JJNY : เททิ้ง100ตัน! มะม่วงส่งออกราคาต่ำ│ตามสั่งโอดราคาไข่ขึ้น│ติงออก 10 มาตรการ“น้อยไปไม่ฉลาด”│นาโต้เพิ่มทหารในยุโรปตอ.

เททิ้ง 100 ตัน! ‘ฟ้าลั่น-เขียวเสวย’ มะม่วงส่งออกพิจิตร ราคาต่ำ  กก.ละ 1-2 บาท ล้นตลาด-ขายไม่ออก
https://www.matichon.co.th/region/news_3252061

เททิ้ง 100 ตัน! ‘ฟ้าลั่น-เขียวเสวย’ มะม่วงส่งออกพิจิตร ราคาต่ำ  กก.ละ 1-2 บาท ล้นตลาด-ขายไม่ออก
 
วันที่ 25 มีนาคม ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดพิจิตร ว่า ต.วังทับไทร อ.สากเหล็ก จ.พิจิตร มีพื้นที่ปลูกมะม่วงมากกว่า 22,000 ไร่ เป็นลำดับต้นๆ ของประเทศ หรือเป็นอันดับหนึ่งของภาคเหนือ ผลผลิตแต่ละปีมีมากกว่า 2 แสนตัน ที่ผ่านมาเกษตรกรมีรายได้จากการจำหน่ายมะม่วง มีเม็ดเงินหมุนเวียนกว่า 2 พันล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เกษตรกรตำบลวังทับไทร จะปลูกมะม่วงเพื่อการส่งออก และการบริโภคภายในประเทศ มีทั้งมะม่วงกินดิบและกินสุก

โดยเฉพาะมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง เป็นมะม่วงส่งออกที่มีชื่อเสียงของจังหวัดพิจิตร รวมทั้งมะม่วงกินดิบ เช่น เพชรบ้านลาด ฟ้าลั่น และเขียวเสวย ในปีนี้สภาพอากาศและปริมาณน้ำฝนเหมาะสม ส่งผลให้มะม่วงมีผลผลิตออกมาค่อนข้างมาก ซึ่งสวนทางกับการส่งออกที่ประสบปัญหาเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้การส่งออกไปต่างประเทศไม่ได้มากนัก โดยส่วนใหญ่แล้วมะม่วงวังทับไทร จะส่งออกไปจำหน่ายในประเทศแถบเอเชีย และประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จีน มาเลเซีย ไต้หวัน ฮ่องกง เวียดนาม สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ฯลฯ แต่ด้วยปัจจัยต่างๆ ในปีนี้ รวมถึงสภาพเศรษฐกิจกำลังซื้อเพื่อบริโภคลดลง ส่งผลให้มะม่วงชนิดต่างๆ มีราคาตกต่ำเป็นอย่างมาก เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง เกรดส่งออกเหลือเพียง 20-30 บาทต่อ กก. จากเดิม กก.ละ 60-70 บาท

ส่วนมะม่วงเกรดบริโภคภายในประเทศเหลือเพียงกิโลกรัมละ 10-15 บาท ส่วนที่ราคาตกต่ำสุดๆ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน คือ มะม่วงกินดิบเกรดส่งออก เช่น ฟ้าลั่น เขียวเสวย เหลือกก.ละ 3-4 บาท ไซต์กลางเหลือเพียง กก.ละ 1-2 บาท ทำให้มะม่วงวังทับไทรล้นตลาด ทำให้พ่อค้าต้องช่วยซื้อผลผลิตของเกษตรกรแล้วนำมาคัดผลตามขนาด ส่วนไซต์เล็กและไซต์กลาง ไม่สามารถส่งออกและขายให้แก่ผู้บริโภคได้ จึงต้องนำมาเททิ้งไปเกือบ 100 ตัน

ด้านนายสาโรจน์ แซ่ตั้ง พ่อค้ารับซื้อมะม่วงชาวจ.อุดรธานี กล่าวขณะลำเรียงผลมะม่วงมาทิ้งที่บ่อทิ้งริมสวนข้างล้ง ว่า ตนนำผลมะม่วงไซต์กลางและเล็ก ที่ซื้อจากเกษตรกร มาแล้วนำมาคัดผล เฉพาะเกรดที่สามารถส่งขายไปประเทศเวียดนามเท่านั้น ส่วนที่เหลือไม่สามารถส่งไปขายได้ อีกทั้งในประเทศ ก็ขายไม่ออก ด้วยความสงสารและเห็นใจสวน จึงซื้อมากิโลกรัมละ 1-2 บาท (ขนาดกลาง) และคัดเฉพาะผลที่ส่งขายได้ ส่วนที่เหลือก็นำมาทิ้ง โดยทิ้งไปแล้วเฉพาะสัปดาห์นี้ 35 ตัน ถ้ารวมๆ ที่ผ่านมาก็เกือบ 100 ตัน
 

   
แม่ค้าตามสั่ง โอดราคาไข่ขึ้น–กรมการค้าภายในแจงอากาศร้อนเป็นเหตุ
https://www.pptvhd36.com/news/เศรษฐกิจ/168800
   
แม่ค้าอาหารตามสั่งโอดราคาไข่ขึ้น อยากให้หน่วยงานตรวจสอบ หาสาเหตุให้ เพราะเริ่มจะแบกรับต้นทุนไม่ไหว ขณะที่กรมการค้าภายในแจงสภาพอากาศร้อนและแปรปรวนเป็นเหตุให้ไข่ไก่แพงขึ้น
 
จากวิกฤตราคาไข่แพงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มีผลกระทบกับพ่อค้าแม่ค้า ที่ต้องใช้ไข่เป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหาร แต่ก็ยังไม่สามารถปรับราคาอาหารเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากเป็นห่วงผู้บริโภค  
 
มีเสียงสะท้อนจาก นางสาวบังอร คำพะยอม อายุ 53 ปี แม่ค้าขายอาหารตามสั่ง ในหมู่บ้านย่านจังหวัดสมุทรปราการ เล่าว่า จากที่ราคาไข่ที่ราคาสูงขึ้นทำให้ต้นทุนสูงขึ้น แต่ต้องมาขายราคาเดิม จะขึ้นราคาก็สงสารลูกค้า ต้องอดทนกันไป 

จากที่ชื้อไข่ไก่ เบอร์ 2 แผงละ 79 บาท จนตอนนี้ซื้อไข่ไก่ เบอร์ 2 ราคาแพงละ 109 บาท อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงมาตรวจสอบว่าทำไมไข่ไก่ถึงแพง เพราะสาเหตุอะไร

“เราซื้อราคาต้นทุนสูงขึ้นมา แต่แม่ค้ายังขายในราคาเดิม คุณภาพต้นทุนสูงขึ้น แต่กำไรลดน้อยลง อย่างนี้แม่ค้าก็แย่ จะขึ้นราคาก็สงสารลูกค้า แม่ค้าก็ต้องอดทนไป ที่เคยซื้อคือแผงละ 79 บาท แล้วก็ขึ้นมาขึ้นมา ตอนนี้ ขึ้น 3 รอบแล้ว รอบแรกขึ้น 6 บาท แล้วเว้นมา 1 เดือน ขึ้นมาอีก 3 บาท วันนี้ขึ้นมาอีก 3 บาท ตอนนี้ ไข่เบอร์ 2 แผงละ 109 บาท” นางสาวบังอร กล่าว

ด้าน นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวถึงกรณีที่ สมาคมผู้ผลิตผู้ค้า และส่งออกไข่ไก่ ได้ประกาศปรับราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มขึ้นอีกฟองละ 10 สตางค์ เป็น 3.40 บาทต่อฟอง ว่า ได้ติดตามตรวจสอบราคาขายปลีกทั่วไปแล้ว พบว่าราคาไข่ไก่ขายกันเฉลี่ย 3.57 บาท/ฟอง ในพื้นที่กรุงเทพฯ ขายอยู่ที่ 3.40 บาท/ฟอง ห้างสรรพสินค้าขายเฉลี่ย 3.40-3.60 บาท/ฟอง ซึ่งราคาไม่ได้ขยับขึ้นมาก

และจากการพูดคุยเบื้องต้นกับผู้ประกอบการและผู้เลี้ยงไก่ไข่ ทราบสาเหตุราคาไข่ไก่ปรับขึ้นเนื่องจาก เป็นช่วงฤดูร้อน และสัปดาห์ที่ผ่านมอากาศแปรปรวน จึงมีผลต่ออารมณ์ของไก่ในการผลิตไข่ออกมา ทำให้ไข่เบอร์ใหญ่มีขนาดเล็กลง และปริมาณออกสู่ตลาดลดลง ขณะที่ต้นทุนยังเท่าเดิม จึงจำเป็นต้องปรับราคาขึ้น
 


ติง “บิ๊กตู่” ออก 10 มาตรการ “น้อยไปไม่ฉลาด” เสนอของ "เพื่อไทย" เทียบ
https://www.thairath.co.th/news/politic/2350422
 
“เพื่อไทย” ติง “บิ๊กตู่” ออก 10 มาตรการ “น้อยไปและไม่ฉลาด” ชี้ ยิ่งตอกย้ำความไม่มั่นใจของประชาชน เสนอ 10 มาตรการ “เพื่อไทย” เปรียบเทียบกับของรัฐบาล
 
วันที่ 25 มี.ค. 65 นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดหนองคาย อดีตรองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้แนะนำและเรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์ออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนกันอย่างหนักจากปัญหาทางเศรษฐกิจมาตลอด และในที่สุดพลเอกประยุทธ์ได้ออก 10 มาตรการช่วยเหลือประชาชนออกมา แต่เป็นมาตรการที่ต้องเรียกว่า “น้อยไป และไม่ฉลาด” โดยจะช่วยเหลือประชาชนได้น้อยมาก หรือแทบจะไม่ได้ช่วยเหลือเลย
 
ทั้งนี้ 10 มาตรการทำเหมือนกับว่าจะสักแต่ว่าทำ หรือถือว่า ได้ช่วยแล้วเท่านั้น แต่จะช่วยคนได้น้อยมาก โดยวิเคราะห์ได้ดังนี้
 
- เรื่องการช่วยเหลือเรื่องก๊าซหุงต้มมียอดเงินช่วยเหลือที่น้อยมาก และยังต้องผ่านบัตรคนจนอีก ทั้งสำหรับประชาชนและสำหรับผู้ค้าหาบเร่แผงลอย และคนที่ไม่ได้มีบัตรคนจนจะไม่ได้รับการช่วยเหลือเลย
 
- การช่วยเหลือน้ำมันเบนซินสำหรับมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ขึ้นทะเบียนมีเพียง 157,000 รายเท่านั้น และช่วยเพียงเดือนละ 250 บาท เฉลี่ยแล้วเพียงวันละ 8 บาท ซึ่งน้อยมาก
 
- การคงราคาก๊าซ NGV มีผลน้อยมาก เพราะผู้ใช้ก๊าซ NGV มีจำนวนไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นรถบรรทุกบางส่วน และรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ NGV เท่านั้น รวมถึงแท็กซี่มิเตอร์ในโครงการลมหายใจเดียวกันที่ได้ลดราคาก็มีจำนวนคนน้อย
 
- การคงราคาดีเซลต่ำกว่า 30 บาทจนถึงสิ้นเดือนเมษายน ไม่น่าจะเป็นมาตรการที่ออกมาช่วยเหลือ แต่เป็นการเตือนมากกว่าว่าพลเอกประยุทธ์จะไม่ช่วยเหลือสนับสนุนราคาต่อแล้วหลังเดือนเมษายน
 
- การบอกว่าจะดูแลราคาก๊าซหุงต้มไม่ให้ขึ้นราคาสูงเกิน ไม่น่าจะเรียกว่าเป็นมาตรการ แต่ต้องเป็นหน้าที่
 
- ส่วนเรื่องเงินสมทบก็เป็นเรื่องที่เล็กน้อยมาก
 
ดังนั้นจะเห็นได้ว่ามาตรการที่ออกมาแทบจะไม่ได้ข่วยประชาชนเลย แถมมีเงื่อนไขเต็มไปหมด ตอกย้ำผลโพลที่ประชาชนมากกว่า 3 ใน 4 ไม่เชื่อมั่นรัฐบาลพลเอกประยุทธ์แล้ว และยิ่งตอกย้ำสิ่งที่พลเอกประยุทธ์พูดเองว่าทำอะไรคนก็หาว่าโง่ โดยมาตรการที่ออกมานี้ดูอย่างไรก็ไม่ฉลาด ในภาวะที่ประชาชนต้องมาเจอกับภาวะน้ำมันแพง ก๊าซแพง ไฟฟ้าแพง ข้าวของแพง และเงินเฟ้อสูง ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจึงขอเสนอ 10 มาตรการ โดยที่บางเรื่องได้เคยเสนอไว้แล้ว และนำมารวบรวมให้พิจารณากันดังนี้
 
1. การลดราคาน้ำมัน ทำได้โดยเร่งพิจารณาลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงอีก 2.99 บาท จะทำให้ดีเซลลดลงได้ 3.20 บาท ให้ลดราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นไทยเท่าราคาหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์ในราคาไม่บวกค่าขนส่งและค่าใช้จ่ายอื่น อีกทั้งควบคุมค่าการตลาด
 
2. การลดราคาก๊าซหุงต้ม ทำได้โดยก๊าซหุงต้มที่ไทยผลิตได้เองจากโรงแยกก๊าซและโรงกลั่นน้ำมัน บมจ. ปตท. ควรรักษาระดับราคาเดิมไว้ไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน โดยให้ บมจ. ปตท. สนับสนุนราคาในส่วนนี้ และพิจารณาปรับราคาเฉพาะก๊าซที่ใช้เติมรถยนต์และก๊าซที่ใช้ในอุตสาหกรรม เก็บเงินอุดหนุนจากก๊าซที่ใช้ในธุรกิจปิโตรเคมี เพื่อนำเงินนี้มาพยุงราคาก๊าซช่วยเหลือประชาชนที่ต้องใช้ก๊าซหุงต้ม เหมือนที่ทำในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
 
3. การลดราคาไฟฟ้า ทำได้โดยรัฐต้องเจรจาขอลด ‘ค่าความพร้อม’ สำหรับโรงไฟฟ้าที่สร้างเสร็จแต่ยังไม่ผลิตไฟฟ้า จะทำให้ค่าไฟลดลง รวมถึงลดค่าส่วนต่างของไฟฟ้าที่ซื้อจากโรงไฟฟ้าของเอกชนในราคาถูก แต่ถูกการไฟฟ้าฝ่ายผลิตนำมาขายให้ประชาชนในราคาแพง จนการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมีกำไรสะสม 3 แสนล้านบาท การไฟฟ้านครหลวงมีกำไรสะสม 1 แสนล้านบาท ซึ่งควรนำมาช่วยลดรายจ่ายให้ประชาชน
 
4. การให้รถเมล์ฟรี รถไฟฟรี โดยจำกัดจำนวนประเภทที่ให้บริการฟรี เหมือนในสมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชน
 
5. การลดค่าโดยสารของระบบขนส่งสาธารณะ ทั้งรถไฟลอยฟ้า และรถไฟใต้ดิน
 
6. การให้ประชาชนใช้น้ำประปาฟรี ไฟฟ้าฟรี ในปริมาณที่จำกัด ถ้าใช้เกินจะไม่ให้ใช้ฟรี เหมือนสมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชน คือจะใช้ฟรีต้องใช้อย่างประหยัด
 
7. นำเงินกองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจำนวน 20,087.42 ล้านบาท ที่พลเอกประยุทธ์โอนไปเป็นรายได้มาคืน ซึ่งจะทำให้สนับสนุนราคาน้ำมันและราคาก๊าซต่อไปได้
 
8. เร่งเจรจาแหล่งก๊าซเพื่อให้ได้ก๊าซราคาถูกมาสนับสนุนราคาก๊าซหุงต้ม และช่วยทำให้ราคาไฟฟ้าถูกลง
 
9. จัดงบประมาณใหม่ โดยตัดงบการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก โดยเฉพาะงบการทหาร และการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ไม่ซื้อเครื่องบินรบ F-35 ลดเงินเดือน ส.ว. และผู้ติดตาม ฯลฯ และนำเงินมาช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชน และเพิ่มการสร้างงาน
 
10. เร่งพัฒนาและส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า และระบบขนส่งมวลชนที่ใช้ไฟฟ้า รวมถึงพาหนะทุกชนิดที่ใช้พลังงานไฟฟ้า และเร่งส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้เข้ากับทิศทางของโลกในอนาคต
 
ทั้ง 10 มาตรการนี้ รัฐบาลสามารถทำได้ทันที และรัฐจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นไม่มากนัก แต่จะช่วยประชาชนได้อย่างมากและช่วยได้อย่างทั่วถึง ในภาวะที่คนยากลำบากกันเช่นนี้ จึงอยากให้ประชาชนได้เปรียบเทียบ 10 มาตรการของพลเอกประยุทธ์ กับ 10 มาตรการของพรรคเพื่อไทย ว่ามาตรการของใครจะทำประโยชน์และช่วยเหลือประชาชนได้มากกว่ากัน.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่