The Fall of Gondolin Part I

สวัสดีครับห่างหายกับกระทู้ Middle-earth ไปเกือบปี คราวนี้กลับมากับตำนานใหญ่หนึ่งในสามกับการล่มสลายของกอนโดลินครับ ตอนนี้เป็นตอนแรกครับผม

ตำนานการล่มสลายของกอนโดลิน เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับทูออร์มนุษย์เอไดน์บิดาแห่งเออาเรนดิล ปู่ของของเอลรอนด์และเอลรอส ผู้เดินทางสู่กอนโดลินอาณาจักรลับแลของเอล์ฟชาวโนลดอร์  จวบจนการล่มสลายของนครภายใต้กองทัพของมอร์ก็อธโดยมีเหตุจากความริษยาและการทรยศของมายกลิน ภาคินัยของกษัตริย์ทัวร์กอนผู้ครองนคร ซึ่งเป็นเรื่องที่โทลคีนผู้เขียนเองยกให้เป็นหนึ่งในสามเรื่องเอกจากยุคที่หนึ่งคือ ตำนานแห่งเบเรนและลูธิเอน (The Tale of Beren and Lúthien) ตำนานบุตรแห่งฮูริน (The Children of Hurin) และการล่มสลายของกอนโดลิน (The Fall of Gondolin) เรื่องราวการล่มสลายของกอนโดลินนี้มีกล่าวถึงอย่างคร่าวๆในหนังสือตำนานแห่งซิลมาริล (The Silmarillion) และกล่าวถึงการมายังกอนโดลินของทูออร์ปรากฏรายละเอียดในหนังสือเกร็ดตำนานที่จารมิจบ (The Unfinished Tales) ส่วนบทที่นำมาให้อ่านกันนี้แปล+ตัดมาจากหนังสือ The Book of Lost Tales Part II (ไม่สามารถแปลได้ทั้งหมดเพราะบทบรรยายเยอะมากโดยเฉพาะตอนทูออร์เดินทางสู่กอนโดลิน)

ทูออร์เป็นมนุษย์เอไดน์ (Edain) แห่งตระกูลฮาร์ดอร์เกศาทอง (House of Hador) บิดาของเขาฮูออร์เข้าร่วมในสงครามเนียร์นายธ์อาร์นอยดิอัด (Nirnaeth Arnoediad) และเสียชีวิตที่นั่นทิ้งให้ภรรยาของเขารีอัน (Rian) ที่เพิ่งสมรสกันได้เพียงสองเดือนต้องเป็นม่าย นางระเหเร่ร่อนไปจนกระทั้งถึงทะเลสาบมิธริม (Mithrim) ซึ่งเหล่าเกรย์เอล์ฟเข้าช่วยเหลือนางไว้ นางให้กำเนิดบุตรชายที่นั่น ให้ชื่อว่าทูออร์ตามที่บิดาของเขาตั้งใจไว้และฝากฝังไว้กับเหล่าเอล์ฟ ก่อนจะจากไป
นางได้กล่าวแก่เหล่าเอล์ฟ
“เขาจะถูกเรียกว่าทูออร์ นามที่บิดาของเขาได้เลือกไว้ สงครามกำลังใกล้เข้ามา ข้าวิงวอนขอให้พวกท่านรับเขาไว้ ซ่อนเขาไว้ภายใต้การพิทักษ์ของท่าน ด้วยข้าสังหรณ์ว่าจะมีสิ่งยิ่งใหญ่ดีงามเกิดขึ้น ทั้งในหมู่เอล์ฟและมนุษย์จักบังเกิดขึ้นโดยมีเขาเป็นเหตุ หากแต่ข้าจักต้องออกค้นหาฮูออร์ เจ้าเหนือหัวของข้า”
เหล่าเอล์ฟเกิดความเวทนานาง แต่แอนนาเอล ผู้เดียวในที่นั่นที่ได้เข้าสู่สงครามและรอดกลับมาจากเนียร์นายด์กล่าวแก่นางว่า
“อนิจจา ท่านหญิง เป็นที่ทราบกันดีว่าฮูออร์ได้ล้มลงเคียงข้างฮูรินผู้เป็นพี่ เขานอนสิ้นชีพอยู่ บนเนินใหญ่ที่แห่งการสังหารพวกออร์คสร้างขึ้นในทุ่งสมรภูมินั้น”
รีอันจึงลุกขึ้นและจากไป นางเดินทางเข้าสู่ดินแดนมิธริม

การเดินทางของทูออร์สู่นครกอนโดลิน

มีเรื่องเล่าขานอันเป็นที่รู้กันดีในหมู่เอลดาร์กล่าวถึงมนุษย์เอไดน์นามทูออร์บุตรแห่งฮูออร์ จากตระกูลฮาร์ดอร์ ผู้คนของเขาอาศัยอยู่ในดินแดนที่เรียกว่าดอร์โลมิน หากแต่ทูออร์ปลีกตัวมาอาศัยลำพังริมทะเลสาบมิธริม ล่าสัตว์จากป่าไพร ขับขานบทเพลงบนริมฝั่งน้ำด้วยพิณหยาบที่ทำจากไม้และเอ็นหมี บทเพลงของทูออร์มีพลังนัก ผู้คนต่างสดับสำเนียงอันแข็งกร้าวจากของสำเนียงพิณของเขา วันหนึ่งทูออร์ละจากบทเพลง เข้าไปในป่าเพียงลำพัง ณ ที่แห่งนั้นเขาได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมายจากพวกโนลดอร์ (ต้นฉบับใช้คำว่า Noldoli) คนเหล่านั้นสอนทูออร์มากมายเกี่ยวกับชื่อเรียกในภาษาของพวกเขาและตำนานต่างๆ

วันหนึ่งโชคชะตานำพาเขาไปยังอุโมงค์ที่นำทางไปยังทางน้ำลับที่ไหลจากทะเลสาบมิธริม ทูออร์เดินเข้าไปเพื่อค้นหาความลับของมัน แต่สายน้ำแห่งมิธริมนำทางเขาสู่ใจกลางแห่งขุนเขาศิลา สถานที่นั้นเกิดจากพระประสงค์ขององค์อัลโม เทพวาลาร์แห่งสายน้ำ ทรงบัญชาให้เหล่าโนลดอร์สร้างทางนี้ขึ้น
เหล่าโนลดอร์เข้ามาพบทูออร์และนำทางเขาในทางอันมืดมิดใต้ขุนเขานั้น จนกระทั่งมองเห็นแสงสว่างตรงหน้าอีกครา และเห็นสายน้ำพุ่งดิ่งพลิ้วไหวในความลึกอันสุดประมาณ ทูออร์มิปรารถนาจะกลับไปหากแต่มุ่งต่อไปเบื้องหน้า และสายน้ำนั้นนำทางเขาสู่ทิศประจิม

ทูออร์ออกเดินทางเป็นเวลาสามวัน ดื่มน้ำและจับปลาจากทางน้ำสายนั้น บ่อยครั้งที่ทูออร์หยุดเดินเพื่อสดับฟังเสียงสะท้อนจากสายน้ำ คืนหนึ่งเขาได้ยินเสียงคล้ายเสียงร้องของสิ่งมีชีวิตบางอย่าง
“นี่คือเสียงของเหล่าเทพธิดาหรือ” เขารำพึง “มิใช่ดอกราวกับสิ่งมีชีวิตบางอย่างคืบคลานอยู่หลังก้อนหินนั่นต่างหาก”
นบางครามันฟังดูคล้ายเสียงวิหคที่ไม่คุ้นหู เขาจึงไต่ขึ้นไป จนกระทั่งรุ่งอรุณได้มาถึง เขาได้ยินเสียงนั้นอีกคราจากเบื้องบนจึงแหงนหน้าขึ้นมอง จึงได้เห็นวิหคใหญ่สีขาวบริสุทธิ์สามตัวบินไปด้วยปีกขาวอันทรงพลัง นกเหล่านั้นส่งเสียงที่เขาได้ยินเมื่อราตรีก่อนหน้านี่เอง นี่คือเหล่านกนางนวล วิหคแห่งเทพออสเซ ตรงหน้าของทูออร์ ปรากฏเป็นโขดหิน ทรายขาวสะอาดและหน้าผา สายลมบริสุทธิ์ปะทะหน้าราวกับได้ดื่มไวน์ชั้นเลิศ ทูออร์จึงได้รู้ว่ายืนอยู่เข้าใกล้มหาสมุทรแล้ว และได้พำนักอยู่ ณ ริมอ่าวแห่งหนึ่ง ด้วยความปรารถนาต่อความเวิ้งว้างแห่งห้วงสมุทรที่เติบโตขึ้นในใจ



เช้าวันหนึ่งอันเป็นวันสุดท้ายแห่งฤดูร้อน ทูออร์มองเห็นหงส์สามตัวบินสูงขึ้น พวกมันมาจากทางเหนือ ทูออร์ไม่เคยเห็นพวกมันในดินแดนแถบนี้มาก่อน เขาจึงถือเป็นญาณบอกเหตุ
“เป็นเวลานานพอดูที่ข้าปรารถนาจะออกเดินทาง โอ้! ข้าจะตามหงส์เหล่านี้ไป”
ทันใดนั้นพวกหงส์ก็ร่อนลงในอ่าวนั้น มันดำผุดดำว่ายอยู่ชั่วครู่ และบินอย่างช้าเลียบหน้าผาไปทางใต้ ทูออร์เห็นดังนั้นจึงถือหอกและพิณของตนวิ่งตามไป
ฤดูกาลผันผ่านไป ทูออร์เดินหลงอยู่ข้างแม่น้ำสายหนึ่งเขาคลาดกับฝูงวิหคเหล่านั้น และในค่ำคืนหนึ่งเหล่าโนลดอร์ได้มาพบเขา และปลุกเขาจากนิทรา นำทางไปด้วยตะเกียงสีน้ำเงินจางของพวกเขา ทั้งหมดเดินเลียบไปตามลำน้ำ จนมหาสมุทรปรากฏให้เห็นอีกครา ทูออร์เข้ามาสู่ดินแดนที่มีชื่อเรียกในกาลเก่าว่าอาร์ลิสกิออน ดินแดนแห่งต้นกก ซึ่งอยู่ทางใต้ของดอร์โลมินแต่ถูกคั่นออกจากกันด้วยเทือกเขาเหล็ก แม่น้ำสายนี้ไหลมาจากเทือกเขานี้เอง แม่น้ำอันมีนามโด่งดังเป็นที่รู้จักในประวัติศาสตร์มนุษย์และเอลดาร์ แม่น้ำซิริออน

การเดินทางของทูออร์อยู่ภายใต้การรับรู้และชี้นำของเทพอุลโม ด้วยเทพอุลโมรักใคร่ในตัวทูออร์ยิ่งนักและหมายให้เขาเป็นผู้ส่งสารของพระองค์ บัดนี้เทพอุลโมขึ้นประทับบนอัลโมนัน ราชรถรูปคล้ายวาฬที่ลากด้วยนาร์วาฬและสิงโตทะเล ราชรถนั้นแล่นมาบนผิวน้ำจากทะเลรอบนอกเข้าสู่ลำน้ำซิริออน พระองค์เสด็จมายังทูออร์ซึ่งกำลังอยู่ในห้วงนิทราแห่งสนทยา พระองค์ประทับยืนและกล่าวด้วยสียงอันน่าพรั่นพรึงราวกับจะทำให้ผู้ฟังถึงกับความตายได้ทีเดียว ด้วยพระสุรเสียงนั้นลึกล้ำยิ่งกว่าห้วงสมุทร ดุจเดียวกับความลึกสุดหยั่งแห่งสายพระเนตร



“โอ ทูออร์ผู้เดียวดายเอย ข้ามิได้นำเจ้ามาสู่ดินแดนอันงดงามด้วยหมู่วิหคและบุปผางาม หรือที่อันสุขสบาย ด้วยการเดินทางของเจ้าได้ถูกกำหนดให้ดำเนินต่อไป จงไป ยังผู้คนที่ถูกเรียกขานว่าชาวกอนโดธลิม (Gondothlim) ชนแห่งศิลา เหล่าโนลดอร์จะคุ้มกันเจ้าจากสายลับของเมลคอร์ ข้าจะมอบสาสน์ให้กับเจ้า เจ้าจงอดทนรอที่นั่นสักชั่วกาลเถิด บางทีเจ้าอาจจะได้คืนสู่ห้วงสมุทรอีกครา จะมีบุตรผู้หนึ่งที่เจ้าให้กำเนิด ผู้ที่จะได้รู้ในสิ่งที่ลึกล้ำเกินห้วงคำนึงของมนุษย์ สู่สุดเขตแดนแห่งท้องทะเลหรือแม้นขึ้นไปสูงจรดห้วงสวรรค์”
แล้วเทพอุลโมทรงเผยทั้งความปรารถนาของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ตระเตรียมไว้แก่ทูออร์ หากแต่ทูออร์เข้าใจเพียงน้อยนิดด้วยตกอยู่ภายใต้ความกลัวอย่างล้ำลึกต่อเทพวาลาร์ แล้วพระองค์จึงหายไปภายใต้สายหมอก ทูออร์พลันได้ยินเสียงแห่งท้องทะเล เขาเดินทางต่อไปโดยมีคำของเทพอุลโมดังก้องอยู่ในหัวและมันไม่เคยลบเลือนไปเลยตราบชั่วชีวิต


วันคืนผ่านไป จนคืนหนึ่งทูออร์ได้พบกับเหล่าโนลดอร์ พวกเขานำทางทูออร์ไป ด้วยหนทางยาวไกลและกินเวลาทั้งกลางวันกลางคืนทูออร์จึงไม่สามารถจดจำเส้นทางนั้นได้เลย และแล้วทูออร์และผู้นำทางของเขาเดินมาจนถึงหุบผาแห่งหนึ่งที่มีสายน้ำผุดขึ้นมา และเหล่าโนลดอร์จึงกล่าวว่า
“ณ ที่นี้ คือที่ที่ก๊อบลินของเมลคอร์สร้างความวิบัติไว้ แม้มันจะอยู่ไกลออกไปทางเหนือนับหมื่นลีกส์แต่นั่นไม่พอดอก ด้วยขุมพลังของเมลคอร์หลับใหลอยู่ภายใต้เทือกเขาเหล็ก นั่นคือสาเหตุที่เรานำทางท่านอย่างลับๆ เพราะหากการนี้เข้าถึงหูเมลคอร์เมื่อใด บัลร็อคย่อมมาเยือนเราในไม่ช้า”



ด้วยความกลัวเหล่าโนลดอร์จึงทิ้งเขาไว้ลำพังเบื้องหน้าขุนเขานั้น “เมลคอร์นั้นมีหูตามากมาย” พวกเขาเตือนก่อนจากไป ทูออร์จึงออกเดินไปตามลำพัง เขาเดินผ่านอุโมงค์และทางลับมากมายแต่มาบัดนี้ทูออร์หลงทางเสียแล้ว บ่อยครั้งที่เขาไต่ขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อสังเกตภูมิทัศน์โดยรอบ แต่เขาไม่พบผองชนที่ตามหาหรือนครแห่งนั้นเลย ด้วยชาวกอนโดธลิมนั้นมิใช่จะพบเจอโดยง่ายแม้แต่เมลคอร์และสายสืบของเขายังมิอาจหาพบ
ขณะที่ทูออร์หยุดพักด้วยความเหน็ดเหนื่อยกลัดกลุ้มหนึ่งในเหล่าโนลดอร์ได้ข่มความกลัวและย้อนกลับมาหาเขา โวรอนเว (Voronwe ) บรอนเวก (Brongweg) เอ่ยกับทูออร์ว่า
“โอ ทูออร์ อย่ากังวลไปเลย ท่านจะบรรลุถึงจุดมุ่งหมายแน่ ยืนขึ้นเถิด ข้าจะไม่ทอดทิ้งท่านไปอีก ข้าเองมิใช่ผู้รู้ทาง หากแต่เป็นช่างฝีมือผู้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆด้วยมือ ไม้และเหล็ก ข้าได้ยินคำกล่าวขานแต่กาลเก่า ถึงนครที่เหล่าโนลดอร์จะมีเสรี หากเขาผู้นั้นค้นพบเส้นทางลับสู่นครแห่งศิลา เสรีภาพแห่งชาวกอนโดธริม”


กอนโดธริมเป็นที่รู้กันในนามผองชนชาวโนลดอร์ที่หลบหนีจากอำนาจของเมลคอร์และสร้างนครของตนขึ้น ทูออร์และโวรอนเวเพียรค้นหาศิลานครแห่งนั้น ด้วยโวรอนเวเองก็หาทราบตำแหน่งที่ตั้งของมันไม่ จนวันหนึ่งขณะที่กำลังค้นหาอยู่ ณ ริมธารสายหนึ่งที่ไหลบ่าผ่านร่องหินและปกคลุมค้วยต้นเอลเดอร์ โวรอนเวจึงพบกำแพงซ่อนอยู่ใต้พุ่มไม้รกหนาและบางสิ่งคล้ายประตูใหญ่ที่นำไปสู่ทางลาด มันราวกับมีอำนาจบางอย่างปกคลุมอยู่ (ด้วยพลังของเทพอุลโมสถิตอยู่ในลำน้ำสายนั้น แม้แต่อำนาจของเมลคอร์ก็มิอาจรุกล้ำ) โวรอนเวจึงรู้ทันทีว่านี่เป็นสิ่งที่ตนมองหาอยู่ ทั้งสองปลาบปลื้มยินดีนักที่ได้พบประตูลับ จึงพากับเดินเข้าไปในอุโมงค์หลังประตู ด้านในนั้นมืดสนิทและขรุขระ ทางนั้นทอดยาวและเต็มไปด้วยเสียงสะท้อนน่าพรั่นพรึงราวกับเสียงฝีเท้าของคนนับพันกำลังย่ำตามหลังมา โวเรนเวร้องขึ้นด้วยความหวาดกลัว
“โอ! นั่นเสียงก๊อบลินส์ของเมลคอร์ พวกออร์คจากใต้ขุนเขาเป็นแน่”

ทั้งสองจึงออกวิ่ง ในความมืดมิดนั้นทั้งคู่ไม่รู้ว่าวิ่งมานานเท่าใด และแล้วทั้งสองจึงเห็นแสงอยู่ที่ปลายทางนั้นราวกับแสงจากปลายอุโมงค์ ในฉับพลับทั้งคู่วิ่งออกมาสู่แสงตะวัน ต่างหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่งและได้ยินเสียงฆ้องอันทำจากเหล็กดังก้องไปในอากาศและในวินาทีนั้นเองทั้งสองถูกล้อมไปด้วยกองทัพในชุดเกราะ
พวกเขามองสูงขึ้นไป และนั่นมีคนอยู่บนหุบเขาสูงชันนั้น และหุบเขานั้นก่อตัวเป็นรูปวงกลมสมบูรณ์แบบ ไม่ไกลจากจุดที่ทั้งสองยืนอยู่นัก คือเนินสูงใหญ่และบนยอดเนินนั้นเองคือศิลานครที่ตั้งอยู่ในแสงอรุณ

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่