‘หมอมนูญ’ชี้กัมพูชาก้าวหน้ากว่าไทย จ่ายค่ายา ‘โมลนูพิราเวียร์’ แค่ 1,500 อาการดีขึ้น
https://www.dailynews.co.th/news/895332/
"หมอมนูญ" บอกกัมพูชาก้าวหน้ากว่าไทย เรื่องการใช้ยาต้านไวรัสรักษาโรคโควิด-19 จ่ายเงินค่ายา "โมลนูพิราเวียร์" 1,500 อาการดีขึ้น แถมซื้อได้ตามร้านขายยา ในโรงพยาบาล
เมื่อวันที่ 26 มี.ค. นพ.
มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC โดยระบุว่า
ผู้ป่วยชายอายุ 42 ปี ป่วยเป็นโรคโควิด-19 ไปหาแพทย์ที่โรงพยาบาลในประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2565 แพทย์ที่นั่นจ่ายยาโมลนูพิราเวียร์ นำเข้าจากประเทศอินเดีย (ดูรูป) ให้กินเช้า 4 เม็ด เย็น 4 เม็ด นาน 5 วัน อาการดีขึ้น เขาจ่ายเงินค่ายา คิดเป็นเงินไทย 1,500 บาท ยานี้ผลิตในประเทศอินเดีย ราคาขาย 2,000 รูปี คิดเป็นเงินไทย 878 บาท (ดูรูป) ในกัมพูชาสามารถซื้อยาโมลนูพิราเวียร์ตามร้านขายยา ในโรงพยาบาล ตั้งแต่ต้นปี 2565 และแพทย์ที่นั่นไม่ให้ยาฟาวิพิราเวียร์แล้ว
ประเทศกัมพูชาก้าวหน้ากว่าไทยเรื่องการใช้ยาต้านไวรัสรักษาโรคโควิด-19
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=2181631428670276&id=604030819763686
เศรษฐกิจไทยบนปากเหว ปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า
https://www.thansettakij.com/money_market/518907
ส่องความเสี่ยง เศรษฐกิจไทยปี 65 ตลาดการเงิน คาดแนวโน้มบาทอ่อนค่า หลังเฟดขึ้นดอกเบี้ย โอกาสแตะ 34-35 บาทต่อดอลลาร์ภายในสิ้นปี ชี้ทิศเงินทุนไหลออก หวั่นเศรษฐกิจโลกย่อตัวเหลือโต 2.5% ท่ามกลาง สงครามรัสเซีย-ยูเครน
การประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน(FOMC) ของ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ล่าสุด มีมติปรับขึ้นอัตรา ดอกเบี้ย ระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 0.25-0.50% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ และยังมีการคาดการณ์ว่า เฟด จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 6 ครั้งๆ ละ 0.25% ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งจะทำให้ดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ที่ระดับ 1.75-2.00% ในปลายปี 2565
นาย
นริศ สถาผลเดชา หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี (ttb Analytics) เปิดเผย
“ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ทิศทางตลาดการเงินหลังจาก ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ปรับขึ้นดอกเบี้ย พร้อมส่งสัญญาณที่จะปรับเพิ่มถึงสิ้นปี ทำให้ค่าเงินบาท มีแนวโน้มอ่อนค่า สวนทางดอลลาร์ที่แข็งค่าไปก่อนหน้าและแนวโน้มจะยังแข็งค่าต่อ ส่งผลให้เงินจะไหลออกจากตลาดเกิดใหม่
ดังนั้นแนวโน้ม ค่าเงินบาท มีโอกาสจะเห็นอ่อนค่าไปที่ 34-35 บาทต่อดอลลาร์ภายในสิ้นปี จากเดิมมองไว้ 36 บาทต่อดอลลาร์ และมีแนวโน้มขายสุทธิในตลาดตราสารหนี้ (บอนด์) จากอัตราผลตอบแทนระยะสั้นปรับลดลง แต่บอนด์ระยะยาวอาจจะชันขึ้นบ้างตามอัตราดอกเบี้ยบอนด์สหรัฐอายุ 10ปี
อย่างไรก็ตาม ttb Analytics ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยเหลือ 3.0% จากการบริโภคชะลอ ระดับราคาสินค้าเพิ่มสูง บวกภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง และกำลังซื้อหลังหักค่าใช้จ่ายจะลดลง ขณะเดียวกันราคาวัตถุดิบที่ปรับเพิ่มและขาดแคลนจะดึงการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน โดยที่ภาคการส่งออกยังไปได้ 7-8%
นาย
พูน พานิชย์พิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคาร กรุงไทยกล่าวว่า หลังเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย ค่าเงินบาท อาจจะผันผวนในกรอบกว้างได้ จากปัจจัยพื้นฐานที่ยังไม่ค่อยดี แต่จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยไม่มากนัก ยกเว้นเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยหลายครั้งจนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอมากกว่าคาด ซึ่งกรณีนี้จะกระทบทั้งโลกด้วย
นอกจากนั้น ผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนยังส่งผ่านมาในรูปของราคาสินค้าพลังงานสูง ทำให้เกิดภาวะราคาสินค้าอื่นๆ ปรับตัวสูงขึ้น กดดันให้ค่าครองชีพคนไทยปรับสูงขึ้น กระทบการบริโภคเอกชนได้แล้ว และหากทำให้เศรษฐกิจยุโรปชะลอตัวลงด้วย อาจทำให้การส่งออกไทยมีปัญหาบ้าง รวมถึง การท่องเที่ยวที่อาจมีจำนวนนักท่องเที่ยวน้อยกว่าคาด
อีกปัจจัยเสี่ยงที่น่ากลัวพอควรคือ เศรษฐกิจจีนจะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้ดีหรือไม่ หลังเจอการระบาดระลอกใหม่ที่รุนแรง ซึ่งจะกดดันทั้งการส่งออกไทยไปจีน รวมถึง ความหวังว่าจีนจะปรับกลยุทธ์รับมือหรือปรับแผน Zero COVID ซึ่งความหวังว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนมาไทยปลายปีก็ยังไม่ชัดเจน
ดร.
อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT)กล่าวว่า ความเสี่ยงจากราคาน้ำมันสูงจะกระทบการบริโภคในประเทศ ส่วนผลต่อเงินเฟ้อไทยน่าจะเฉลี่ยเกือบ 5% โดยจะสูงช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ตามราคาน้ำมัน แต่มีแนวโน้มที่เงินเฟ้อจะย่อลงได้ หลังจากอุปทานน้ำมันตลาดโลกเพิ่ม และท่าทีของธนาคารแห่งประเทศ ไทย (ธปท.)
ส่วนตัวเชื่อว่า ธปท.ยังไม่รีบขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เพราะเงินเฟ้อมาจากด้านอุปทาน ขณะที่การท่องเที่ยวชะลอลง จากนักท่องเที่ยวยุโรปและรัสเซีย ซึ่งผลกระทบต่อการบริโภคนั้น ภาครัฐน่าจะช่วยประคองกำลังซื้อในระยะสั้นได้ไม่ว่าจะอุดหนุนกองทุนน้ำมัน หรือ ลดค่าไฟ ค่าแก๊ส หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในระยะสั้น แต่ต้องช่วยให้ตรงจุด อย่าหว่านแห เพื่อไม่บิดเบือนกลไกตลาดเกินไป
ดร.
สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง กล่าวว่า ตลาดการเงินและไอเอ็มเอฟเริ่มปรับคาดการณ์เศรษฐกิจโลกขยายตัวลดลงเป็น 4.4% แต่ส่วนตัวมองบวก 2.5% ท่ามกลางสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่มีแนวโน้มกระทบซัพพลายเชนโลก ซึ่งสะท้อนถึงเศรษฐกิจไทยที่อาจหดตัวลง 1-2% จากที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดว่า ปีนี้จะเติบโตได้ถึง 4.5% แต่จะคงเหลือโต 2-2.5%
“จีดีพีไทยปีนี้แม้จะขยายตัวเป็นบวก 2.5% ถือว่ายังขี้เหร่และฟื้นตัวช้า ถ้าเทียบกับเวียดนามหรือประเทศเพื่อนบ้าน สิ่งที่รัฐบาลยังไม่ได้ทำคือ ต้องกระตุ้นขีดความสามารถในการแข่งขัน โครงสร้างพื้นฐานและอีอีซี เหล่านี้ต้องโฟกัส เพราะในประเทศเรา คนยังตกงานเพิ่ม รากหญ้าและเอสเอ็มอียังลำบากรวมทั้งกำลังซื้อที่ยังไม่กลับมา” ดร.
สมชายกล่าว
สอดคล้องดร.
สมประวิณ มันประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานวิจัย และหัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยากล่าวว่า ถ้า สงครามรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อถึงกลางปีและมีการร่วมแซงชั่นเพื่อบล็อคไม่ซื้อสินค้ารัสเซียและรัสเซียตอบโต้ไม่ส่งออกพลังงานและหยุดทำการค้า อาจนำไปสู่วิกฤติพลังงาน วัตถุดิบไม่พอใช้ในการผลิต ทำให้กระทบต้นทุนทั่วโลกทำให้เศรษฐกิจไทย อาจขยายตัวแค่ 1.3%
“เรามองกิจกรรมในไทยจะผ่อนคลายลง แม้จะมีคนติดเชื้อโอมิครอน แต่ห่วงผลกระทบจากภายนอก ถ้าสงครามรัสเซีย-ยูเครนไม่จบในไตรมาส 2 ปีนี้” ดร.
สมประวิณกล่าว
‘วีระ’ จี้ตามจับ ‘อดีตส.ส.พลังประชารัฐ’ หนีคดีมารับโทษ เหมือนล่าคนร้ายที่พัทลุง
https://www.matichon.co.th/politics/news_3253746
เมื่อวันที่ 26 มีนาคม นาย
วีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชัน ได้โพสต์ข้อเขียนสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตามจับ พ.ต.ท.
ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ อดีตส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ ผู้ต้องหาที่หนีคดีให้ได้เหมือนกับตามจับคำร้องที่ยิงตำรวจเสียชีวิตที่พังลุง โดยมีรายละเอียดดังนี้
“วันนี้วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม 2565 เวลา 10.00 น. ตำรวจตามจับตัวคนร้ายที่ยิงตำรวจตายที่จังหวัดพัทลุงได้แล้ว
นี่คืออีกหนึ่งหลักฐานหนึ่งที่ยืนยันว่า ตำรวจไทยก็เก่งไม่ใช่ย่อย จริงๆแล้วไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ (ไอ้ที่ทำไม่ได้ เพราะไม่ยอมทำ) หากตำรวจไทยต้องการจะตามจับตัวคนร้าย คนทำผิดจริงๆแล้ว ไม่มีคนร้ายคนใดสามารถหนีรอดไปได้เลย
ดังนั้น กรณีคนร้ายที่หนีหมายจับของตำรวจหลายคดี เช่น พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ซึ่งศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วอย่างน้อย 2 คดี ทั้งคดีล้มการประชุมอาเซียน และคดีบุกรุกครอบครองป่าสงวนแห่งชาติ โดยทั้งสองคดีศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดมาหลายปีแล้ว และศาลออกหมายจับให้ตำรวจไปตามจับตัวมารับโทษ แต่จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังไม่มีตำรวจคนใดไปตามจับตัว พ.ต.ท.ไวพจน์มารับโทษเลย
ทำไมตำรวจเก่งๆอย่าง ผบ.ตร. พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผบ.ตร. คนเก่งอย่าง พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ ผู้ช่วยผบ.ตร.คนเก่งอย่าง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล และผู้บัญชาการสอบสวนกลาง คนเก่งอย่าง พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช จึงไม่พยายามไปตามจับตัว พ.ต.ท.ไวพจน์มารับโทษ ทั้งๆที่เวลาได้ล่วงเลยมาหลายปีแล้ว
การที่ตำรวจไทยไม่ยอมไปตามจับตัว พ.ต.ท.ไวพจน์มารับโทษ จึงทำให้เชื่อได้ว่า อาจจะมีเจตนาช่วยเหลือผู้กระทำความผิดไม่ให้ได้รับโทษหรือไม่? การกระทำดังกล่าว จึงอาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตใช่หรือไม่
ดังนั้น คนไทยคนใดที่ทราบเรื่องเหล่านี้ และมีความพร้อม ก็สามารถที่จะไปยื่นเรื่องกล่าวหาต่อสำนักงาน ป.ป.ช. ให้ทำการไต่สวน และลงโทษ กับตำรวจที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย แต่ละเว้นไม่กระทำการตามอำนาจหน้าที่ จนเกิดความเสียหายแก่รัฐและประชาชนได้
#ศรีสุวรรณอยู่ไหน”
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=518541372969986&id=100044423829531
JJNY : ชี้กัมพูชาก้าวหน้ากว่าไทย│ศก.ไทยบนปากเหว│‘วีระ’จี้จับ อดีตส.ส.พปชร.หนีคดี│เปิดไทม์ไลน์ลต.‘ผู้ว่าฯกทม.-เมืองพัทยา’
https://www.dailynews.co.th/news/895332/
"หมอมนูญ" บอกกัมพูชาก้าวหน้ากว่าไทย เรื่องการใช้ยาต้านไวรัสรักษาโรคโควิด-19 จ่ายเงินค่ายา "โมลนูพิราเวียร์" 1,500 อาการดีขึ้น แถมซื้อได้ตามร้านขายยา ในโรงพยาบาล
เมื่อวันที่ 26 มี.ค. นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC โดยระบุว่า
ผู้ป่วยชายอายุ 42 ปี ป่วยเป็นโรคโควิด-19 ไปหาแพทย์ที่โรงพยาบาลในประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2565 แพทย์ที่นั่นจ่ายยาโมลนูพิราเวียร์ นำเข้าจากประเทศอินเดีย (ดูรูป) ให้กินเช้า 4 เม็ด เย็น 4 เม็ด นาน 5 วัน อาการดีขึ้น เขาจ่ายเงินค่ายา คิดเป็นเงินไทย 1,500 บาท ยานี้ผลิตในประเทศอินเดีย ราคาขาย 2,000 รูปี คิดเป็นเงินไทย 878 บาท (ดูรูป) ในกัมพูชาสามารถซื้อยาโมลนูพิราเวียร์ตามร้านขายยา ในโรงพยาบาล ตั้งแต่ต้นปี 2565 และแพทย์ที่นั่นไม่ให้ยาฟาวิพิราเวียร์แล้ว
ประเทศกัมพูชาก้าวหน้ากว่าไทยเรื่องการใช้ยาต้านไวรัสรักษาโรคโควิด-19
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=2181631428670276&id=604030819763686
เศรษฐกิจไทยบนปากเหว ปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า
https://www.thansettakij.com/money_market/518907
ส่องความเสี่ยง เศรษฐกิจไทยปี 65 ตลาดการเงิน คาดแนวโน้มบาทอ่อนค่า หลังเฟดขึ้นดอกเบี้ย โอกาสแตะ 34-35 บาทต่อดอลลาร์ภายในสิ้นปี ชี้ทิศเงินทุนไหลออก หวั่นเศรษฐกิจโลกย่อตัวเหลือโต 2.5% ท่ามกลาง สงครามรัสเซีย-ยูเครน
การประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน(FOMC) ของ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ล่าสุด มีมติปรับขึ้นอัตรา ดอกเบี้ย ระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 0.25-0.50% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ และยังมีการคาดการณ์ว่า เฟด จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 6 ครั้งๆ ละ 0.25% ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งจะทำให้ดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ที่ระดับ 1.75-2.00% ในปลายปี 2565
นายนริศ สถาผลเดชา หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี (ttb Analytics) เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ทิศทางตลาดการเงินหลังจาก ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ปรับขึ้นดอกเบี้ย พร้อมส่งสัญญาณที่จะปรับเพิ่มถึงสิ้นปี ทำให้ค่าเงินบาท มีแนวโน้มอ่อนค่า สวนทางดอลลาร์ที่แข็งค่าไปก่อนหน้าและแนวโน้มจะยังแข็งค่าต่อ ส่งผลให้เงินจะไหลออกจากตลาดเกิดใหม่
ดังนั้นแนวโน้ม ค่าเงินบาท มีโอกาสจะเห็นอ่อนค่าไปที่ 34-35 บาทต่อดอลลาร์ภายในสิ้นปี จากเดิมมองไว้ 36 บาทต่อดอลลาร์ และมีแนวโน้มขายสุทธิในตลาดตราสารหนี้ (บอนด์) จากอัตราผลตอบแทนระยะสั้นปรับลดลง แต่บอนด์ระยะยาวอาจจะชันขึ้นบ้างตามอัตราดอกเบี้ยบอนด์สหรัฐอายุ 10ปี
อย่างไรก็ตาม ttb Analytics ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยเหลือ 3.0% จากการบริโภคชะลอ ระดับราคาสินค้าเพิ่มสูง บวกภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง และกำลังซื้อหลังหักค่าใช้จ่ายจะลดลง ขณะเดียวกันราคาวัตถุดิบที่ปรับเพิ่มและขาดแคลนจะดึงการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน โดยที่ภาคการส่งออกยังไปได้ 7-8%
นายพูน พานิชย์พิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคาร กรุงไทยกล่าวว่า หลังเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย ค่าเงินบาท อาจจะผันผวนในกรอบกว้างได้ จากปัจจัยพื้นฐานที่ยังไม่ค่อยดี แต่จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยไม่มากนัก ยกเว้นเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยหลายครั้งจนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอมากกว่าคาด ซึ่งกรณีนี้จะกระทบทั้งโลกด้วย
นอกจากนั้น ผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนยังส่งผ่านมาในรูปของราคาสินค้าพลังงานสูง ทำให้เกิดภาวะราคาสินค้าอื่นๆ ปรับตัวสูงขึ้น กดดันให้ค่าครองชีพคนไทยปรับสูงขึ้น กระทบการบริโภคเอกชนได้แล้ว และหากทำให้เศรษฐกิจยุโรปชะลอตัวลงด้วย อาจทำให้การส่งออกไทยมีปัญหาบ้าง รวมถึง การท่องเที่ยวที่อาจมีจำนวนนักท่องเที่ยวน้อยกว่าคาด
อีกปัจจัยเสี่ยงที่น่ากลัวพอควรคือ เศรษฐกิจจีนจะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้ดีหรือไม่ หลังเจอการระบาดระลอกใหม่ที่รุนแรง ซึ่งจะกดดันทั้งการส่งออกไทยไปจีน รวมถึง ความหวังว่าจีนจะปรับกลยุทธ์รับมือหรือปรับแผน Zero COVID ซึ่งความหวังว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนมาไทยปลายปีก็ยังไม่ชัดเจน
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT)กล่าวว่า ความเสี่ยงจากราคาน้ำมันสูงจะกระทบการบริโภคในประเทศ ส่วนผลต่อเงินเฟ้อไทยน่าจะเฉลี่ยเกือบ 5% โดยจะสูงช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ตามราคาน้ำมัน แต่มีแนวโน้มที่เงินเฟ้อจะย่อลงได้ หลังจากอุปทานน้ำมันตลาดโลกเพิ่ม และท่าทีของธนาคารแห่งประเทศ ไทย (ธปท.)
ส่วนตัวเชื่อว่า ธปท.ยังไม่รีบขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เพราะเงินเฟ้อมาจากด้านอุปทาน ขณะที่การท่องเที่ยวชะลอลง จากนักท่องเที่ยวยุโรปและรัสเซีย ซึ่งผลกระทบต่อการบริโภคนั้น ภาครัฐน่าจะช่วยประคองกำลังซื้อในระยะสั้นได้ไม่ว่าจะอุดหนุนกองทุนน้ำมัน หรือ ลดค่าไฟ ค่าแก๊ส หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในระยะสั้น แต่ต้องช่วยให้ตรงจุด อย่าหว่านแห เพื่อไม่บิดเบือนกลไกตลาดเกินไป
ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง กล่าวว่า ตลาดการเงินและไอเอ็มเอฟเริ่มปรับคาดการณ์เศรษฐกิจโลกขยายตัวลดลงเป็น 4.4% แต่ส่วนตัวมองบวก 2.5% ท่ามกลางสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่มีแนวโน้มกระทบซัพพลายเชนโลก ซึ่งสะท้อนถึงเศรษฐกิจไทยที่อาจหดตัวลง 1-2% จากที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดว่า ปีนี้จะเติบโตได้ถึง 4.5% แต่จะคงเหลือโต 2-2.5%
“จีดีพีไทยปีนี้แม้จะขยายตัวเป็นบวก 2.5% ถือว่ายังขี้เหร่และฟื้นตัวช้า ถ้าเทียบกับเวียดนามหรือประเทศเพื่อนบ้าน สิ่งที่รัฐบาลยังไม่ได้ทำคือ ต้องกระตุ้นขีดความสามารถในการแข่งขัน โครงสร้างพื้นฐานและอีอีซี เหล่านี้ต้องโฟกัส เพราะในประเทศเรา คนยังตกงานเพิ่ม รากหญ้าและเอสเอ็มอียังลำบากรวมทั้งกำลังซื้อที่ยังไม่กลับมา” ดร.สมชายกล่าว
สอดคล้องดร.สมประวิณ มันประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานวิจัย และหัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยากล่าวว่า ถ้า สงครามรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อถึงกลางปีและมีการร่วมแซงชั่นเพื่อบล็อคไม่ซื้อสินค้ารัสเซียและรัสเซียตอบโต้ไม่ส่งออกพลังงานและหยุดทำการค้า อาจนำไปสู่วิกฤติพลังงาน วัตถุดิบไม่พอใช้ในการผลิต ทำให้กระทบต้นทุนทั่วโลกทำให้เศรษฐกิจไทย อาจขยายตัวแค่ 1.3%
“เรามองกิจกรรมในไทยจะผ่อนคลายลง แม้จะมีคนติดเชื้อโอมิครอน แต่ห่วงผลกระทบจากภายนอก ถ้าสงครามรัสเซีย-ยูเครนไม่จบในไตรมาส 2 ปีนี้” ดร.สมประวิณกล่าว
‘วีระ’ จี้ตามจับ ‘อดีตส.ส.พลังประชารัฐ’ หนีคดีมารับโทษ เหมือนล่าคนร้ายที่พัทลุง
https://www.matichon.co.th/politics/news_3253746
เมื่อวันที่ 26 มีนาคม นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชัน ได้โพสต์ข้อเขียนสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตามจับ พ.ต.ท. ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ อดีตส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ ผู้ต้องหาที่หนีคดีให้ได้เหมือนกับตามจับคำร้องที่ยิงตำรวจเสียชีวิตที่พังลุง โดยมีรายละเอียดดังนี้
“วันนี้วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม 2565 เวลา 10.00 น. ตำรวจตามจับตัวคนร้ายที่ยิงตำรวจตายที่จังหวัดพัทลุงได้แล้ว
นี่คืออีกหนึ่งหลักฐานหนึ่งที่ยืนยันว่า ตำรวจไทยก็เก่งไม่ใช่ย่อย จริงๆแล้วไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ (ไอ้ที่ทำไม่ได้ เพราะไม่ยอมทำ) หากตำรวจไทยต้องการจะตามจับตัวคนร้าย คนทำผิดจริงๆแล้ว ไม่มีคนร้ายคนใดสามารถหนีรอดไปได้เลย
ดังนั้น กรณีคนร้ายที่หนีหมายจับของตำรวจหลายคดี เช่น พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ซึ่งศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วอย่างน้อย 2 คดี ทั้งคดีล้มการประชุมอาเซียน และคดีบุกรุกครอบครองป่าสงวนแห่งชาติ โดยทั้งสองคดีศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดมาหลายปีแล้ว และศาลออกหมายจับให้ตำรวจไปตามจับตัวมารับโทษ แต่จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังไม่มีตำรวจคนใดไปตามจับตัว พ.ต.ท.ไวพจน์มารับโทษเลย
ทำไมตำรวจเก่งๆอย่าง ผบ.ตร. พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผบ.ตร. คนเก่งอย่าง พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ ผู้ช่วยผบ.ตร.คนเก่งอย่าง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล และผู้บัญชาการสอบสวนกลาง คนเก่งอย่าง พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช จึงไม่พยายามไปตามจับตัว พ.ต.ท.ไวพจน์มารับโทษ ทั้งๆที่เวลาได้ล่วงเลยมาหลายปีแล้ว
การที่ตำรวจไทยไม่ยอมไปตามจับตัว พ.ต.ท.ไวพจน์มารับโทษ จึงทำให้เชื่อได้ว่า อาจจะมีเจตนาช่วยเหลือผู้กระทำความผิดไม่ให้ได้รับโทษหรือไม่? การกระทำดังกล่าว จึงอาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตใช่หรือไม่
ดังนั้น คนไทยคนใดที่ทราบเรื่องเหล่านี้ และมีความพร้อม ก็สามารถที่จะไปยื่นเรื่องกล่าวหาต่อสำนักงาน ป.ป.ช. ให้ทำการไต่สวน และลงโทษ กับตำรวจที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย แต่ละเว้นไม่กระทำการตามอำนาจหน้าที่ จนเกิดความเสียหายแก่รัฐและประชาชนได้
#ศรีสุวรรณอยู่ไหน”
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=518541372969986&id=100044423829531