนั้นทำให้พี่เขยรีบส่องไฟไปที่รูนั้นทันที
แสงไฟส่องลอดผ่านรูกระทบเข้าที่หน้าของผีกะ ทั้งคุณตาที่แอบดูอยู่และทั้งผีกะต่างก็ตกใจ คุณตาที่ได้เห็นหน้าก็เผลอปล่อยสายเอ็นในมือ ผีกะที่ตกใจไม่คิดว่าตนจะถูกเห็นหน้าก็รีบคว้าศพไก่วิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว พี่เขยที่เห็นคุณตาตกใจจนแขนขาอ่อนแรงก็ถามว่าเป็นยังไงบ้าง ทันเห็นหน้าใช่มั้ย คุณตาตอบว่า เห็น พี่เขยเลยถามว่า เห็นเป็นหน้าใคร คุณตาเงียบไปสักพักแล้วบอกเพียงว่าวันพรุ่งนี้เช้าไปบ้านผู้ใหญ่บ้านกัน พี่เขยเหมือนอยากพูดอะไร แต่ก็พยักหน้าตามคุณตาแล้วแยกย้ายกันกลับไปนอน
ตลอดทั้งคืนคุณตานอนไม่หลับ ได้แต่คอยว่าเมื่อไหร่จะถึงตอนเช้าสักที พอพระอาทิตย์ขึ้น คุณตาก็ไปลากแขนพี่เขยออกจากบ้าน มุ่งตรงไปยังบ้านของผู้ใหญ่บ้านทันที บรรยากาศภายในบ้านของผู้ใหญ่บ้านดูภายนอกก็เป็นปกติ แต่พอเดินเข้ามาภายในบ้าน คุณตาบอกว่ารู้สึกน่ากลัว เพราะมีแต่เครื่องรางของขลังเต็มไปหมด ไหนจะมีซากสัตว์และโครงกระดูกอะไรต่อมิอะไรวางโชว์ในบ้าน ผู้ใหญ่บ้านพอเห็นคุณตาและพี่เขยมาก็รีบมาทักทายต้อนรับ พูดคุยกันสักพัก คุณตาก็เริ่มเล่าเรื่องผีกะที่ตัวเองเจอมาให้ฟัง ผู้ใหญ่บ้านได้ฟัง ก็รู้สึกเป็นกังวลมาก บอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เลือดตกยางออกกันได้เลย เผลอๆ อาจจะมีคนตายเลยก็ได้ ทั้งยังถามต่ออีกว่า คุณตารู้หรือไม่ว่าเป็นผีกะของใคร คุณตาก็ตอบไปว่า เมื่อคืนได้ดักซุ่มดูหน้าผีกะกับพี่เขยแล้ว ที่มาวันนี้ก็เพื่อจะมาบอกผู้ใหญ่บ้านให้ช่วยจัดการให้นั่นแหละ ผู้ใหญ่บ้านก็รีบถามทันทีว่าคุณตาเห็นเป็นหน้าใคร พี่เขยเองที่อยากรู้อยู่แล้วก็ขยับเข้ามาใกล้ๆ เพื่อฟังคำตอบจากคุณตา
คุณตาจ้องหน้าผู้ใหญ่บ้านเงียบๆ ก่อนจะตอบว่า พ่อของผู้ใหญ่บ้านไง เท่านั้น พี่เขยรีบหันไปจ้องหน้าผู้ใหญ่บ้านโดยทันที ตัวผู้ใหญ่บ้านเองพอได้ยินที่คุณตาตอบก็หน้าซีดและร้องเสียงหลงว่า เป็นไปไม่ได้แน่ๆ!! คุณตาเห็นหน้าชัดจริงๆ หรอ มั่นใจจริงๆ หรอ ซึ่งคุณตาก็ยังตอบเสียงแข็งว่าดูยังไงก็เป็นพ่อของผู้ใหญ่บ้านแน่ๆ ผู้ใหญ่บ้านที่เห็นคุณตายืนยันเสียงแข็งก็ยังไม่อยากจะปักใจเชื่อ ยังบอกคุณตาไปอีกว่า ยังไงก็เป็นไปไม่ได้แน่ๆ เพราะพ่อของผู้ใหญ่บ้านเพิ่งจะเสียชีวิตไปเมื่ออาทิตย์ก่อนนู้น ถ้าผีกะตัวนั้นเป็นของพ่อผู้ใหญ่บ้านจริง ตัวผู้ใหญ่บ้านที่ไม่รับมาเลี้ยงต่อ ผีกะตัวนั้นก็ต้องตายตามพ่อผู้ใหญ่บ้านไปแล้วสิ ยังไม่ทันที่จะพูดจบดี ผู้ใหญ่บ้านก็เหมือนจะคิดอะไรได้ เลยบอกให้คุณตาและพี่เขยยืนรอก่อน แล้วสักพักผู้ใหญ่บ้านก็เดินกลับมา โดยที่ในมือถือหม้อดินเผาและอะไรบางอย่างติดมือมาด้วย
คุณตาและพี่เขยมองอย่างสงสัย ก่อนที่จะทันได้ถามอะไร ตัวผู้ใหญ่บ้านก็หยิบเอาหุ่นรูปร่างประหลาดออกมา ก่อนจะสวดคาถาอะไรบางอย่าง เสร็จแล้วก็จับหุ่นนั้นมาหักคอแล้วโยนลงหม้อดินแล้วก็จุดไฟเผา เหมือนรู้ว่าคุณตากับพี่เขยรอคำอธิบายอยู่ ผู้ใหญ่บ้านเลยเล่าให้ฟังว่า อาทิตย์ก่อน ช่วงที่พ่อผู้ใหญ่บ้านป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลนั้น ก่อนจะสิ้นใจ พ่อของผู้ใหญ่บ้านได้สั่งเสียไว้ก่อนตาย ว่าอย่าให้ใครเข้าไปยุ่งกับเรือนของเขาเด็ดขาด ตัวผู้ใหญ่บ้านที่เดิมก็ไม่มีความคิดที่จะได้ยุ่งอะไรอยู่แล้วก็รับปาก ไม่ได้คิดว่าที่เรือนพักของพ่อตัวเองจะเก็บพวกเครื่องรางของขลังรวมไปถึงผีกะเอาไว้ เพราะตอนมีชีวิตอยู่ก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง ตอนที่คุณตามาบอกก็ยังไม่อยากเชื่อ แต่ก็สะดุดใจกับคำสั่งเสีย เลยลองเข้าไปค้นดู แล้วก็เจอหุ่นที่พ่อของผู้ใหญ่บ้านเอาไว้เลี้ยงผีกะเอาไว้จริงๆ ผู้ใหญ่บ้านได้ขอโทษคุณตาและครอบครัว ทั้งยังให้สินไหมปลอบขวัญ และยังขอร้องคุณตา ขออย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังอีก เพราะมันจะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งตัวคุณตาเอง ขอแค่จบเรื่องนี้ได้ก็พอใจแล้ว และนับตั้งแต่เกิดเรื่องนี้ขึ้นมา คุณตาก็ไม่กล้าออกไปหากบหาเขียดกับเพื่อนอีกเลย
ซึ่งนอกเหนือจากเรื่องที่คุณตาเล่าให้ฟังมานี้ ยังมีเรื่องเล่าอื่นเกี่ยวกับผีกะอีกว่า ในช่วงสมัยก่อน ใครที่เลี้ยงผีกะไว้แล้วดูแลไม่ดี ปล่อยให้ออกมากินไก่ที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้โดยไม่ดูแลรับผิดชอบ ชาวบ้านก็จะพากันดักจับผีกะ โดยจะเอาหม้อใบใหญ่คลุมหัวไว้ แล้วเอามีดหมอมาขูดๆ เจ้าของผีกะที่ถูกทำแบบนี้จะผมร่วง กลายเป็นคนหัวล้านทันที เจ้าของจะอับอาย ไม่กล้าออกจากบ้าน และจะเข็ดจนไม่กล้าปล่อยให้ผีกะออกมาหาอีก
- จ บ -
ในความคิดของทุกคนคิดว่าเรื่องนี้ควรให้กี่กะโหลกดีคะ เรื่องนี้เพื่อนเราให้ 3.5 กะโหลกค่ะส่วนตัวเรามองว่าเรื่องนี้ถ้าฟังเฉยๆ รู้สึกสนุก ไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นเจ้าตัวที่อยู่ในเหตุการณ์ก็คงจะหลอนเอามากๆ เลย
นิยายชุด : ผลัดกันเล่า by motamad
เมื่อตอนที่ยังเด็ก คุณตาเคยเล่าเรื่องสมัยก่อนให้ฟังว่า สมัยที่คุณตายังหนุ่มๆ นั้น วันไหนฝนตกฟ้าร้องหนักๆ คุณตาจะออกไปส่องกบส่องเขียดตามทุ่งนา
คืนนึงหลังฝนหยุดตกแล้ว คุณตาได้นัดกลุ่มเพื่อนที่ชอบไปหากบหาเขียดด้วยกันเป็นประจำไว้ แต่เพราะว่ามันดึกมากแล้ว ก็เลยไม่มีใครไปด้วยเลย ด้วยความที่อยากหาเงินมาจุนเจือครอบครัว คุณตาเลยตัดสินใจที่จะไปคนเดียว
หลังเตรียมตัวเสร็จแล้ว คุณตาก็ออกเดินทางไปยังไรนาของที่บ้านเหมือนอย่างทุกที ดึกดื่นมืดค่ำ กลางทุ่งนาเต็มไปด้วยเสียงกบร้อง ตอนนั้นเป็นเวลาดึกมาก ในสมัยนั้นแม้แต่ไฟกิ่งข้างทางก็ยังไม่มี แถมบ้านที่คุณตาอาศัยอยู่ก็เป็นเพียงบ้านนอกที่ห่างไกลความเจริญแบบสุดๆ แสงเดียวที่พอจะส่องดูทางได้ก็มีเพียงไฟฉายบนหัวเพียงเท่านั้น
คุณตาเล่าว่า ตอนที่กำลังจับกบเพลินๆ อยู่นั้นก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง มันเป็นเสียงที่แปลกมากจนคุณตาอดสงสัยไม่ได้ เลยกะว่าจะเดินไปดู ในใจก็เริ่มกลัวว่าจะใครแอบมาขโมยหรือทำอะไรในไร่นาของที่บ้านหรือไม่ ที่สุดเขตของไร่นาบ้านคุณตานั้นติดกับป่า คุณตาเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ เหมือนเป็นเงาของคน กำลังก้มๆ เงยๆ คล้ายกับทำอะไรอยู่ ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ เสียงแปลกๆ ที่ได้ยินก็ยิ่งดัง แถมเสียงของกบและเขียดแถวนั้นก็ร้องระงมดังกว่าที่อื่น แวบแรกคุณตาคิดว่าเป็นคู่อริของที่บ้าน มาวางยาข้าวช่วงออกรวง เลยตะโกนเสียงดังออกมาว่า เห้ย!!!
คุณตารีบวิ่งไปที่เงานั้นก่อนจะขว้างสุ่มที่ถืออยู่ในมือออกไป ตอนที่ไฟฉายบนหัวส่องไปที่เงานั้น คุณตาใจหายวาบ เพราะภาพที่เห็นทำเอาคุณตารู้สึกขนลุก ใบหน้าชายแก่ที่ดูคุ้นหน้า สองมือของเขากำกบตัวใหญ่ที่ส่วนท้องเป็นแผลเหวอะหวะจนเครื่องในทะลักออกมา บริเวณริมฝีปากของชายแก่เปรอะไปด้วยคาบเลือด สายตาของชายแก่ที่มองมายังคุณตาดูมุ่งร้าย จนคุณตารู้สึกหวาดกลัว พอเตรียมตัวจะวิ่งหนี ชายแก่ก็คว้ามีดจากที่ไหนไม่รู้มาไล่ฟันคุณตาทันที
คุณตาร้องเสียงหลงและรีบวิ่งหลบทันที คุณตาบอกว่าวิ่งหนีจากตรงนั้นมาไกลมาก แต่ชายแก่ก็ยังไม่เลิกไล่ฟันคุณตาสักที จนคุณตาต้องวิ่งหนีเข้าไปที่วัด ตอนที่เข้าประตูวัดไปนั้น มีดที่ชายแก่ฟันลงมา เฉียดโดนหลังคุณตา ทำให้มีเลือดออก แต่คุณตาก็ยังกัดฟันทน วิ่งไปกุฏิของหลวงพี่ที่รู้จักเพื่อขอความช่วยเหลือ ตอนนั้นคุณตาทั้งเหนื่อยจนแข้งขาอ่อนแรง ทั้งยังขวัญเสียจากการโดนไล่ฆ่า ทั้งยังผวากับภาพติดตาของชายแก่ กว่าจะตั้งสติได้ ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว
คุณตาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้หลวงพี่ฟัง คำตอบที่ได้มานั้นทำเอาคุณตารู้สึกหวาดกลัวอีกครั้ง ชายแก่ที่คุณตาเจอนั้น หลวงพี่บอกว่ามันคือผีกะ คงออกมาหาอะไรกิน แล้วถูกคุณตาเห็นหน้าเข้า กลัวว่าจะถูกจับได้ ก็เลยพยายามจะฆ่าคุณตาเพื่อปิดปาก หลวงพี่ยังเตือนให้คุณตาเก็บเนื้อเก็บตัวช่วงนี้ไว้ดีๆ พระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้วอย่าออกไปไหนเด็ดขาด เพราะตอนนี้คุณตากำลังถูกผีกะหมายหัวเอาไว้อยู่
วิธีแก้เรื่องนี้มีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือต้องให้เจ้าของผีกะตัวนั้นสั่งให้เลิกยุ่งกับคุณตา ซึ่งมันก็เป็นเรื่องยากสำหรับคุณตาอีกอยู่ดี ที่จะหาตัวเจ้าของของผีกะตัวนั้น เพราะในคืนนั้น ด้วยความที่มันมืดมาก คุณตาเลยเห็นหน้าของผีกะไม่ชัด รู้สึกเพียงแค่หน้าตาดูคุ้นๆ แต่นึกไม่ออกว่าเป็นใคร เลยไม่รู้ว่าเจ้าของผีกะเป็นใคร
ผีกะของพื้นที่ที่คุณตาอาศัยอยู่นั้นก็คือผีที่บรรพบุรุษเคยเลี้ยงไว้แล้วส่งต่อให้ลูกหลาน ถ้าลูกหลานรับเลี้ยงไว้ผีกะก็จะคอยดูแลปกป้อง แต่ถ้าลูกหลานเลือกที่จะไม่เลี้ยงต่อ ผีกะก็จะตายตามเจ้าของเก่าไป มีบางกรณีที่ผีกะไม่ยอมตายตามเจ้าของเก่าและกลายไปเป็นผีสัมภเวสีเร่ร่อน ลักษณะของผีกะนั้นจะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับเจ้าของของตัวเองเลย หากอยากรู้ว่าเป็นผีกะของใคร ก็ให้จำหน้าผีกะนั้นไว้ดีๆ และเพราะอย่างนี้เอง เลยมักจะมีคนตายบ่อยๆ จากการเห็นหน้าของผีกะ เพราะหากโดนเห็นหน้าเข้า ตัวเจ้าของนั้นจะถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้าน ส่วนผีกะก็จะโดนฆ่าตาย ซึ่งคุณตาเองก็ไม่ทราบว่าฆ่าด้วยวิธีไหน
คุณตาเล่าเรื่องนี้ให้คนที่บ้านฟัง ทุกคนต่างก็พากันตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งยังตำหนิคุณตาเรื่องที่ออกไปหากบหาเขียดตอนกลางคืนจนเกิดเรื่อง แต่ทุกคนก็ยังคอยช่วยคุณตาและทำตามคำเตือนของหลวงพี่ นั่นก็คือ พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ทุกคนจะปิดบ้านปิดประตูไม่ออกไปไหนกัน
เย็นวันถัดมา ขณะที่ทุกคนกำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ในบ้าน ก็มีเสียง ปัง!!! ดังขึ้น เสียงเหมือนของแข็งๆ ตกลงบนหลังคา ซึ่งเสียงนี้ดังขึ้นตรงจุดที่ทุกคนนั่งกินข้าวกันพอดี แต่เพราะรู้กันดีว่า ถ้าหากมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้น ห้ามใครร้องทักเด็ดขาด เพราะงั้นพอได้ยินเสียง ทุกคนก็ยังคงกินข้าวกันต่อไปเรื่อยๆ ตกดึกคนในบ้านยังได้ยินเสียงคนวิ่งเอาไม้ตีรอบบ้านตลอดทั้งคืนอีกด้วย
เช้าวันถัดมา คุณตาและพี่เขยก็ออกไปสำรวจรอบบ้าน ก็พบว่าเสียงดังเมื่อวานนี้เกิดจากก้อนหินก้อนใหญ่ ถูกโยนใส่หลังคา และแถวหลังบ้านก็มีไม้ไผ่ปลายแหลมปักอยู่รอบทางเข้า ลักษณะคล้ายถูกขว้างเข้ามา คุณตาและพี่เขยปรึกษากันว่า ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้แล้ว เพราะกลัวว่าคนในครอบครัวจะโดนลูกหลงไปด้วย
คุณตาและพี่เขยเลยวางแผนกันว่า วันนี้จะซุ่มดักผีกะเพื่อดูหน้าว่าเป็นใคร และเพื่อไม่ให้เป็นเรื่องใหญ่ ก็จะแอบไปหาเจ้าของเงียบๆ เพื่อบอกให้เจ้าของสั่งให้ผีกะนั้นเลิกรังควานคุณตาและครอบครัว พอฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี คุณตากับพี่เขยก็เตรียมตัว
ข้างๆ บ้านจะมีห้องเก็บของอยู่ ซึ่งจะมีรูเล็กๆ ส่องดูข้างนอกได้ โดยก่อนที่คุณตาและพี่เขยจะเข้าไปซ่อนในนั้น ก็ได้ฆ่าไก่แล้วเอาศพวางไว้แถวนั้น โดยที่คุณตาเอาเส้นเอ็นตกปลาร้อยไว้กับศพ กะไว้ว่าจะดึงเส้นเอ็นผ่านรู พอผีกะวิ่งตามศพเข้ามาใกล้ๆ ก็จะส่องไฟฉายไปที่หน้า จะได้รู้ว่าเป็นของใคร
ซึ่งคุณตาและพี่เขยได้สาดเลือดไก่เป็นทางเพื่อล่อให้ผีกะมากิน พอฟ้ามืด ทั้งบ้านก็พากับดับไฟให้สนิท เด็ก ผู้หญิงและคนแก่ต่างก็เข้าไปรอกันในห้องพระ โดยที่มีเพียงคุณตาและพี่เขยแอบอยู่ในห้องเก็บของกันแค่สองคน รอกันอยู่นานมาก ก็มีเสียงดัง ปัง!!! เหมือนเมื่อวานดังขึ้น คุณตาและพี่เขยรีบส่องดูที่รู เห็นเป็นเงาคนรางๆ ขว้างอะไรขึ้นไปบนหลังคา
เสียงปังดังขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่เงานั้นจะเริ่มวิ่งเข้ามาใกล้ๆ บ้าน เสียงไม้ทุบผนังบ้านดังอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะหยุดชะงักลง เมื่อเสียงนั้นมาถึงจุดที่คุณตากับพี่เขยสาดเลือดไก่ทิ้งไว้ คุณตาและพี่เขยมองหน้ากัน พลางเตรียมไฟฉายและกำสายเอ็นเอาไว้แน่น รอไม่นานสายเอ็นในมือคุณตาก็กระตุกอย่างแรง คุณตาหันไปพยักหน้าให้กับพี่เขยที่เตรียมไฟฉายเอาไว้ ก่อนจะรีบดึงสายเอ็นเข้ามาอย่างรวดเร็ว เสียงสวบสาบเหมือนคนกำลังวิ่งตามดังเข้ามาใกล้ๆ กลิ่นสาบคาวคลุ้งจนคุณตาและพี่เขยที่แอบอยู่ยังได้กลิ่นนั้นทำให้พี่เขยรีบส่องไฟไปที่รูนั้นทันที
แสงไฟส่องลอดผ่านรูกระทบเข้าที่หน้าของผีกะ ทั้งคุณตาที่แอบดูอยู่และทั้งผีกะต่างก็ตกใจ คุณตาที่ได้เห็นหน้าก็เผลอปล่อยสายเอ็นในมือ ผีกะที่ตกใจไม่คิดว่าตนจะถูกเห็นหน้าก็รีบคว้าศพไก่วิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว พี่เขยที่เห็นคุณตาตกใจจนแขนขาอ่อนแรงก็ถามว่าเป็นยังไงบ้าง ทันเห็นหน้าใช่มั้ย คุณตาตอบว่า เห็น พี่เขยเลยถามว่า เห็นเป็นหน้าใคร คุณตาเงียบไปสักพักแล้วบอกเพียงว่าวันพรุ่งนี้เช้าไปบ้านผู้ใหญ่บ้านกัน พี่เขยเหมือนอยากพูดอะไร แต่ก็พยักหน้าตามคุณตาแล้วแยกย้ายกันกลับไปนอน
ตลอดทั้งคืนคุณตานอนไม่หลับ ได้แต่คอยว่าเมื่อไหร่จะถึงตอนเช้าสักที พอพระอาทิตย์ขึ้น คุณตาก็ไปลากแขนพี่เขยออกจากบ้าน มุ่งตรงไปยังบ้านของผู้ใหญ่บ้านทันที บรรยากาศภายในบ้านของผู้ใหญ่บ้านดูภายนอกก็เป็นปกติ แต่พอเดินเข้ามาภายในบ้าน คุณตาบอกว่ารู้สึกน่ากลัว เพราะมีแต่เครื่องรางของขลังเต็มไปหมด ไหนจะมีซากสัตว์และโครงกระดูกอะไรต่อมิอะไรวางโชว์ในบ้าน ผู้ใหญ่บ้านพอเห็นคุณตาและพี่เขยมาก็รีบมาทักทายต้อนรับ พูดคุยกันสักพัก คุณตาก็เริ่มเล่าเรื่องผีกะที่ตัวเองเจอมาให้ฟัง ผู้ใหญ่บ้านได้ฟัง ก็รู้สึกเป็นกังวลมาก บอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เลือดตกยางออกกันได้เลย เผลอๆ อาจจะมีคนตายเลยก็ได้ ทั้งยังถามต่ออีกว่า คุณตารู้หรือไม่ว่าเป็นผีกะของใคร คุณตาก็ตอบไปว่า เมื่อคืนได้ดักซุ่มดูหน้าผีกะกับพี่เขยแล้ว ที่มาวันนี้ก็เพื่อจะมาบอกผู้ใหญ่บ้านให้ช่วยจัดการให้นั่นแหละ ผู้ใหญ่บ้านก็รีบถามทันทีว่าคุณตาเห็นเป็นหน้าใคร พี่เขยเองที่อยากรู้อยู่แล้วก็ขยับเข้ามาใกล้ๆ เพื่อฟังคำตอบจากคุณตา
คุณตาจ้องหน้าผู้ใหญ่บ้านเงียบๆ ก่อนจะตอบว่า พ่อของผู้ใหญ่บ้านไง เท่านั้น พี่เขยรีบหันไปจ้องหน้าผู้ใหญ่บ้านโดยทันที ตัวผู้ใหญ่บ้านเองพอได้ยินที่คุณตาตอบก็หน้าซีดและร้องเสียงหลงว่า เป็นไปไม่ได้แน่ๆ!! คุณตาเห็นหน้าชัดจริงๆ หรอ มั่นใจจริงๆ หรอ ซึ่งคุณตาก็ยังตอบเสียงแข็งว่าดูยังไงก็เป็นพ่อของผู้ใหญ่บ้านแน่ๆ ผู้ใหญ่บ้านที่เห็นคุณตายืนยันเสียงแข็งก็ยังไม่อยากจะปักใจเชื่อ ยังบอกคุณตาไปอีกว่า ยังไงก็เป็นไปไม่ได้แน่ๆ เพราะพ่อของผู้ใหญ่บ้านเพิ่งจะเสียชีวิตไปเมื่ออาทิตย์ก่อนนู้น ถ้าผีกะตัวนั้นเป็นของพ่อผู้ใหญ่บ้านจริง ตัวผู้ใหญ่บ้านที่ไม่รับมาเลี้ยงต่อ ผีกะตัวนั้นก็ต้องตายตามพ่อผู้ใหญ่บ้านไปแล้วสิ ยังไม่ทันที่จะพูดจบดี ผู้ใหญ่บ้านก็เหมือนจะคิดอะไรได้ เลยบอกให้คุณตาและพี่เขยยืนรอก่อน แล้วสักพักผู้ใหญ่บ้านก็เดินกลับมา โดยที่ในมือถือหม้อดินเผาและอะไรบางอย่างติดมือมาด้วย
คุณตาและพี่เขยมองอย่างสงสัย ก่อนที่จะทันได้ถามอะไร ตัวผู้ใหญ่บ้านก็หยิบเอาหุ่นรูปร่างประหลาดออกมา ก่อนจะสวดคาถาอะไรบางอย่าง เสร็จแล้วก็จับหุ่นนั้นมาหักคอแล้วโยนลงหม้อดินแล้วก็จุดไฟเผา เหมือนรู้ว่าคุณตากับพี่เขยรอคำอธิบายอยู่ ผู้ใหญ่บ้านเลยเล่าให้ฟังว่า อาทิตย์ก่อน ช่วงที่พ่อผู้ใหญ่บ้านป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลนั้น ก่อนจะสิ้นใจ พ่อของผู้ใหญ่บ้านได้สั่งเสียไว้ก่อนตาย ว่าอย่าให้ใครเข้าไปยุ่งกับเรือนของเขาเด็ดขาด ตัวผู้ใหญ่บ้านที่เดิมก็ไม่มีความคิดที่จะได้ยุ่งอะไรอยู่แล้วก็รับปาก ไม่ได้คิดว่าที่เรือนพักของพ่อตัวเองจะเก็บพวกเครื่องรางของขลังรวมไปถึงผีกะเอาไว้ เพราะตอนมีชีวิตอยู่ก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง ตอนที่คุณตามาบอกก็ยังไม่อยากเชื่อ แต่ก็สะดุดใจกับคำสั่งเสีย เลยลองเข้าไปค้นดู แล้วก็เจอหุ่นที่พ่อของผู้ใหญ่บ้านเอาไว้เลี้ยงผีกะเอาไว้จริงๆ ผู้ใหญ่บ้านได้ขอโทษคุณตาและครอบครัว ทั้งยังให้สินไหมปลอบขวัญ และยังขอร้องคุณตา ขออย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังอีก เพราะมันจะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งตัวคุณตาเอง ขอแค่จบเรื่องนี้ได้ก็พอใจแล้ว และนับตั้งแต่เกิดเรื่องนี้ขึ้นมา คุณตาก็ไม่กล้าออกไปหากบหาเขียดกับเพื่อนอีกเลย
ซึ่งนอกเหนือจากเรื่องที่คุณตาเล่าให้ฟังมานี้ ยังมีเรื่องเล่าอื่นเกี่ยวกับผีกะอีกว่า ในช่วงสมัยก่อน ใครที่เลี้ยงผีกะไว้แล้วดูแลไม่ดี ปล่อยให้ออกมากินไก่ที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้โดยไม่ดูแลรับผิดชอบ ชาวบ้านก็จะพากันดักจับผีกะ โดยจะเอาหม้อใบใหญ่คลุมหัวไว้ แล้วเอามีดหมอมาขูดๆ เจ้าของผีกะที่ถูกทำแบบนี้จะผมร่วง กลายเป็นคนหัวล้านทันที เจ้าของจะอับอาย ไม่กล้าออกจากบ้าน และจะเข็ดจนไม่กล้าปล่อยให้ผีกะออกมาหาอีก
- จ บ -
ในความคิดของทุกคนคิดว่าเรื่องนี้ควรให้กี่กะโหลกดีคะ เรื่องนี้เพื่อนเราให้ 3.5 กะโหลกค่ะส่วนตัวเรามองว่าเรื่องนี้ถ้าฟังเฉยๆ รู้สึกสนุก ไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นเจ้าตัวที่อยู่ในเหตุการณ์ก็คงจะหลอนเอามากๆ เลย