มนุษยโลก..
กลางป่าลึกเขตชายแดน..
ภาติกะกลบรัศมีเรืองรองรอบกายของตน สวมใส่อาภรณ์เฉกเช่นชาวบ้านทั่วไป เดินเรียบเรื่อยบนเส้นทางเกวียน มุ่งเข้ากลางป่าลึกห่างไกลผู้คน ริมฝีปากได้รูปหยัดยิ้มเล็กน้อย ยามได้กลิ่นสมุนไพรโชยตามสายลมอ่อนมาจากเรือนไม้ยกพื้นสูง ลานกว้างด้านหน้าเรียงรายด้วยสมุนไพรตากแห้งหลากหลายชนิด ชายหนุ่มร่างโปร่งบางนุ่งโจงกระเบนยาวเลยเข่าสีกรักแดง คาดเข็มขัดเงินฉลุลาย ยืนท่ามกลางแสงแดดจ้า ทว่า..ผิวกายยังคงขาวผ่องลออตา ไม่ได้หมองคล้ำดำกร้านเฉกเช่นบุรุษทั่วไป เส้นผมดำเรียบลื่นเกล้ามวยสูงเก็บชายผมไว้อย่างเรียบร้อยรัดด้วยเครื่องประดับทอง ไม่ได้ปล่อยชายผมยาวให้ระลำคอหรือแผ่นหลัง ด้วยความรำคาญในยามต้องทำงานก้มๆเงยๆหรือต้องสายลมแรง
“ปรวาณ”
ภาติกะเอ่ยเรียกเพื่อนรักที่ไม่ได้พบเจอกันร่วมห้าร้อยปี เหตุเพราะเขาเข้าฌานเพลินไปหน่อย
ปรวาณ หรือ หมอยามารุต ในร่างจำแลง ปรายหางตามอง เอ่ยรับด้วยโทนเสียงราบเรียบ
“ครั้งนี้เจ้านำสิ่งใดมาให้ข้ารักษาอีกเรอะ”
ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่กำยำมุ่ยหน้าขัดเคืองราวเด็กหนุ่มทันตา
“ข้าหายไปร่วมห้าร้อยปี แต่ดูเจ้าสิ ไฉนเมินเฉยราวกับว่า พวกเราเพิ่งห่างกันไปเมื่อไม่นานเช่นนี้เล่า”
ผู้เป็นเจ้าของเรือนละมือจากสมุนไพรมาทำสีหน้าคิดคำนวณ “เอ๋! ห้าร้อยปีเชียวเรอะ”
เพราะวันๆง่วนกับการศึกษาตำรับตำรา สร้างอาวุธบ้าง เก็บสมุนไพรทั่วป่าเขาบ้าง บางวันครึ้มอกครึ้มใจก็เดินชมนกชมไม้ตามสถานที่ต่างๆ วันไหนขยันหน่อย ก็ออกไปรักษาชาวบ้านตามหมู่บ้านห่างไกล หรือช่วงไหนขี้เกียจก็ใช้มนตร์พรางตาปิดเรือนไว้ แล้วกลับขึ้นวิมานในแดนสวรรค์นอนหลับชำระกายจนหมดสิ้นกลิ่นไอมนุษย์จึงกลับลงมาอีกครั้ง
คนฟังทอดถอนใจเหนื่อยหน่าย
“เจ้านี่ช่างไร้หัวจิตหัวใจ เสมอต้นเสมอปลายเสียจริง”
ปรวาณแย้มยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ไหนๆก็มาแล้ว..คืนนี้ดื่มเหล้า เดินหมากสกากับข้าสักหน่อยปะไร”
ภาติกะโคลงศีรษะ
“ข้ามาเพื่อการนี้ล่ะ”
เมื่อตกลงได้ดังนั้น ทั้งสองจึงช่วยกันเก็บสมุนไพร..ก่อนปักหลักประชันฝีมือกันข้ามวันข้ามคืน โดยไม่มีสิ่งใดมารบกวน
เนื่องจากมนุษยโลกนั้นสร้างจากความสมดุล ทั้งเทพและมารที่ข้ามมาดินแดนแห่งนี้ต้องสะกดพลังของตนให้เหลือเพียงหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น หากใช้พลังวิเศษทำร้ายมนุษย์มากเท่าไหร่ จะถูกพลังสะท้อนกลับมากเท่านั้น และอาศัยอยู่ได้ไม่เกินสองร้อยปี มิฉะนั้น มวลพลังของแดนโลกจะดูดกลืนพลังวิเศษไปหมดเพื่อปรับสมดุล ดังนั้น เทพและมารจำต้องกลับไปยังสถานที่ของตน เพื่อชำระล้างกลิ่นไอมนุษย์ให้หมด ถึงจะกลับลงมาได้อีกครั้ง ต่างจากภูต พราย หรือปิศาจที่ถือกำเนิดบนโลก แม้อิทธิฤทธิ์จะมีเพียงเล็กน้อย แต่ก็สามารถอาศัยบนโลกได้ยาวนานจนสิ้นอายุขัย
แต่ถึงแม้ปรวาณจะใช้พลังเพียงแค่ส่วนเดียว ก็เพียงพอปกป้องตนเองจากภยันตรายที่มีรอบด้าน และสามารถใช้พลังเล็กๆน้อยๆในการดำรงชีวิตประจำได้อย่างไม่เดือดร้อนใดๆ
ทั้งสองเดินหมากย่างเข้าวันที่สาม ก็ยังไม่มีฝ่ายใดชนะขาด แต่แท้จริงแล้ว ปรวาณออมมือให้ เพราะขี้เกียจฟังคำงอแงของเพื่อน จึงทู่ซี้นั่งเล่นไปเรื่อยๆ จนภาติกะบ่นหิว
ปรวาณแค่นยิ้ม
“เจ้าก็ช่างแปลกนัก ลงมาแดนมนุษย์ทีไร ก็ร่ำร้องหาแต่อาหาร อันไม่มีความจำเป็นใดๆต่อเจ้าเลย”
“แดนมนุษย์นั้นมีของกินให้ลิ้มลองมากมาย แล้วข้าจะละเลยได้อย่างไร เอาน่า..เจ้าก็อย่าบ่นนักเลย ยามอยู่บนสวรรค์ข้าก็ไม่ได้กินอะไรอยู่แล้ว เจ้าไม่สงสารข้าบ้างหรือไร..ข้าเป็นเทพที่อดอยากนะ”
ผู้ฟังเบ้หน้านึกหมั่นไส้กับการโอดครวญ เพราะรู้ๆกันอยู่ว่า ด้วยฌานบารมีระดับเขานั้น ไม่ต้องกินต้องดื่ม ก็ไม่มีผลอะไรอยู่แล้ว พลางเก็บกระดานหมากสกา และพากันเดินเข้าหมู่บ้าน ซึ่งหากเป็นมนุษย์ทั่วไป การเดินเท้าเช่นนี้ต้องใช้เวลาร่วมสามวัน ทว่า ทั้งสองใช้เวลาเพียงไม่กี่พริบตาก็เข้าเขตหมู่บ้าน
ภาติกะมองความเปลี่ยนแปลงที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก สมัยอดีตกาล สถานที่แห่งนี้ยังเป็นป่าชัฏและมีทางน้ำไหลผ่าน ไม่ได้เป็นหมู่บ้านแสนครึกครื้นเช่นในขณะนี้
ชาวบ้านหลายคนจำปรวาณในฐานะหมอยาที่เคยเข้ามารักษายามเกิดโรคระบาดได้ ต่างก็แสดงท่าทางนอบน้อม บ้างก็ทักทายก่อนเดินผ่านไป แต่สายตาหลายคู่กลับจับจ้องไปที่ภาติกะด้วยความอัศจรรย์ใจในรูปร่างอันสง่างาม ผิวกายผุดผาดเกลี้ยงเกลา เส้นผมยาวดำขลับเรียบลื่นไม่ยุ่งเหยิงและใบหน้าคมคายหล่อเหลาเกินชายใดที่พวกเขาเคยพบเจอ กระทั่งทั้งสองเข้าไปนั่งในร้านอาหารประจำหมู่บ้าน ซึ่งมีที่พักสำหรับนักเดินทาง สายตาหลายคู่ก็ยังไม่เลิกชำเลืองมอง จนภาติกะต้องละมือจากอาหารอันโอชะหันไปถามเพื่อน
“เหตุใดผู้คนเหล่านั้นถึงเพ่งมองราวจะชำแหละร่างของข้าเสียอย่างนั้นล่ะ”
“เพราะรูปโฉมของเจ้างามเกินมนุษย์น่ะสิ” ปรวาณตอบด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของเพื่อน ที่สามารถแยกแยะได้เพียงบุรุษสตรี อ้วนผอม ดำขาวเท่านั้น ส่วนระดับความงดงามนั้น เขาจะมองว่าเท่าเทียมกันหมด ไม่มีผู้ใดพิเศษไปกว่ากัน ดังนั้น จึงไม่เคยรู้ตัวเลยว่า รูปกายของเขานั้นโดดเด่น และเย้ายวนใจต่อสตรีมากเพียงไร หรือแม้แต่ความงามปานล่มบ้านล่มเมืองของเธอ เขาก็มองเห็นเพียงเฉกเช่นสตรีทั่วไป
ภาติกะโคลงศีรษะ ไม่ค่อยเข้าใจนัก และการที่ต้องตกเป็นเป้าสายตามากขนาดนี้ ความอยากอาหารหดหายในทันที จึงชวนเพื่อนกลับเรือน โดยช่วยกันหอบหิ้วเหล้าไปนั่งดื่มต่อจนตะวันตกดิน ชายหนุ่มจึงพูดขึ้น
“อีกสามวัน จะมีพิธีเฉลิมฉลองรับขวัญที่วิมานไวชยันต์ องค์อินทร์เชิญพวกเราเข้าร่วมด้วย”
ปรวาณที่ห่างหายจากสวรรค์มานานขมวดคิ้วกังขา
“บุตรแห่งองค์อินทร์เรอะ!?”
“ใช่..จากเสียงล่ำลือบนสวรรค์ เหมือนว่าโอรสองค์นี้จะกำเนิดมาจากพรอันประเสริฐของท้าวสหัมบดีพรหม..สวรรค์ทั้งหกแดนเลยคึกคักกันใหญ่”
“เป็นเช่นนั้นเองเรอะ” ผู้ฟังครุ่นคิด เพราะไม่ใคร่อยากปรากฏกายให้ผู้ใดเห็นนัก..ทว่า การถือกำเนิดในชั้นดาวดึงส์นั้น นับว่าเป็นเรื่องมงคลที่ยากจะเกิดขึ้นได้ เธอคงไม่อาจหลีกเลี่ยงการร่วมให้พรแก่ทารกน้อยผู้พิเศษเหนือทวยเทพทั้งปวง “อืม..เช่นนั้นข้าจะร่วมงานนี้ด้วย แต่เจ้าต้องอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลาที่ร่วมงานนะ”
“ทำไมล่ะ”
“ข้าขี้เกียจเสวนากับผู้ใดให้มากความ ดังนั้น เจ้าต้องคอยเป็นปราการให้ข้า”
“หือ!?..ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเจ้า ยังต้องเกรงกลัวผู้ใดอีกเรอะ”
ปรวาณในร่างมานพหนุ่มถอนใจยืดยาว
“ข้ามิได้เกรงกลัวผู้ใด แต่กลัวใจของข้าที่จะระงับโทสะไม่ไหว ยามถูกพวกเทพองค์อื่นเข้ามาเซ้าซี้ให้รำคาญ..แล้วเมื่อนั้น งานสังสรรค์คงล่มไม่เป็นท่า..ข้าไม่อยากตกเป็นหัวข้อ ในวงสนทนาหรอกนะ”
“..อ่อ”
เมื่อชายหนุ่มได้รับความกระจ่าง จึงตกลงตามที่เพื่อนต้องการ
“เช่นนั้นก็ไปพร้อมกัน แล้วข้าคิดว่าคงอยู่ร่วมงานไม่นานนัก..ถึงแม้จะชื่นชอบเสียงดนตรี แต่ข้ามิปรารถนาความวุ่นวายของงานรื่นเริงสักเท่าไหร่”
ปรวาณยิ้มรับ พลางเทเหล้าให้เพื่อน และร่วมดื่มกันข้ามคืน ก่อนภาติกะจะกลับวิมานของตน
(ต่อค่ะ)
ลำนำรักเทพบรรพกาล (1) : Angels and Devils. #บทที่๒ #(ดวงตามาร.)
กลางป่าลึกเขตชายแดน..
ภาติกะกลบรัศมีเรืองรองรอบกายของตน สวมใส่อาภรณ์เฉกเช่นชาวบ้านทั่วไป เดินเรียบเรื่อยบนเส้นทางเกวียน มุ่งเข้ากลางป่าลึกห่างไกลผู้คน ริมฝีปากได้รูปหยัดยิ้มเล็กน้อย ยามได้กลิ่นสมุนไพรโชยตามสายลมอ่อนมาจากเรือนไม้ยกพื้นสูง ลานกว้างด้านหน้าเรียงรายด้วยสมุนไพรตากแห้งหลากหลายชนิด ชายหนุ่มร่างโปร่งบางนุ่งโจงกระเบนยาวเลยเข่าสีกรักแดง คาดเข็มขัดเงินฉลุลาย ยืนท่ามกลางแสงแดดจ้า ทว่า..ผิวกายยังคงขาวผ่องลออตา ไม่ได้หมองคล้ำดำกร้านเฉกเช่นบุรุษทั่วไป เส้นผมดำเรียบลื่นเกล้ามวยสูงเก็บชายผมไว้อย่างเรียบร้อยรัดด้วยเครื่องประดับทอง ไม่ได้ปล่อยชายผมยาวให้ระลำคอหรือแผ่นหลัง ด้วยความรำคาญในยามต้องทำงานก้มๆเงยๆหรือต้องสายลมแรง
“ปรวาณ”
ภาติกะเอ่ยเรียกเพื่อนรักที่ไม่ได้พบเจอกันร่วมห้าร้อยปี เหตุเพราะเขาเข้าฌานเพลินไปหน่อย
ปรวาณ หรือ หมอยามารุต ในร่างจำแลง ปรายหางตามอง เอ่ยรับด้วยโทนเสียงราบเรียบ
“ครั้งนี้เจ้านำสิ่งใดมาให้ข้ารักษาอีกเรอะ”
ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่กำยำมุ่ยหน้าขัดเคืองราวเด็กหนุ่มทันตา
“ข้าหายไปร่วมห้าร้อยปี แต่ดูเจ้าสิ ไฉนเมินเฉยราวกับว่า พวกเราเพิ่งห่างกันไปเมื่อไม่นานเช่นนี้เล่า”
ผู้เป็นเจ้าของเรือนละมือจากสมุนไพรมาทำสีหน้าคิดคำนวณ “เอ๋! ห้าร้อยปีเชียวเรอะ”
เพราะวันๆง่วนกับการศึกษาตำรับตำรา สร้างอาวุธบ้าง เก็บสมุนไพรทั่วป่าเขาบ้าง บางวันครึ้มอกครึ้มใจก็เดินชมนกชมไม้ตามสถานที่ต่างๆ วันไหนขยันหน่อย ก็ออกไปรักษาชาวบ้านตามหมู่บ้านห่างไกล หรือช่วงไหนขี้เกียจก็ใช้มนตร์พรางตาปิดเรือนไว้ แล้วกลับขึ้นวิมานในแดนสวรรค์นอนหลับชำระกายจนหมดสิ้นกลิ่นไอมนุษย์จึงกลับลงมาอีกครั้ง
คนฟังทอดถอนใจเหนื่อยหน่าย
“เจ้านี่ช่างไร้หัวจิตหัวใจ เสมอต้นเสมอปลายเสียจริง”
ปรวาณแย้มยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ไหนๆก็มาแล้ว..คืนนี้ดื่มเหล้า เดินหมากสกากับข้าสักหน่อยปะไร”
ภาติกะโคลงศีรษะ
“ข้ามาเพื่อการนี้ล่ะ”
เมื่อตกลงได้ดังนั้น ทั้งสองจึงช่วยกันเก็บสมุนไพร..ก่อนปักหลักประชันฝีมือกันข้ามวันข้ามคืน โดยไม่มีสิ่งใดมารบกวน
เนื่องจากมนุษยโลกนั้นสร้างจากความสมดุล ทั้งเทพและมารที่ข้ามมาดินแดนแห่งนี้ต้องสะกดพลังของตนให้เหลือเพียงหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น หากใช้พลังวิเศษทำร้ายมนุษย์มากเท่าไหร่ จะถูกพลังสะท้อนกลับมากเท่านั้น และอาศัยอยู่ได้ไม่เกินสองร้อยปี มิฉะนั้น มวลพลังของแดนโลกจะดูดกลืนพลังวิเศษไปหมดเพื่อปรับสมดุล ดังนั้น เทพและมารจำต้องกลับไปยังสถานที่ของตน เพื่อชำระล้างกลิ่นไอมนุษย์ให้หมด ถึงจะกลับลงมาได้อีกครั้ง ต่างจากภูต พราย หรือปิศาจที่ถือกำเนิดบนโลก แม้อิทธิฤทธิ์จะมีเพียงเล็กน้อย แต่ก็สามารถอาศัยบนโลกได้ยาวนานจนสิ้นอายุขัย
แต่ถึงแม้ปรวาณจะใช้พลังเพียงแค่ส่วนเดียว ก็เพียงพอปกป้องตนเองจากภยันตรายที่มีรอบด้าน และสามารถใช้พลังเล็กๆน้อยๆในการดำรงชีวิตประจำได้อย่างไม่เดือดร้อนใดๆ
ทั้งสองเดินหมากย่างเข้าวันที่สาม ก็ยังไม่มีฝ่ายใดชนะขาด แต่แท้จริงแล้ว ปรวาณออมมือให้ เพราะขี้เกียจฟังคำงอแงของเพื่อน จึงทู่ซี้นั่งเล่นไปเรื่อยๆ จนภาติกะบ่นหิว
ปรวาณแค่นยิ้ม
“เจ้าก็ช่างแปลกนัก ลงมาแดนมนุษย์ทีไร ก็ร่ำร้องหาแต่อาหาร อันไม่มีความจำเป็นใดๆต่อเจ้าเลย”
“แดนมนุษย์นั้นมีของกินให้ลิ้มลองมากมาย แล้วข้าจะละเลยได้อย่างไร เอาน่า..เจ้าก็อย่าบ่นนักเลย ยามอยู่บนสวรรค์ข้าก็ไม่ได้กินอะไรอยู่แล้ว เจ้าไม่สงสารข้าบ้างหรือไร..ข้าเป็นเทพที่อดอยากนะ”
ผู้ฟังเบ้หน้านึกหมั่นไส้กับการโอดครวญ เพราะรู้ๆกันอยู่ว่า ด้วยฌานบารมีระดับเขานั้น ไม่ต้องกินต้องดื่ม ก็ไม่มีผลอะไรอยู่แล้ว พลางเก็บกระดานหมากสกา และพากันเดินเข้าหมู่บ้าน ซึ่งหากเป็นมนุษย์ทั่วไป การเดินเท้าเช่นนี้ต้องใช้เวลาร่วมสามวัน ทว่า ทั้งสองใช้เวลาเพียงไม่กี่พริบตาก็เข้าเขตหมู่บ้าน
ภาติกะมองความเปลี่ยนแปลงที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก สมัยอดีตกาล สถานที่แห่งนี้ยังเป็นป่าชัฏและมีทางน้ำไหลผ่าน ไม่ได้เป็นหมู่บ้านแสนครึกครื้นเช่นในขณะนี้
ชาวบ้านหลายคนจำปรวาณในฐานะหมอยาที่เคยเข้ามารักษายามเกิดโรคระบาดได้ ต่างก็แสดงท่าทางนอบน้อม บ้างก็ทักทายก่อนเดินผ่านไป แต่สายตาหลายคู่กลับจับจ้องไปที่ภาติกะด้วยความอัศจรรย์ใจในรูปร่างอันสง่างาม ผิวกายผุดผาดเกลี้ยงเกลา เส้นผมยาวดำขลับเรียบลื่นไม่ยุ่งเหยิงและใบหน้าคมคายหล่อเหลาเกินชายใดที่พวกเขาเคยพบเจอ กระทั่งทั้งสองเข้าไปนั่งในร้านอาหารประจำหมู่บ้าน ซึ่งมีที่พักสำหรับนักเดินทาง สายตาหลายคู่ก็ยังไม่เลิกชำเลืองมอง จนภาติกะต้องละมือจากอาหารอันโอชะหันไปถามเพื่อน
“เหตุใดผู้คนเหล่านั้นถึงเพ่งมองราวจะชำแหละร่างของข้าเสียอย่างนั้นล่ะ”
“เพราะรูปโฉมของเจ้างามเกินมนุษย์น่ะสิ” ปรวาณตอบด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของเพื่อน ที่สามารถแยกแยะได้เพียงบุรุษสตรี อ้วนผอม ดำขาวเท่านั้น ส่วนระดับความงดงามนั้น เขาจะมองว่าเท่าเทียมกันหมด ไม่มีผู้ใดพิเศษไปกว่ากัน ดังนั้น จึงไม่เคยรู้ตัวเลยว่า รูปกายของเขานั้นโดดเด่น และเย้ายวนใจต่อสตรีมากเพียงไร หรือแม้แต่ความงามปานล่มบ้านล่มเมืองของเธอ เขาก็มองเห็นเพียงเฉกเช่นสตรีทั่วไป
ภาติกะโคลงศีรษะ ไม่ค่อยเข้าใจนัก และการที่ต้องตกเป็นเป้าสายตามากขนาดนี้ ความอยากอาหารหดหายในทันที จึงชวนเพื่อนกลับเรือน โดยช่วยกันหอบหิ้วเหล้าไปนั่งดื่มต่อจนตะวันตกดิน ชายหนุ่มจึงพูดขึ้น
“อีกสามวัน จะมีพิธีเฉลิมฉลองรับขวัญที่วิมานไวชยันต์ องค์อินทร์เชิญพวกเราเข้าร่วมด้วย”
ปรวาณที่ห่างหายจากสวรรค์มานานขมวดคิ้วกังขา
“บุตรแห่งองค์อินทร์เรอะ!?”
“ใช่..จากเสียงล่ำลือบนสวรรค์ เหมือนว่าโอรสองค์นี้จะกำเนิดมาจากพรอันประเสริฐของท้าวสหัมบดีพรหม..สวรรค์ทั้งหกแดนเลยคึกคักกันใหญ่”
“เป็นเช่นนั้นเองเรอะ” ผู้ฟังครุ่นคิด เพราะไม่ใคร่อยากปรากฏกายให้ผู้ใดเห็นนัก..ทว่า การถือกำเนิดในชั้นดาวดึงส์นั้น นับว่าเป็นเรื่องมงคลที่ยากจะเกิดขึ้นได้ เธอคงไม่อาจหลีกเลี่ยงการร่วมให้พรแก่ทารกน้อยผู้พิเศษเหนือทวยเทพทั้งปวง “อืม..เช่นนั้นข้าจะร่วมงานนี้ด้วย แต่เจ้าต้องอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลาที่ร่วมงานนะ”
“ทำไมล่ะ”
“ข้าขี้เกียจเสวนากับผู้ใดให้มากความ ดังนั้น เจ้าต้องคอยเป็นปราการให้ข้า”
“หือ!?..ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเจ้า ยังต้องเกรงกลัวผู้ใดอีกเรอะ”
ปรวาณในร่างมานพหนุ่มถอนใจยืดยาว
“ข้ามิได้เกรงกลัวผู้ใด แต่กลัวใจของข้าที่จะระงับโทสะไม่ไหว ยามถูกพวกเทพองค์อื่นเข้ามาเซ้าซี้ให้รำคาญ..แล้วเมื่อนั้น งานสังสรรค์คงล่มไม่เป็นท่า..ข้าไม่อยากตกเป็นหัวข้อ ในวงสนทนาหรอกนะ”
“..อ่อ”
เมื่อชายหนุ่มได้รับความกระจ่าง จึงตกลงตามที่เพื่อนต้องการ
“เช่นนั้นก็ไปพร้อมกัน แล้วข้าคิดว่าคงอยู่ร่วมงานไม่นานนัก..ถึงแม้จะชื่นชอบเสียงดนตรี แต่ข้ามิปรารถนาความวุ่นวายของงานรื่นเริงสักเท่าไหร่”
ปรวาณยิ้มรับ พลางเทเหล้าให้เพื่อน และร่วมดื่มกันข้ามคืน ก่อนภาติกะจะกลับวิมานของตน
(ต่อค่ะ)