*คำเตือน : รีวิวนี้เป็นเพียงความคิดเห็นและประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้น การเดินป่าแต่ละคนต่างสัมผัสสิ่งแตกต่างกัน ขอให้เปิดใจ เปิดหู เปิดตาให้กว้าง ๆ แล้วเสพธรรมชาติไปด้วยกันนะคะ 😊*
จากมุมมองของนก เทือกเขาหลวงนครศรีธรรมราชทอดตัวเป็นแนวยาว กินพื้นที่มากกว่าแสนกว่าไร่ นับเป็นเทือกเขาที่มียอดที่สูงที่สุดของภาคใต้ และขึ้นชื่อเรื่องความโหดไม่เป็นที่สองรองใคร ด้วยสภาพป่าดิบ ชื้น เป็นต้นกำเนิดของแหล่งน้ำ เป็นบ้านของสัตว์ป่าน้อยใหญ่ มีป่าดึกดำบรรพ์ซ่อนอยู่บนนั้น และแน่นอนชื่อเสียงเลื่องลือว่าเป็น ‘ดงทาก’
ได้ยินชื่อครั้งแรก เราก็ส่ายหน้า บอกกับตัวเองและบอกกับเพื่อนรอบตัวว่า ชีวิตนี้ไม่มีทางไปเขาหลวงนครฯเด็ดขาด รวมถึงป่าใต้อื่น ๆ ด้วย ประสบการณ์การเดินป่าที่ผ่านมามักไปจบแถว ๆ ภาคเหนือ ป่าแห้ง ๆ (เราไม่ชอบความชื้น ไม่ชอบฝนตก) วิวงาม ๆ ทะเลหมอกปัง ๆ ไม่ค่อยมีทากรบกวนใจ แต่ใครจะคิดว่าวันหนึ่งเรากลับต้องกลืนน้ำลายตัวเอง เมื่อคิดว่าชีวิตต่อไปมีแต่ความยุ่งและอายุที่เพิ่มขึ้น จะไม่ลองไปเขาหลวงนครฯ...สักครั้งเชียวหรือ ?
*****************************************
Day 0 #เขาหลวงนครฯมีแต่โหด โหดสุด โหดมาก ๆ
พอตัดสินใจได้ก็เริ่มหารีวิวอ่านทั้งที่จ่ายเงินจองทัวร์ไปแล้ว ทำให้พอรู้ว่าเขาหลวงนครฯสามารถเดินป่าได้ทั้งหมด 3 เส้นทาง ได้แก่ ยอด 1835, ยอดฝามี และสันเครื่องบินตก ด้วยเวลาที่มีจำกัด และสิ่งที่อยากไปดู ทำให้เราตัดสินใจเลือกเส้นทางยอด 1835 (ลึก ๆ ในใจคืออยากลองพิชิตยอดสูงสุดว่าเป็นยังไง) หลังจากนั้นก็ท่องเว็บอ่านรีวิวชาวบ้านไปเรื่อย ๆ ความกลัวยิ่งเพิ่มพูน เมื่อเห็นรีวิวส่วนใหญ่มีแต่บอกว่าเส้นทางนี้โหด โหดสุด โหดมาก ๆ ยิ่งอ่านก็ยิ่งกังวล ยิ่งดูก็ยิ่งกลัว ประกอบกับทางทัวร์แจ้งว่าไม่มีลูกหาบ ต้องแบกของเอง หรือถึงมีลูกหาบเหลือ ราคาต่อกิโลกรัมก็แพงเอาเรื่อง เราเลยตัดสินใจปิดรีวิว หันไปออกกำลังกายอย่างเร่งด่วน ภาวนาให้ตัวเองแข็งแกร่งพอที่จะไปยืนอยู่บนยอดเขาแห่งนั้น
Day 1 #‘พี่ต้องลองแบกเป้เอง’
คำพูดของน้องคนหนึ่งที่เคยเจอกันในทริปเขาช้างเผือกลอยเข้ามาทันทีที่เอาเป้ขึ้นหลัง เป้ที่จัดแล้วจัดอีก เพื่อลดน้ำหนักสิ่งของให้น้อยที่สุด สิ่งของที่นำขึ้นไปทุกชิ้นแพคใส่ถุงพลาสติกกันน้ำอีกชั้น เพราะป่าใต้เข้าทำนองฝนแปดแดดสี่ แต่ถ้าจะให้ดีก็ทำใจเลยว่าต้องเจอฝนแน่ ๆ ที่นอนในทริปนี้ก็เปิดประสบการณ์ใหม่ ด้วยพื้นที่หาที่ราบได้ยาก และเป็นดงทาก เราจึงเลือกใช้เปลแทนเต๊นท์ แต่น้ำหนักฟลายชีทที่ต้องแบกขึ้นไปด้วย ไหนจะน้ำ อาหารที่ต้องนำไปทานระหว่างทางอีก คำว่าลองแบกเป้เองที่ก็เคยลองมาครั้งหนึ่งแล้วดังกลับเข้ามาอีกในความคิด
อยากลองหรือไม่อยากลองก็ต้องแบกเองแล้วล่ะทริปนี้!
หลังจากรถตู้ส่งเราที่ ‘น้ำตกวังไม้ปัก’ เพื่อเริ่มต้นเส้นทางพิชิตยอดเขาหลวงนครฯ ภารกิจด่านแรกก็เริ่มต้นขึ้น นั่งคือการต้องนั่งมอเตอร์ไซค์วิบากไปยังจุดเริ่มเดิน ความวิบากที่มากกว่าเดินป่าอีกเพราะการนั่งมอเตอร์ไซค์ที่ทั้งเล็ก และซิ่ง เราต้องเกร็งก้นกันสุดชีวิต ไหนจะเป้บนหลังที่ต้องปรับสายรัดให้กระชัดอย่างดี เพื่อไม่ให้เซไปเซมา จนเสียการทรงตัวได้ กว่าจะถึงจุดเริ่มเดินจริง ๆ ก็แทบจะตะคริวกิน
เส้นทางมอเตอร์ไซค์ผ่านถนนปูน ก่อนจะตัดเลาะเข้าสู่ถนนผ่านสวนชาวบ้านแสนร่มรื่นที่ปลูกไม้ผลไว้หลายชนิด ก่อนน้อง ๆ แก๊งแฟนฉันภาควิบากจะมาปล่อยเราตรงจุดที่แบบ ฮะ ใช่เหรอ? ใช่ทางเดินเข้าป่าแน่เหรอ? เพราะมีเพียงกระท่อมเล็ก ๆ ของเจ้าหน้าที่ตั้งอยู่หนึ่งกระท่อม
เช็คความเรียบร้อยกันครั้งสุดท้าย คณะเราที่ประกอบด้วยสมาชิกทัวร์เก้าคน ไกด์อีกหนึ่ง เจ้าหน้าที่อช.สามคน และลูกหาบอีกสอง ก็พร้อมแล้วที่จะขึ้นสู่เขาหลวง
เราเดินตัดสวนชาวบ้านจนถึงทางเข้าป่าในที่สุด แต่ละคนใส่ถุงกันทาก ใส่เสื้อในกางเกง พกสเปรย์กันยุง กันแมลงมาเป็นอย่างดี ทางเดินแรก ๆ ยังแห้ง และไม่ค่อยสัมผัสถึงความเปียกซะเท่าไหร่ แต่ก็เป็นทางชันที่ค่อย ๆ ชันขึ้น ทางราบมีค่อนข้างน้อยตามรีวิวก่อน ๆ เป๊ะ ๆ เดินไปก็เหนื่อยไป เพราะแม้จะวิ่งมาบ้าง แต่ไม่ได้วิ่งเป็นประจำฟิต ๆ ไรเทือกนั้น แต่สิ่งที่สังเกตได้ว่าป่าใต้แตกต่างจากป่าเหนือคือต้นไม้ที่ดกครึ้ม ยอดไม้โค้งเข้าหากันแทบจะเป็นร่มกันแดด และบดบังแสงแดดไม่ให้สาดส่องลงมา ทำให้เวลากลางวันเปรี้ยงๆ แทบจะเป็นเวลาแดดร่มลมตกกันเลยทีเดียว
สิ่งที่เราค้นหา และอยากพบเห็นมากที่สุดที่เขาหลวงนครฯ ก็คือสิ่งนี้
โอ๊ย ไม่ใช่! เดินไม่ทันไร นางทางก็โผล่มาซะแล้ว สูตรไล่ทาก กันทากมีอยู่หลายสูตร แต่ที่เราใช้แล้วคิดว่าเวิร์คสุดในทริปนี้คือสเปรย์กันยุงของซอฟเฟล (โนสปอนเซอร์) ต้องลองไปทดสอบกันดู
สิ่งที่อยากพบมากที่สุดคือนี่ต่างหาก...เฟิร์นมหาสดำ
เดินๆ หยุด ๆ ในที่สุดก็ถึง ‘ลานไทร’ ที่เป็นจุดกางเต๊นท์จุดแรกซึ่งอยู่ริมลำธารน้ำตก แต่เพราะคุยกันว่ามันถึงเร็วเกินไป และหากนอนตรงจุดนี้ พรุ่งนี้ที่เราต้องเดินขึ้นพิชิตยอดเขาหลวงยังอีกยาวไกล สู้เดินต่อไปอีกหน่อยจะดีไหม ?
ที่สำคัญคือเราเพียงแค่นั่งพักกันไม่นาน...มาอีกแล้ว นางทากตามมาอีกแล้วจ้า ลุกหนีกันแทบไม่ทัน
เดินกันต่อจากจุดนี้จะเริ่มสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้น ป่าดิบชื้นแบบที่ไม่เคยพบให้ความรู้สึกสดชื่น แม้จะยังรู้สึกแหยง ๆ ความเปียกก็ตาม สิ่งที่เพลินตาระหว่างเดินมาก ๆ ก็คือต้นไม้ ดอกไม้ สัตว์น้อยใหญ่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และลงตัวได้อย่างเหลือเชื่อ
นี่คือ ‘จริงดอกเดียว’ ไม่แน่ใจว่าสะกดถูกไหม แต่พี่ลูกหาบบอกว่าใช้เป็นยาแก้ปวดเมื่อยได้...บางคนใช้ไปรับประทานเพื่อรักษาอาการนกเขาไม่ขัน (โปรดใช้วิจารณาณ)
สรรพชีวิตบนโลกใบเดียวกัน
เดินมาเรื่อย ๆ ก็ได้โอกาสพักกินข้าวกันสักครู่ ตอนแรกจะขึ้นไปตั้งแคมป์กันที่ลานไม้แดง ที่อยู่ระหว่างทางก่อนขึ้นไปถึงลานด๊อกเตอร์ แต่เนื่องจากสมาชิกในกลุ่มค่อนข้างอ่อนแรง เราจึงได้เปิดลานใหม่ซะเลย
แคมป์ของเราคืนนี้
จากแคมป์เดินลงไปไม่ใกล้ไม่ไกลจะมีลำธารอยู่ แต่วันนี้เราขี้เกียจมาก ๆ แถมทางลงพี่ที่ไปมาก็รีวิวว่าค่อนข้างลื่น เลยเลือกที่จะซักแห้งด้วยทิชชู่เปียก ตั้งใจว่าพรุ่งนี้หลังลงจากยอด จะไปอาบน้ำทีเดียว วันนี้กิจกรรมไม่มีอะไรมาก พอถึงเวลาอาหารเย็นที่ทุกคนรอคอย เวลาสี่โมงในป่าเขาหลวงนครฯราวกับหกโมงเย็น
อาหารกลางป่าหรูหรายิ่งกว่ากลางเมือง
รับประทานอาหารเย็นเสร็จก็นั่งล้อมวงพูดคุย เราชอบโมเมนท์ตอนนี้มากที่สุด ป่ามีมนต์ขลังบางอย่างทำให้คนเปิดใจให้แก่กัน จากคนแปลกหน้ากลายเป็นคนรู้จัก บางคนได้พัฒนาจากคนรู้จักกลายเป็นคนรู้ใจ เพราะผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาด้วยกัน ทำให้เราเลือกที่จะถอดหน้ากากเข้าหากันตั้งแต่ครั้งแรก...เป็นความวิเศษที่ต้องลองไปสัมผัสเอง
คืนนั้นลมแรง พยากรณ์อากาศบอกว่าจะมีฝนในวันพรุ่งนี้ เราผูกเปลนอนไปด้วยใจลุ้นระทึกว่าฝนจะเทลงมาในคืนนี้เลยหรือเปล่า
เปิดประสบการณ์ผูกเปลนอนกลางป่าครั้งแรก รีวิวการนอนเปลว่าจริง ๆ แล้วสบายมาก ๆ ไม่ต้องใช้หมอนหนุน ถ้าเย็นก็เอาถุงนอนลงไปด้วย เพียงแต่หากอากาศเย็นมาก ๆ อาจจะรู้สึกหนาวเวลามีลมพัดใต้เปลได้ ข้อเสียคือสำหรับคนไม่เคยนอนเปลแบบเรา แอบหลอนเบา ๆ คิดไปต่าง ๆ นานาว่าถ้านอน ๆ อยู่มีคนมาชะโงกหน้าเหนือเปลจะทำยังไง ?
...ก็คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากกรี๊ดลั่นป่าละมั้ง
[CR] รีวิวป่าใต้ 1st time : ยอด 1835 เมตรจากระดับน้ำทะเล เขาหลวงนครศรีธรรมราช
จากมุมมองของนก เทือกเขาหลวงนครศรีธรรมราชทอดตัวเป็นแนวยาว กินพื้นที่มากกว่าแสนกว่าไร่ นับเป็นเทือกเขาที่มียอดที่สูงที่สุดของภาคใต้ และขึ้นชื่อเรื่องความโหดไม่เป็นที่สองรองใคร ด้วยสภาพป่าดิบ ชื้น เป็นต้นกำเนิดของแหล่งน้ำ เป็นบ้านของสัตว์ป่าน้อยใหญ่ มีป่าดึกดำบรรพ์ซ่อนอยู่บนนั้น และแน่นอนชื่อเสียงเลื่องลือว่าเป็น ‘ดงทาก’
ได้ยินชื่อครั้งแรก เราก็ส่ายหน้า บอกกับตัวเองและบอกกับเพื่อนรอบตัวว่า ชีวิตนี้ไม่มีทางไปเขาหลวงนครฯเด็ดขาด รวมถึงป่าใต้อื่น ๆ ด้วย ประสบการณ์การเดินป่าที่ผ่านมามักไปจบแถว ๆ ภาคเหนือ ป่าแห้ง ๆ (เราไม่ชอบความชื้น ไม่ชอบฝนตก) วิวงาม ๆ ทะเลหมอกปัง ๆ ไม่ค่อยมีทากรบกวนใจ แต่ใครจะคิดว่าวันหนึ่งเรากลับต้องกลืนน้ำลายตัวเอง เมื่อคิดว่าชีวิตต่อไปมีแต่ความยุ่งและอายุที่เพิ่มขึ้น จะไม่ลองไปเขาหลวงนครฯ...สักครั้งเชียวหรือ ?
Day 1 #‘พี่ต้องลองแบกเป้เอง’
คำพูดของน้องคนหนึ่งที่เคยเจอกันในทริปเขาช้างเผือกลอยเข้ามาทันทีที่เอาเป้ขึ้นหลัง เป้ที่จัดแล้วจัดอีก เพื่อลดน้ำหนักสิ่งของให้น้อยที่สุด สิ่งของที่นำขึ้นไปทุกชิ้นแพคใส่ถุงพลาสติกกันน้ำอีกชั้น เพราะป่าใต้เข้าทำนองฝนแปดแดดสี่ แต่ถ้าจะให้ดีก็ทำใจเลยว่าต้องเจอฝนแน่ ๆ ที่นอนในทริปนี้ก็เปิดประสบการณ์ใหม่ ด้วยพื้นที่หาที่ราบได้ยาก และเป็นดงทาก เราจึงเลือกใช้เปลแทนเต๊นท์ แต่น้ำหนักฟลายชีทที่ต้องแบกขึ้นไปด้วย ไหนจะน้ำ อาหารที่ต้องนำไปทานระหว่างทางอีก คำว่าลองแบกเป้เองที่ก็เคยลองมาครั้งหนึ่งแล้วดังกลับเข้ามาอีกในความคิด
อยากลองหรือไม่อยากลองก็ต้องแบกเองแล้วล่ะทริปนี้!
หลังจากรถตู้ส่งเราที่ ‘น้ำตกวังไม้ปัก’ เพื่อเริ่มต้นเส้นทางพิชิตยอดเขาหลวงนครฯ ภารกิจด่านแรกก็เริ่มต้นขึ้น นั่งคือการต้องนั่งมอเตอร์ไซค์วิบากไปยังจุดเริ่มเดิน ความวิบากที่มากกว่าเดินป่าอีกเพราะการนั่งมอเตอร์ไซค์ที่ทั้งเล็ก และซิ่ง เราต้องเกร็งก้นกันสุดชีวิต ไหนจะเป้บนหลังที่ต้องปรับสายรัดให้กระชัดอย่างดี เพื่อไม่ให้เซไปเซมา จนเสียการทรงตัวได้ กว่าจะถึงจุดเริ่มเดินจริง ๆ ก็แทบจะตะคริวกิน
เส้นทางมอเตอร์ไซค์ผ่านถนนปูน ก่อนจะตัดเลาะเข้าสู่ถนนผ่านสวนชาวบ้านแสนร่มรื่นที่ปลูกไม้ผลไว้หลายชนิด ก่อนน้อง ๆ แก๊งแฟนฉันภาควิบากจะมาปล่อยเราตรงจุดที่แบบ ฮะ ใช่เหรอ? ใช่ทางเดินเข้าป่าแน่เหรอ? เพราะมีเพียงกระท่อมเล็ก ๆ ของเจ้าหน้าที่ตั้งอยู่หนึ่งกระท่อม
เช็คความเรียบร้อยกันครั้งสุดท้าย คณะเราที่ประกอบด้วยสมาชิกทัวร์เก้าคน ไกด์อีกหนึ่ง เจ้าหน้าที่อช.สามคน และลูกหาบอีกสอง ก็พร้อมแล้วที่จะขึ้นสู่เขาหลวง
เราเดินตัดสวนชาวบ้านจนถึงทางเข้าป่าในที่สุด แต่ละคนใส่ถุงกันทาก ใส่เสื้อในกางเกง พกสเปรย์กันยุง กันแมลงมาเป็นอย่างดี ทางเดินแรก ๆ ยังแห้ง และไม่ค่อยสัมผัสถึงความเปียกซะเท่าไหร่ แต่ก็เป็นทางชันที่ค่อย ๆ ชันขึ้น ทางราบมีค่อนข้างน้อยตามรีวิวก่อน ๆ เป๊ะ ๆ เดินไปก็เหนื่อยไป เพราะแม้จะวิ่งมาบ้าง แต่ไม่ได้วิ่งเป็นประจำฟิต ๆ ไรเทือกนั้น แต่สิ่งที่สังเกตได้ว่าป่าใต้แตกต่างจากป่าเหนือคือต้นไม้ที่ดกครึ้ม ยอดไม้โค้งเข้าหากันแทบจะเป็นร่มกันแดด และบดบังแสงแดดไม่ให้สาดส่องลงมา ทำให้เวลากลางวันเปรี้ยงๆ แทบจะเป็นเวลาแดดร่มลมตกกันเลยทีเดียว
สิ่งที่เราค้นหา และอยากพบเห็นมากที่สุดที่เขาหลวงนครฯ ก็คือสิ่งนี้
โอ๊ย ไม่ใช่! เดินไม่ทันไร นางทางก็โผล่มาซะแล้ว สูตรไล่ทาก กันทากมีอยู่หลายสูตร แต่ที่เราใช้แล้วคิดว่าเวิร์คสุดในทริปนี้คือสเปรย์กันยุงของซอฟเฟล (โนสปอนเซอร์) ต้องลองไปทดสอบกันดู
สิ่งที่อยากพบมากที่สุดคือนี่ต่างหาก...เฟิร์นมหาสดำ
เดินๆ หยุด ๆ ในที่สุดก็ถึง ‘ลานไทร’ ที่เป็นจุดกางเต๊นท์จุดแรกซึ่งอยู่ริมลำธารน้ำตก แต่เพราะคุยกันว่ามันถึงเร็วเกินไป และหากนอนตรงจุดนี้ พรุ่งนี้ที่เราต้องเดินขึ้นพิชิตยอดเขาหลวงยังอีกยาวไกล สู้เดินต่อไปอีกหน่อยจะดีไหม ?
ที่สำคัญคือเราเพียงแค่นั่งพักกันไม่นาน...มาอีกแล้ว นางทากตามมาอีกแล้วจ้า ลุกหนีกันแทบไม่ทัน
เดินกันต่อจากจุดนี้จะเริ่มสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้น ป่าดิบชื้นแบบที่ไม่เคยพบให้ความรู้สึกสดชื่น แม้จะยังรู้สึกแหยง ๆ ความเปียกก็ตาม สิ่งที่เพลินตาระหว่างเดินมาก ๆ ก็คือต้นไม้ ดอกไม้ สัตว์น้อยใหญ่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และลงตัวได้อย่างเหลือเชื่อ
นี่คือ ‘จริงดอกเดียว’ ไม่แน่ใจว่าสะกดถูกไหม แต่พี่ลูกหาบบอกว่าใช้เป็นยาแก้ปวดเมื่อยได้...บางคนใช้ไปรับประทานเพื่อรักษาอาการนกเขาไม่ขัน (โปรดใช้วิจารณาณ)
เดินมาเรื่อย ๆ ก็ได้โอกาสพักกินข้าวกันสักครู่ ตอนแรกจะขึ้นไปตั้งแคมป์กันที่ลานไม้แดง ที่อยู่ระหว่างทางก่อนขึ้นไปถึงลานด๊อกเตอร์ แต่เนื่องจากสมาชิกในกลุ่มค่อนข้างอ่อนแรง เราจึงได้เปิดลานใหม่ซะเลย
จากแคมป์เดินลงไปไม่ใกล้ไม่ไกลจะมีลำธารอยู่ แต่วันนี้เราขี้เกียจมาก ๆ แถมทางลงพี่ที่ไปมาก็รีวิวว่าค่อนข้างลื่น เลยเลือกที่จะซักแห้งด้วยทิชชู่เปียก ตั้งใจว่าพรุ่งนี้หลังลงจากยอด จะไปอาบน้ำทีเดียว วันนี้กิจกรรมไม่มีอะไรมาก พอถึงเวลาอาหารเย็นที่ทุกคนรอคอย เวลาสี่โมงในป่าเขาหลวงนครฯราวกับหกโมงเย็น
อาหารกลางป่าหรูหรายิ่งกว่ากลางเมือง
รับประทานอาหารเย็นเสร็จก็นั่งล้อมวงพูดคุย เราชอบโมเมนท์ตอนนี้มากที่สุด ป่ามีมนต์ขลังบางอย่างทำให้คนเปิดใจให้แก่กัน จากคนแปลกหน้ากลายเป็นคนรู้จัก บางคนได้พัฒนาจากคนรู้จักกลายเป็นคนรู้ใจ เพราะผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาด้วยกัน ทำให้เราเลือกที่จะถอดหน้ากากเข้าหากันตั้งแต่ครั้งแรก...เป็นความวิเศษที่ต้องลองไปสัมผัสเอง
คืนนั้นลมแรง พยากรณ์อากาศบอกว่าจะมีฝนในวันพรุ่งนี้ เราผูกเปลนอนไปด้วยใจลุ้นระทึกว่าฝนจะเทลงมาในคืนนี้เลยหรือเปล่า
เปิดประสบการณ์ผูกเปลนอนกลางป่าครั้งแรก รีวิวการนอนเปลว่าจริง ๆ แล้วสบายมาก ๆ ไม่ต้องใช้หมอนหนุน ถ้าเย็นก็เอาถุงนอนลงไปด้วย เพียงแต่หากอากาศเย็นมาก ๆ อาจจะรู้สึกหนาวเวลามีลมพัดใต้เปลได้ ข้อเสียคือสำหรับคนไม่เคยนอนเปลแบบเรา แอบหลอนเบา ๆ คิดไปต่าง ๆ นานาว่าถ้านอน ๆ อยู่มีคนมาชะโงกหน้าเหนือเปลจะทำยังไง ?
...ก็คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากกรี๊ดลั่นป่าละมั้ง
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้