เรื่องของ กลอยใจ ตอนจบ

ความเดิมจากที่เคยโพสต์ระบายความในใจเมื่อหลายปีก่อน

ติดตามได้ที่ ---> https://ppantip.com/topic/34025842

กลอยใจเด็กสาวในหมู่บ้าน ที่ไม่มีหลักฐานแสดงตัวตนสัญชาติไทยเพราะไม่มีใบสูติบัตร ติดสุราเรื้อรัง มีลูกสาวตัวเล็กที่ไม่มีใบสูติบัตรเช่นเดียวกัน
ดิฉันได้ดำเนินการช่วยเหลือ 
ติดต่อเจ้าหน้าที่ประจำหมู่บ้านเพื่อขอเอกสารดำเนินการยืนยันตัวบุคคล โดยต้องเอกสารต้องมี
         - สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านพร้อมลายเซ็นต์ของญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ คือ ยาย น้า และป้า
         - สำเนาบัตรประชาชนผู้ปกครองท้องที่ที่รับผิดชอบโดยตรง คือ ผู้ใหญ่บ้าน และ กำนัน 
 แต่เมื่อยื่นแล้วต้องรอดำเนินการตรวจสอบเป็นระยะเวลาหนึ่ง 
ในระหว่างนี้ มีเจ้าหน้าที่จากกรมคุ้มครองเด็กเข้ามาในหมู่บ้านและเอาตัวลูกสาวของกลอยใจไป เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งว่าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตรายต่อเด็กและเยาวชน ซึ่งมารู้ความจริงว่าสามีชาวต่างชาติของเธอได้เดินทางมาประเทศไทยและเป็นผู้แจ้งให้เจ้าหน้าที่รับเอาตัวเด็กไปสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า
ทั้งนี้ หากวันนั้นดิฉันช่วยให้กลอยใจพาลูกกลับบ้าน โดยเพียงแค่เซ็นเอกสารรับเป็นผู้ดูแลเด็ก กลอยใจและลูกก็จะยังได้อยู่ด้วยกัน
แต่เพราะตนเองก็มีภาระมากมาย ครอบครัวที่ต้องดูแล และในบ้านก็มีพี่ชายซึ่งติดสุราเช่นเดียวกัน
ดิฉันตัดสินใจไม่เซ็นเอกสารรับเด็กกลับบ้าน 
แต่ได้เจรจากับทางสามีชาวต่างชาติของเธอว่า ขอให้เขาพาเธอไปอยู่ต่างประเทศด้วยกันกับลูกสาว
ดิฉันอยากให้กลอยใจเป็นคนที่เซ็นรับลูกสาวกลับบ้านด้วยตัวเธอเอง ซึ่งเธอต้องมีหลักฐานรับรองสัญชาติไทย มีอาชีพและมีที่พักอาศัยเป็นหลักแหล่ง
โดยดิฉันวางแผนไว้ว่า
1) กลอยใจต้องได้บัตรประชาชน
2) กลอยใจต้องเลิกสุราได้
3) กลอยใจต้องมีทักษะอาชีพติดตัว

ได้สอบถามเจ้าหน้าที่ว่ามีวิธีการใดจะช่วยให้เธอได้บัตรประชาชนเร็วที่สุด ทางเจ้าหน้าที่แนะนำให้พาญาติที่ใกล้ชิดที่สุดไปตรวจ DNA
ดิฉันจึงได้พายายของกลอยใจไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจยืนยัน DNA ต้องรอผล 6 เดือน

พยายามสานสัมพันธ์ให้เธอและสามีคืนดีกัน พาไปเที่ยว พาไปรับประทานอาหาร เหมือนจะไปได้ด้วยดี
แต่ทั้งคู่กลับทะเลาะกัน และฝ่ายชายได้เดินทางจากไป

ดิฉันได้พากลอยใจไปสมัครเรียนตัดเสื้อ ซึ่งได้รับการบริจาคเงินมาจำนวนหนึ่งจากเพื่อนๆ เพื่อนำไปลงคอร์สเรียน 20,000 บาท
ดิฉันพาเธอเดินทางไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการบำบัด แม้จะไม่มีสิทธิ์ 30 บาท แต่ทางโรงพยาบาลอนุเคราะห์รับเป็นคนไข้อนาถา
ดิฉันขอให้เธอให้คำมั่นสัญญาว่า จะไม่กลับไปดื่มสุราอีก โดยบนบานศาลกล่าวที่หน้าศาลพระภูมิสถานรับเลี้ยงเด็ก
นอกจากนี้ได้ขอให้เพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยช่วยเหลือค่าที่พักอาศัยซึ่งแยกออกมาเป็นห้องเช่าเดือนละ 1,500 บาท 

เมื่อกลอยใจออกจากโรงพยาบาล เธอมีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดิฉันเช่าหอพักให้เธอพักใกล้ที่บ้าน ให้เธอทำงานในฟาร์มไก่เล็กๆ ของดิฉัน
ให้เธอได้เก็บไข่ไก่ไปรับประทาน หาซื้อเสื้อผ้า เครื่องอุปโภคบริโภคดำรงชีพ
และให้เธอเดินทางไปเรียนตัดเย็บเสื้อโดยการโดยสารไปกับรถของดิฉันตอนเช้า
ดิฉันได้รวบรวมเงินบริจาคจำนวนหนึ่งปรับปรุงบ้านพักอาศัยให้ยายของกลอยใจ

ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่ดำเนินการไว้ ราบรื่นดีมาก 1 สัปดาห์
แต่ดิฉันมีภาระกิจต้องเดินทางพานักศึกษาไปประเทศกัมพูชา จึงไม่ได้อยู่คอยกำกับดูแลเธอ
แต่ขอให้เธอรับคำมั่นว่าจะเดินทางไปเรียน และทำงานในฟาร์มไก่อย่างดีระหว่างที่ดิฉันไม่อยู่

ดิฉันวางใจว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผนการณ์ที่สมบูรณ์แบบนั้น แต่ปรากฏว่ามีโทรศัพท์โทรหาดิฉัน
แจ้งข่าวว่า กลอยใจถูกน้าชายชกต่อยเนื่องจากเธอไปนั่งร่วมวงสุรา เมื่อเดินทางกลับถึงเมืองไทยดิฉันไปเก็บข้าวของของเธอออกจากหอพัก 
เพื่อเป็นการลงโทษว่าเธอมิได้ปฏิบัติตามที่สัญญากันไว้ และพากลอยใจกลับไปที่บ้านเดิมที่ยายและน้าคนที่ชกต่อยเธออาศัยอยู่ 
กลอยใจรู้สึกกลัว ดิฉันรู้สึกได้แต่--เพิกเฉย
และกำชับให้เธอไปโรงเรียนกับดิฉันเช่นเดิม 
ดิฉันได้พากลอยใจไปพบตำรวจเพื่อลงบันทึกหลักฐานการทำร้ายร่างกาย พาเธอเดินทางไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายยืนยัน 
สภาพใบหน้าของเธอปูดบวม เขียวคล้ำ จากกำปั้นของผู้ชายที่ทำร้ายเธอที่ใบหน้าโดยเฉพาะ เธอบอกเธอปวดท้องเพราะเขาเตะที่ท้องของเธอด้วย
ยังไม่ดำเนินการกับน้าชายคนดังกล่าว เพียงคาดโทษไว้ 
นับจากเธอกลับไปอยู่บ้านยาย อารมณ์เธอเปลี่ยนไป เธอกลัว ---- แต่ดิฉันเพิกเฉย 
ดิฉันยังคะยั้นคะยอให้เธอเดินทางไปเรียน แต่เธอเริ่มขัดขืน  ---- ดิฉันรู้สึกได้ว่า จิตใจของเราสองคนไม่สานสัมพันกันเสียแล้ว 
กลอยใจเข้าใจผิดว่าดิฉันคือคนที่โทรแจ้งให้เจ้าหน้าที่เอาตัวลูกของเธอไป 
และเธอก็เลือกกลับไปดื่มสุราดังเดิม ในขณะที่ฝั่งน้าชายของเธอได้ลงมือทุบตีแม่ของตนเอง ---- ดิฉันแจ้งความจับ  แต่ยายไม่ยอมเอาความเพราะรักลูกชาย

ดิฉันถอดใจ วางมือ และเดินจาก ให้กลอยใจอยู่ในสภาพดังที่เธอเลือก
ในระหว่างนั้นมีเหตุให้ดิฉันลาออกจากอาชีพและได้เดินทางไปทำงานต่างจังหวัด เราขาดการติดต่อกัน ได้ทราบข่าวเพียงว่ากลอยใจไปอาศัยอยู่กะท่อมปลายนาท้ายหมู่บ้าน และเธอได้พบรักใหม่  ในระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งผลตรวจ DNA ว่าตรงกันกับของยาย
ดิฉันจึงติดต่อให้ลุงพากลอยใจไปเอาเอกสารหลักฐานและไปทำบัตรประชาชน ----- เธอมีบัตรประชาชน และลูกสาวของเธอก็มีใบสูติบัตร นี่เป็นรางวัลที่ภูมิใจมากที่สุดในชีวิตคนคนนึงที่ได้ช่วยเหลือใครสักคนตามแต่เราจะทำได้
แต่กลอยใจไม่สามารถเอาตัวลูกสาวออกจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าได้ เพราะกลอยใจไม่มีอาชีพ ไม่มีที่พักเป็นหลักแหล่ง

ผ่านไป 1 ปีกว่าๆ  ดิฉันล้มป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ และเดินทางกลับไปรักษาตัวที่บ้านเกิด
ได้ทราบข่าวว่ากลอยใจมีคนรักใหม่และเธอพักอาศัยร่วมกันกับเขา แต่มีปากเสียงทะเลาะกันบ่อยมาก เธอเคยพยายามมาขอความช่วยเหลือจากดิฉัน ในระหว่างที่ดิฉันนอนป่วยติดเตียง ------ เราไม่ได้เจอหน้ากัน
เหมือนเธออยากมาโชว์บัตรประชาชนที่เธอได้รับ ----- ดิฉันเพิกเฉยต่อการไปพบหน้าเธอ 

เธอกลับไป และอีก 1 เดือนต่อมา ดิฉันทราบข่าวที่น่าสะเทือนใจอย่างยิ่งว่า กลอยใจเสียชีวิตแล้ว
คนรักใหม่ของเธอใช้ท่อนไม้ขนาดเขื่องฟาดเข้าที่ท้ายทอยของเธอ เนื่องจากเมามายทะเลาะกัน เธอหมดสติบนตักของคนรักที่ยังคงนั่งดื่มสุราของเขาต่อไป
ชาวบ้านพาเธอไปโรงพยาบาล และเธอได้ใช้สิทธิ์ประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรคเป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอ
เธอโคม่า 1 วัน และจากไปอย่างสงบ *ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561* ซึ่งเป็นวันเกิดของข้าพเจ้าที่มีอายุครบ 38 ปี บริบูรณ์
กลอยใจไม่ได้พบหน้าลูกก่อนจากไป และเด็กน้อยก็ไม่ได้เจอหน้าแม่ครั้งสุดท้าย

ชีวิตมันสั้นมาก
เราไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น
เราไม่รู้หรอกว่าเราจะยังได้พบหน้าคนที่เรารักคนที่เราคุ้นเคยคนที่เราชื่นชมไปได้อีกนานแค่ไหน
ชีวิตคืออะไร ยังหาคำตอบต่อไป 
ก็แค่มีความสุขกับสิ่งง่ายๆ ความสุขมันเป็นเรื่องง่าย ทำให้มันง่าย ก็น่าจะเพียงพอแล้ว หรืออย่างไร ยังคงต้องก้าวต่อไป
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่