Amatory Myths
บทนำ
นครอุรุค(Uruk) สองพันปีก่อนคริสตกาล
นครแห่งนี้ปกครองโดยกษัตริย์นามว่า 'กิลกาเมช(Gilgamesh)' มหานครที่มีทรัพยากรอันมั่งคั่งอุดมด้วยพืชพันธุ์งอกงามจนออกผลได้ปีละสองครั้ง กำแพงสูงสลักเสลาด้วยความปราณีตวิจิตร ทั้งเมืองและบ้านเรือนนั้นลอยอยู่บนท้องฟ้าแขวนไว้ด้วยสะพานใหญ่เชื่อมกันระหว่างส่วนต่างๆของเมือง วิหารใหญ่โตสวยงามดาดาษไปด้วยเพชรพลอยตามผนังและเพดาน ทั้งยังมีสวนลอยฟ้าแห่งบาบิโลนสร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสประดับด้วยบันไดทางขึ้นอันกว้างขวางลดหลั่นกันเป็นชั้นล้วนทำจากหินอ่อนสีขาว บนสวนนั้นยังมีพืชไม้นานาๆชนิดให้ความสงบร่มรื่น ทั้งประชาชนต่างเปียมสุขด้วยบ้านเมืองอันสงบร่มเย็นภายใต้การปกครองของกิลกาเมช แต่ทว่าไม่มีสิ่งใดจะจิรังยั่งยืนได้ตลอดกาล
ทหารองครักษ์คนหนึ่งวิ่งเข้ามายังท้องพระโรงแล้วคุกเข่าลงเบื้องหน้าบัลลังกษัตริย์
"ทูลฝ่าบาท สารจากท่านชาร์นาบีส่งมา" ทหารองครักษ์นั้นกล่าว
"ความว่าอย่างไร" กษัตริย์กิลกาเมชตรัสถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียดดั่งว่าเดาการออกจากอาการรีบร้อนของทหารองครักษ์
"นครอิริดู(Eridu) และเออร์(Ur) ล้วนพินาศสิ้นด้วยกองทัพยักษ์ที่มีเปลวไฟลุกทั่วร่าง บัดนี้กองทัพยักษ์อัคคี กรีฑาทัพมุ่งต่อมายังอุรุคแล้ว" ทหารองครักษ์รายงานจบและนิ่งเงียบไปเหมือนกำลังรอคำบัญชาจากกษัตริย์
กษัตริย์กิลกาเมชมองไปยังเอ็นคิดู(Enkidu)สหายสนิท และมอร์แกน(Morgan)ชายาของพระองค์ เอนคิดูตอบกลับโดยผ่านแววตาที่แสดงถึงความกล้าหาญ ส่วนมอร์แกนเพียงพยักหน้าราวกับทราบว่าเหตุการณ์เช่นนี้ต้องเกิดขึ้นและเตรียมใจไว้แล้ว
"เราจะต้านกองทัพยักษ์อัคคีด้วยวิธีใด" กิลกาเมชถามมอร์แกน
"หนึ่งพันเจ็ดร้อยปีก่อนกองทัพแห่งมุสเพลไฮม์(Muspellheim)กรีฑาทัพข้ามมายังโลกนี้เพื่อช่วงชิงศิลาฟาเลียส(Falias)ครึ่งหนึ่งที่แอตแลนติส(Atlantis)และถือครองกลับไปยังโลกต่างภพ สงครามครั้งนั้นแอตแลนติสต้องล่มสลายและจมลงสู่ห้วงทะเลลึก" มอร์แกนบอกเล่าเรื่องราว
"ก่อนนี้ข้ารู้เพียงว่ามีตำนานแห่งอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองของเกราะใจกลางมหาสมุทรที่จมหายไปยังห้วงทะเลลึกมิคาดที่นั่นกลับถือครองศิลาฟาเลียสเช่นเดียวกับนครอุรุคแห่งนี้ ชายาข้าจงแถลงไขถึงความลับในอดีตกาลนี้ด้วยเถิด "
"ความเหล่านี้ข้าทราบได้จากบันทึกของมารดาท่านเขียนขึ้นก่อนจะจากไป พระนางส่งมอบบันทึกต่อข้าเพื่อให้ข้าทำภารกิจให้ลุล่วง" มอร์แกนบอกต่อกิลกาเมชพลางส่งผ้าขาวผืนหนึ่งให้กิลกาเมช
เมื่อกิลกาเมชคลี่ผ้าขาวออกดูข้างในปรากฏข้อความที่มารดาของตนบันทึกไว้ กิลกาเมชทอดสายตามองไล่ไปตามตัวอักษรแต่ละตัวอย่างพิจารณา
'ศิลาฟาเลียสเป็นเทพีดานู(Danu)เทพมารดรแห่งเทพทั้งปวงประทานให้แอกนอแมน (Agnoman)ก่อนที่จะเดินทางไปสู่ดินแดนอมตะพร้อมเหล่าเทพทวยทั้งหมดและไม่หวนกลับมายังโลกใดๆอีก เพื่อให้นำขุมพลังนั้นมายังโลกมนุษย์และชี้นำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองขึ้น แอกนอแมนแบ่งศิลาออกเป็นสองส่วน หนึ่งมอบให้แก่พาโธลาน(Patholan)บุตรคนโต อีกหนึ่งมอบให้เนเมด (Named)บุตรคนรอง ทั้งสองต่างรับศิลาฟาเลียสคนละครึ่งและนำมายังโลกมนุษย์ เนเมดใช้ขุมพลังจากศิลาสร้างอาณาจักรขึ้นที่เกาะอันกว้างใหญ่กลางมหาสมุทรที่แห่งนั้นเรียกขานว่าแอตแลนติส (Atlantis) ส่วนพาโธลานเมื่อนำศิลามายังโลกมนุษย์แล้วมิได้ใช้พลังจากศิลา แต่กลับเฝ้าศึกษาศิลานั้นเป็นเวลาหลายร้อยปี แล้วจึงมอบต่อให้กษัตริย์แห่งนครอุรุคและสอนการใช้พลังจากศิลาฟาเลียส หลังจากนั้นพาโธลานจึงกลับไปยังโลกที่จากมาเพื่อรอจะเดินทางไปยังดินแดนอมตะพร้อมกับบิดาและเหล่าทวยเทพ ณ โลกต่างภพนั้นพาโธลานได้สร้างอาณาจักรแห่งใหม่ขึ้นใช้ชื่อตามผู้สร้างว่าอาณาจักรแห่งมนตราพาโธลาน มีอาณาเขตกว้างใหญ่ติดกับอาณาจักรอัล์ฟไฮม์(Alfheim)อาณาจักรแห่งเอล์ฟและอาณาจักรฟอเมอร์(Former)อาณาจักรของภูตยักษ์ทรงพลัง
เมื่อเวลาอันยาวนานผ่านไป ข้าเทพีรีมัตเดินทางมายังโลกนี้ตามคำบรรชาจากเทพีดานูเพื่อเยี่ยมชมความเจริญรุ่งเรืองของมนุษย์และตักเตือนถึงภัยพิบัติที่จะมาเยือน แต่ข้ามาช้าไปแอตแลนติสถูกทำลายย่อยยับโดยกองทัพของเซิร์ท(Surt)ยักษ์อัคคีแห่งแดนมุสเพลไฮม์(Muspellheim)และศิลาครึ่งหนึ่งถูกช่วงชิงไป ส่วนเนเมดต้องสาบสูญจากการล่มสลายของแอตแลนติส ข้าจึงเดินทางต่อมายังนครอุรุค อาจเป็นเพราะนครแห่งนี้ปกครองโดยกษัตริย์มนุษย์จึงไม่สามารถใช้พลังจากศิลาได้อย่างเต็มที่แต่ถึงกระนั้นอาณาจักรแห่งนี้ก็ยังเป็นมหานครอันยิ่งใหญ่ และที่นี่ข้าได้พบกับกษัตริย์ลูกัลบันดา(Lugalbanda) ข้าตัดสินใจอภิเษกเพื่อเป็นราชินีแห่งอุรุค ข้าใช้พลังจากศิลาเนรมิตรนครแห่งนี้ให้กลายเป็นนครลอยฟ้าที่สวยงามราวกับสรวงสวรรค์ แลใช้พลังนั้นเสกสรรค์ความอุดมสมบูรณ์ให้บังเกิดแก่นครกลางทะเลทรายแห่งนี้ หลังจากนั้นไม่นานข้าให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งให้นามว่ากิลกาเมช แต่ชีวิตมนุษย์ช่างแสนสั้นไม่มีความสุขใดจะยั่งยืนในช่วงชีวิตมนุษย์ เมื่อสวามีข้าจากไปหลังจากข้าให้กำเนิดกิลกาเมชไม่นาน ข้าจึงหมดอาลัยในโลกมนุษย์จะมีก็เพียงบุตรชายคนเดียว ข้าจึงสอนการใช้พลังจากศิลาและพลังแห่งสายเลือดเทพในตัวเขา เพื่อหวังให้ปกครองนครแห่งนี้ให้ร่มเย็นดั่งเช่นที่เหล่าบรรพกษัตริย์ได้สร้างมา เมื่อบุตรชายข้าโตขึ้นเป็นกษัตริย์อย่างภาคภูมิ ข้าจึงตัดสินใจกลับไปยังโลกที่จากมาเพื่อเริ่มเดินทางไปกับเหล่าทวยเทพทั้งหลาย แต่ความห่วงใยมิได้สิ้นไปจากใจข้า ข้าจึงวอนขอให้เทพีมอร์แกน เลอเฟย์(Morgan LeFay)เทพีแห่งโชคชะตามาเป็นชายาของกิลกาเมช เพื่อหวังให้นางนำพากิลกาเมชสู่หนทางแห่งโชคชะตา'
เมื่ออ่านบันทึกจบกิลกาเมชนิ่งเงียบไปราวกับไม่เชื่อว่าความในบันทึกของมารดานี้เป็นเรื่องจริง หรืออาจจะพิจารณาความจริงนั้นอยู่ก็เป็นได้
"หากเจ้าเป็นเทพีแห่งโชคชะตา ใยเจ้ามิทำนายทายทักถึงภัยที่กำลังมาเยือนนี้เล่ามอร์แกน"
"ข้าเห็นเพียงชะตาของท่านที่ต้องตรากตรำผ่านเวลานานนับพันทีต่อจากนี้"
เมื่อได้รับฟังเช่นนั้นใบหน้าของกิลกาเมชแสดงออกถึงความสับสนภายในใจที่ปรากฏออกมาจากดวงตา สายตามองไปยังมอร์แกนหวังเพียงให้นางช่วยนำพาตนอย่างที่มารดาบอกไว้ เอ็นคิคูเมื่อเห็นสหายกลัดกลุ้มเช่นนั้นตนก็มิอาจนิ่งนอนใจไปได้ตระเตรียมจะออกไปรบพุ่งกับเหล่ายักษ์อัคคีดูสักครา
"สงครามนี้คงเลี่ยงไม่ได้แล้ว แต่ข้ายังสงสัยเหตุใดแอตแลนติสจึงล่มสลายทั้งที่ถือครองศิลาฟาเลียสอยู่ในมือ หรือแม้แต่พลังจากศิลาเทพก็มิอาจต้านทานกองทัพยักษ์อัคคีได้" เอ็นคิคูกล่าวถามมอร์แกน
"เรื่องราวกาล่มสลายของแอตแลนติสนั้นข้าก็มิอาจทราบได้" มอร์แกนตอบ
"เช่นนั้นด้วยขุมพลังแห่งศิลาฟาเลียส ข้าจะให้มันพิทักษ์อุรุค นครที่เหล่าบรรพกษัตริย์ของข้าสร้างขึ้น" กิลกาเมชกล่าวอย่างหนักแน่น
"แล้วจะเป็นเช่นไรหากเซิร์ทได้ศิลาทั้งสองไปครอบครอง" เอ็นคิคูเอ่ยถาม
"บัดนี้ไม่เหลือเหล่าเทพที่จะคอยพิทักษ์ ทั้งสองโลกจะถูกไฟแห่งมุสเพลไฮม์แผดเผาจนสิ้น ประตูกลาสตัน(Glaston)จะไม่สามารถปิดลงได้ จะไม่มีสิ่งใดขวางกั้นความชั่วร้ายทั้งหลาย เหล่าอสูรจะข้ามไปมาระหว่างโลกมนุษย์และโลกต่างภพอย่างอิสระ ความชั่วร้ายทั้งมวลจะกระจายไปทั่วทุกทิศ" มอร์แกนให้คำตอบที่เอ็มคิคูอยากรู้
"เช่นนั้นเราควรซ่อนศิลาให้ให้พ้นเงื้อมมือพวกมันหรือ" กิลกาเมชถามด้วยน้ำเสียงและสายอันบ่งบอกได้ว่าไม่ต้องการเช่นน้น
"ด้วยวิธีารใดเล่า ในเมื่อแอตแลนติสตำนานแห่งอารยธรรมที่รุ่งเรืองถึงขีดสุด ยังล่มสลายลงด้วยกองทัพแห่งมุสเพลไฮม์นี้" เอ็นคิคูพูดขึ้นแลดูจะสิ้นหวังในยามนี้
"เราจำต้องค้นหาเหล่าผู้ที่จะยอมละทิ้งเส้นทางแห่งชีวิต และมุ่งสู่ภารกิจอันแสนอันแสนยากลำบาก นี่เป็นชะตาของท่านและชะตาของเขาเหล่านั้น หากท่านยอมรับชะตากรรมนี้การเดินทางผ่านวันเวลาอันจะยาวนานนับพันปีของท่านจะเริ่มขึ้น" นี่เป็นคำแนะนำจากเทพีแห่งโชคชะตา คำแนะนำสุดท้ายที่ไม่ทราบว่ากิลกาเมชจะตัดสินใจเช่นไร
กองทัพแห่งอุรุคเข้าโรมรันกับกองทัพที่ไม่อาจเอาชัยได้ด้วยความกล้าหาญ สงครามจบลงเพียงข้ามคืนไม่เหลือรอดทหารของอุรุคแม้แต่คนเดียว หลังจากนั้นเมืองลอยฟ้าแห่งนครอุรุคก็ลุกโหมไหมด้วยเปลวไฟแห่งเซิร์ท ทุกสิ่งถูกทำลายลงสิ้น จากนครลอยฟ้าอันสวยงามรามสวรรค์บัดนี้ทิ้งไว้เพียงแต่ซากปรักหักพัง เพชรนิลจินดาใดๆล้วนกระจัดกระจายอย่างไร้ค่าท่ามกลางเพลิงสงครามที่โหมกระหน่ำมหานครที่เคยมั่งคั่งแห่งนี้ แต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับกิลกาเมชในสงครามครั้งนั้น บ้างก็ว่ากิลกาเมชหนีจากสงครามด้วยความขลาดเขลา บางตำนานก็ว่ากิลกาเมชตายอย่างสมเกียรติ์กษัตริย์ในสนามรบ แต่ไม่ว่าตำนานใดจะเล่าขานเช่นไร และไม่ว่าตำนานนั้นจะเคยยิ่งใหญ่สักเพียงใดเมื่อเวลาอันยาวนานผ่านไปล้วนกลายเป็นเพียงนิทานปรัมปรา
ภายในห้องอันมืดสลัวแห่งหนึ่งที่มีเพียงแสงจากเชิงเทียนส่องสว่าง ไม่สามารถมองเห็นภายในได้ชัดถนัดตายังปรากฏเงาร่างคนสองคนอยู่ภายใน บรรยายกาศภายในผ่านไปด้วยความเงียบงันเนิ่นนานราวกับผู้ที่ยืนอยู่ภายในห้องนั้นเป็นเพียงหุ่นที่ไม่ไหวติง สายลมโชยพัดผ่าน ผ้าม่านภายในสะบัดพริ้วเล็กน้อยรับสายลมอ่อนๆ เนิ่นนานจนในที่สุดก็มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากห้องที่มืดสลัวนั้น
"ข้าเฝ้ารอมานานเท่าใดแล้วมอร์แกนยอดรักของข้า เฝ้ารอเพื่อสักวันจะพานพบเหล่าทายาทที่คู่ควรดั่งเช่นเจ้าทำนายไว้" บุรุษผู้หนึ่งกล่าว
"กว่าสี่พันปีล่วงมาแล้ว เพื่อรอคอยเหล่าทายาทที่พร้อมใจจะก้าวเดินสู่เส้นทางอันมืดมิดสายนั้น ท่านจะตรากตรำเฝ้ารออย่างงมงายอยู่เช่นนี้ แม้จะต้องผันผ่านนับร้อยพันปีนะหรือ" เสียงนุ่มนวลของสตรีกล่าวถาม
แต่หาได้มีเสียงอันใดตอบกลับมา
"โชคชะตานั้นไม่สามารถเป็นอื่นใดได้ เรายังคงเฝ้ามองเหล่าทายาทจากรุ่นสู่รุ่นเสมอมา เมื่อใดกันจึงจะพบเหล่าผู้ที่คู่ควรนั้น แม้ข้าเองก็มิอาจตอบ" สตรีนางเดิมกล่าวด้วยเสียงอันท้อแท้
"ข้าเชื่อว่าโชคชะตาจะนำพาเราไปหรือพวกเขาให้มาพานพบกัน ดั่งเช่นที่ข้าเชื่อในเจ้าเสมอมา" เสียงบุรุษกล่าวอย่างราบเรียบ
นิยายผจญภัยแฟนตาซี-Amatory Myths(Yaoi) บทนำ
บทนำ
นครอุรุค(Uruk) สองพันปีก่อนคริสตกาล
นครแห่งนี้ปกครองโดยกษัตริย์นามว่า 'กิลกาเมช(Gilgamesh)' มหานครที่มีทรัพยากรอันมั่งคั่งอุดมด้วยพืชพันธุ์งอกงามจนออกผลได้ปีละสองครั้ง กำแพงสูงสลักเสลาด้วยความปราณีตวิจิตร ทั้งเมืองและบ้านเรือนนั้นลอยอยู่บนท้องฟ้าแขวนไว้ด้วยสะพานใหญ่เชื่อมกันระหว่างส่วนต่างๆของเมือง วิหารใหญ่โตสวยงามดาดาษไปด้วยเพชรพลอยตามผนังและเพดาน ทั้งยังมีสวนลอยฟ้าแห่งบาบิโลนสร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสประดับด้วยบันไดทางขึ้นอันกว้างขวางลดหลั่นกันเป็นชั้นล้วนทำจากหินอ่อนสีขาว บนสวนนั้นยังมีพืชไม้นานาๆชนิดให้ความสงบร่มรื่น ทั้งประชาชนต่างเปียมสุขด้วยบ้านเมืองอันสงบร่มเย็นภายใต้การปกครองของกิลกาเมช แต่ทว่าไม่มีสิ่งใดจะจิรังยั่งยืนได้ตลอดกาล
ทหารองครักษ์คนหนึ่งวิ่งเข้ามายังท้องพระโรงแล้วคุกเข่าลงเบื้องหน้าบัลลังกษัตริย์
"ทูลฝ่าบาท สารจากท่านชาร์นาบีส่งมา" ทหารองครักษ์นั้นกล่าว
"ความว่าอย่างไร" กษัตริย์กิลกาเมชตรัสถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียดดั่งว่าเดาการออกจากอาการรีบร้อนของทหารองครักษ์
"นครอิริดู(Eridu) และเออร์(Ur) ล้วนพินาศสิ้นด้วยกองทัพยักษ์ที่มีเปลวไฟลุกทั่วร่าง บัดนี้กองทัพยักษ์อัคคี กรีฑาทัพมุ่งต่อมายังอุรุคแล้ว" ทหารองครักษ์รายงานจบและนิ่งเงียบไปเหมือนกำลังรอคำบัญชาจากกษัตริย์
กษัตริย์กิลกาเมชมองไปยังเอ็นคิดู(Enkidu)สหายสนิท และมอร์แกน(Morgan)ชายาของพระองค์ เอนคิดูตอบกลับโดยผ่านแววตาที่แสดงถึงความกล้าหาญ ส่วนมอร์แกนเพียงพยักหน้าราวกับทราบว่าเหตุการณ์เช่นนี้ต้องเกิดขึ้นและเตรียมใจไว้แล้ว
"เราจะต้านกองทัพยักษ์อัคคีด้วยวิธีใด" กิลกาเมชถามมอร์แกน
"หนึ่งพันเจ็ดร้อยปีก่อนกองทัพแห่งมุสเพลไฮม์(Muspellheim)กรีฑาทัพข้ามมายังโลกนี้เพื่อช่วงชิงศิลาฟาเลียส(Falias)ครึ่งหนึ่งที่แอตแลนติส(Atlantis)และถือครองกลับไปยังโลกต่างภพ สงครามครั้งนั้นแอตแลนติสต้องล่มสลายและจมลงสู่ห้วงทะเลลึก" มอร์แกนบอกเล่าเรื่องราว
"ก่อนนี้ข้ารู้เพียงว่ามีตำนานแห่งอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองของเกราะใจกลางมหาสมุทรที่จมหายไปยังห้วงทะเลลึกมิคาดที่นั่นกลับถือครองศิลาฟาเลียสเช่นเดียวกับนครอุรุคแห่งนี้ ชายาข้าจงแถลงไขถึงความลับในอดีตกาลนี้ด้วยเถิด "
"ความเหล่านี้ข้าทราบได้จากบันทึกของมารดาท่านเขียนขึ้นก่อนจะจากไป พระนางส่งมอบบันทึกต่อข้าเพื่อให้ข้าทำภารกิจให้ลุล่วง" มอร์แกนบอกต่อกิลกาเมชพลางส่งผ้าขาวผืนหนึ่งให้กิลกาเมช
เมื่อกิลกาเมชคลี่ผ้าขาวออกดูข้างในปรากฏข้อความที่มารดาของตนบันทึกไว้ กิลกาเมชทอดสายตามองไล่ไปตามตัวอักษรแต่ละตัวอย่างพิจารณา
'ศิลาฟาเลียสเป็นเทพีดานู(Danu)เทพมารดรแห่งเทพทั้งปวงประทานให้แอกนอแมน (Agnoman)ก่อนที่จะเดินทางไปสู่ดินแดนอมตะพร้อมเหล่าเทพทวยทั้งหมดและไม่หวนกลับมายังโลกใดๆอีก เพื่อให้นำขุมพลังนั้นมายังโลกมนุษย์และชี้นำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองขึ้น แอกนอแมนแบ่งศิลาออกเป็นสองส่วน หนึ่งมอบให้แก่พาโธลาน(Patholan)บุตรคนโต อีกหนึ่งมอบให้เนเมด (Named)บุตรคนรอง ทั้งสองต่างรับศิลาฟาเลียสคนละครึ่งและนำมายังโลกมนุษย์ เนเมดใช้ขุมพลังจากศิลาสร้างอาณาจักรขึ้นที่เกาะอันกว้างใหญ่กลางมหาสมุทรที่แห่งนั้นเรียกขานว่าแอตแลนติส (Atlantis) ส่วนพาโธลานเมื่อนำศิลามายังโลกมนุษย์แล้วมิได้ใช้พลังจากศิลา แต่กลับเฝ้าศึกษาศิลานั้นเป็นเวลาหลายร้อยปี แล้วจึงมอบต่อให้กษัตริย์แห่งนครอุรุคและสอนการใช้พลังจากศิลาฟาเลียส หลังจากนั้นพาโธลานจึงกลับไปยังโลกที่จากมาเพื่อรอจะเดินทางไปยังดินแดนอมตะพร้อมกับบิดาและเหล่าทวยเทพ ณ โลกต่างภพนั้นพาโธลานได้สร้างอาณาจักรแห่งใหม่ขึ้นใช้ชื่อตามผู้สร้างว่าอาณาจักรแห่งมนตราพาโธลาน มีอาณาเขตกว้างใหญ่ติดกับอาณาจักรอัล์ฟไฮม์(Alfheim)อาณาจักรแห่งเอล์ฟและอาณาจักรฟอเมอร์(Former)อาณาจักรของภูตยักษ์ทรงพลัง
เมื่อเวลาอันยาวนานผ่านไป ข้าเทพีรีมัตเดินทางมายังโลกนี้ตามคำบรรชาจากเทพีดานูเพื่อเยี่ยมชมความเจริญรุ่งเรืองของมนุษย์และตักเตือนถึงภัยพิบัติที่จะมาเยือน แต่ข้ามาช้าไปแอตแลนติสถูกทำลายย่อยยับโดยกองทัพของเซิร์ท(Surt)ยักษ์อัคคีแห่งแดนมุสเพลไฮม์(Muspellheim)และศิลาครึ่งหนึ่งถูกช่วงชิงไป ส่วนเนเมดต้องสาบสูญจากการล่มสลายของแอตแลนติส ข้าจึงเดินทางต่อมายังนครอุรุค อาจเป็นเพราะนครแห่งนี้ปกครองโดยกษัตริย์มนุษย์จึงไม่สามารถใช้พลังจากศิลาได้อย่างเต็มที่แต่ถึงกระนั้นอาณาจักรแห่งนี้ก็ยังเป็นมหานครอันยิ่งใหญ่ และที่นี่ข้าได้พบกับกษัตริย์ลูกัลบันดา(Lugalbanda) ข้าตัดสินใจอภิเษกเพื่อเป็นราชินีแห่งอุรุค ข้าใช้พลังจากศิลาเนรมิตรนครแห่งนี้ให้กลายเป็นนครลอยฟ้าที่สวยงามราวกับสรวงสวรรค์ แลใช้พลังนั้นเสกสรรค์ความอุดมสมบูรณ์ให้บังเกิดแก่นครกลางทะเลทรายแห่งนี้ หลังจากนั้นไม่นานข้าให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งให้นามว่ากิลกาเมช แต่ชีวิตมนุษย์ช่างแสนสั้นไม่มีความสุขใดจะยั่งยืนในช่วงชีวิตมนุษย์ เมื่อสวามีข้าจากไปหลังจากข้าให้กำเนิดกิลกาเมชไม่นาน ข้าจึงหมดอาลัยในโลกมนุษย์จะมีก็เพียงบุตรชายคนเดียว ข้าจึงสอนการใช้พลังจากศิลาและพลังแห่งสายเลือดเทพในตัวเขา เพื่อหวังให้ปกครองนครแห่งนี้ให้ร่มเย็นดั่งเช่นที่เหล่าบรรพกษัตริย์ได้สร้างมา เมื่อบุตรชายข้าโตขึ้นเป็นกษัตริย์อย่างภาคภูมิ ข้าจึงตัดสินใจกลับไปยังโลกที่จากมาเพื่อเริ่มเดินทางไปกับเหล่าทวยเทพทั้งหลาย แต่ความห่วงใยมิได้สิ้นไปจากใจข้า ข้าจึงวอนขอให้เทพีมอร์แกน เลอเฟย์(Morgan LeFay)เทพีแห่งโชคชะตามาเป็นชายาของกิลกาเมช เพื่อหวังให้นางนำพากิลกาเมชสู่หนทางแห่งโชคชะตา'
เมื่ออ่านบันทึกจบกิลกาเมชนิ่งเงียบไปราวกับไม่เชื่อว่าความในบันทึกของมารดานี้เป็นเรื่องจริง หรืออาจจะพิจารณาความจริงนั้นอยู่ก็เป็นได้
"หากเจ้าเป็นเทพีแห่งโชคชะตา ใยเจ้ามิทำนายทายทักถึงภัยที่กำลังมาเยือนนี้เล่ามอร์แกน"
"ข้าเห็นเพียงชะตาของท่านที่ต้องตรากตรำผ่านเวลานานนับพันทีต่อจากนี้"
เมื่อได้รับฟังเช่นนั้นใบหน้าของกิลกาเมชแสดงออกถึงความสับสนภายในใจที่ปรากฏออกมาจากดวงตา สายตามองไปยังมอร์แกนหวังเพียงให้นางช่วยนำพาตนอย่างที่มารดาบอกไว้ เอ็นคิคูเมื่อเห็นสหายกลัดกลุ้มเช่นนั้นตนก็มิอาจนิ่งนอนใจไปได้ตระเตรียมจะออกไปรบพุ่งกับเหล่ายักษ์อัคคีดูสักครา
"สงครามนี้คงเลี่ยงไม่ได้แล้ว แต่ข้ายังสงสัยเหตุใดแอตแลนติสจึงล่มสลายทั้งที่ถือครองศิลาฟาเลียสอยู่ในมือ หรือแม้แต่พลังจากศิลาเทพก็มิอาจต้านทานกองทัพยักษ์อัคคีได้" เอ็นคิคูกล่าวถามมอร์แกน
"เรื่องราวกาล่มสลายของแอตแลนติสนั้นข้าก็มิอาจทราบได้" มอร์แกนตอบ
"เช่นนั้นด้วยขุมพลังแห่งศิลาฟาเลียส ข้าจะให้มันพิทักษ์อุรุค นครที่เหล่าบรรพกษัตริย์ของข้าสร้างขึ้น" กิลกาเมชกล่าวอย่างหนักแน่น
"แล้วจะเป็นเช่นไรหากเซิร์ทได้ศิลาทั้งสองไปครอบครอง" เอ็นคิคูเอ่ยถาม
"บัดนี้ไม่เหลือเหล่าเทพที่จะคอยพิทักษ์ ทั้งสองโลกจะถูกไฟแห่งมุสเพลไฮม์แผดเผาจนสิ้น ประตูกลาสตัน(Glaston)จะไม่สามารถปิดลงได้ จะไม่มีสิ่งใดขวางกั้นความชั่วร้ายทั้งหลาย เหล่าอสูรจะข้ามไปมาระหว่างโลกมนุษย์และโลกต่างภพอย่างอิสระ ความชั่วร้ายทั้งมวลจะกระจายไปทั่วทุกทิศ" มอร์แกนให้คำตอบที่เอ็มคิคูอยากรู้
"เช่นนั้นเราควรซ่อนศิลาให้ให้พ้นเงื้อมมือพวกมันหรือ" กิลกาเมชถามด้วยน้ำเสียงและสายอันบ่งบอกได้ว่าไม่ต้องการเช่นน้น
"ด้วยวิธีารใดเล่า ในเมื่อแอตแลนติสตำนานแห่งอารยธรรมที่รุ่งเรืองถึงขีดสุด ยังล่มสลายลงด้วยกองทัพแห่งมุสเพลไฮม์นี้" เอ็นคิคูพูดขึ้นแลดูจะสิ้นหวังในยามนี้
"เราจำต้องค้นหาเหล่าผู้ที่จะยอมละทิ้งเส้นทางแห่งชีวิต และมุ่งสู่ภารกิจอันแสนอันแสนยากลำบาก นี่เป็นชะตาของท่านและชะตาของเขาเหล่านั้น หากท่านยอมรับชะตากรรมนี้การเดินทางผ่านวันเวลาอันจะยาวนานนับพันปีของท่านจะเริ่มขึ้น" นี่เป็นคำแนะนำจากเทพีแห่งโชคชะตา คำแนะนำสุดท้ายที่ไม่ทราบว่ากิลกาเมชจะตัดสินใจเช่นไร
กองทัพแห่งอุรุคเข้าโรมรันกับกองทัพที่ไม่อาจเอาชัยได้ด้วยความกล้าหาญ สงครามจบลงเพียงข้ามคืนไม่เหลือรอดทหารของอุรุคแม้แต่คนเดียว หลังจากนั้นเมืองลอยฟ้าแห่งนครอุรุคก็ลุกโหมไหมด้วยเปลวไฟแห่งเซิร์ท ทุกสิ่งถูกทำลายลงสิ้น จากนครลอยฟ้าอันสวยงามรามสวรรค์บัดนี้ทิ้งไว้เพียงแต่ซากปรักหักพัง เพชรนิลจินดาใดๆล้วนกระจัดกระจายอย่างไร้ค่าท่ามกลางเพลิงสงครามที่โหมกระหน่ำมหานครที่เคยมั่งคั่งแห่งนี้ แต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับกิลกาเมชในสงครามครั้งนั้น บ้างก็ว่ากิลกาเมชหนีจากสงครามด้วยความขลาดเขลา บางตำนานก็ว่ากิลกาเมชตายอย่างสมเกียรติ์กษัตริย์ในสนามรบ แต่ไม่ว่าตำนานใดจะเล่าขานเช่นไร และไม่ว่าตำนานนั้นจะเคยยิ่งใหญ่สักเพียงใดเมื่อเวลาอันยาวนานผ่านไปล้วนกลายเป็นเพียงนิทานปรัมปรา
ภายในห้องอันมืดสลัวแห่งหนึ่งที่มีเพียงแสงจากเชิงเทียนส่องสว่าง ไม่สามารถมองเห็นภายในได้ชัดถนัดตายังปรากฏเงาร่างคนสองคนอยู่ภายใน บรรยายกาศภายในผ่านไปด้วยความเงียบงันเนิ่นนานราวกับผู้ที่ยืนอยู่ภายในห้องนั้นเป็นเพียงหุ่นที่ไม่ไหวติง สายลมโชยพัดผ่าน ผ้าม่านภายในสะบัดพริ้วเล็กน้อยรับสายลมอ่อนๆ เนิ่นนานจนในที่สุดก็มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากห้องที่มืดสลัวนั้น
"ข้าเฝ้ารอมานานเท่าใดแล้วมอร์แกนยอดรักของข้า เฝ้ารอเพื่อสักวันจะพานพบเหล่าทายาทที่คู่ควรดั่งเช่นเจ้าทำนายไว้" บุรุษผู้หนึ่งกล่าว
"กว่าสี่พันปีล่วงมาแล้ว เพื่อรอคอยเหล่าทายาทที่พร้อมใจจะก้าวเดินสู่เส้นทางอันมืดมิดสายนั้น ท่านจะตรากตรำเฝ้ารออย่างงมงายอยู่เช่นนี้ แม้จะต้องผันผ่านนับร้อยพันปีนะหรือ" เสียงนุ่มนวลของสตรีกล่าวถาม
แต่หาได้มีเสียงอันใดตอบกลับมา
"โชคชะตานั้นไม่สามารถเป็นอื่นใดได้ เรายังคงเฝ้ามองเหล่าทายาทจากรุ่นสู่รุ่นเสมอมา เมื่อใดกันจึงจะพบเหล่าผู้ที่คู่ควรนั้น แม้ข้าเองก็มิอาจตอบ" สตรีนางเดิมกล่าวด้วยเสียงอันท้อแท้
"ข้าเชื่อว่าโชคชะตาจะนำพาเราไปหรือพวกเขาให้มาพานพบกัน ดั่งเช่นที่ข้าเชื่อในเจ้าเสมอมา" เสียงบุรุษกล่าวอย่างราบเรียบ