JJNY : ม็อบผู้ค้าหวย บุกกองสลากฯ│“สุรวิทย์”อัดรบ.ขึ้นค่าไฟ│บิ๊กแสนสิริถามดังๆ จะทำอย่างไร│จีนเริ่มส่งสัญญาณถอยจากรัสเซีย

ม็อบผู้ค้าหวย บุกกองสลากฯ โวยระบบซื้อขายใหม่ ผ่านแอปยุ่งยาก คนแก่-คนพิการ เข้าไม่ถึง
https://ch3plus.com/news/economy/morning/284174
 
 
ตามที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้มีการดำเนินการโครงการซื้อ-จองล่วงหน้าสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยเปิดให้ลงทะเบียนรับสมัครและคัดเลือกผู้ซื้อ-จองล่วงหน้าสลากกินแบ่งรัฐบาลรายใหม่ ปี 2565 และเปิดลงทะเบียนรับสมัครและคัดเลือกผู้ซื้อ-จองล่วงหน้าสลากกินแบ่งรัฐบาลรายเดิม ปี 2558 เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาการจำหน่ายสลากเกินราคา และให้ได้ผู้จำหน่ายสลากจริงที่จะสามารถจำหน่ายสลากให้กับประชาชนในราคา 80 บาท
 
โดยให้ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติ คัดกรอง หาผู้จำหน่ายสลากจริงในราคา 80 บาท งวดวันที่ 16 มีนาคม 2565 ถึงงวดวันที่ 16 เมษายน 2565 โดยให้เลือกวิธีการใดวิธีหนึ่ง หรือจะเลือกทั้ง 2 วิธีได้ ดังนี้
 
วิธีที่ 1 ให้ผู้ที่ลงทะเบียนเป็นผู้ซื้อ-จองล่วงหน้าสลากกินแบ่งรัฐบาล ดาวน์โหลด QR Code ที่เว็บไซต์ www.สลาก80.net และพิมพ์ QR Code มาติดไว้ที่บริเวณจุดจำหน่ายสลากของตน และขอให้ประชาชนผู้ซื้อสลากช่วยแจ้งยืนยันว่าเป็นผู้จำหน่ายสลากจริงในราคา 80 บาท อย่างน้อยงวดละ 100 คน โดยให้ดำเนินการดังนี้
 
ขอความร่วมมือจากประชาชนผู้ซื้อสลากเพิ่มเพื่อนในแอปพลิเคชั่น Line : @glolottery (Line OA ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล) และขอความร่วมมือจากประชาชนผู้ซื้อสลาก Scan QR Code และส่งผ่านระบบไลน์ @glolottery เพื่อยืนยันว่าเป็นผู้จำหน่ายสลากจริง
 
วิธีที่ 2 ให้ผู้ที่ลงทะเบียนเป็นผู้ซื้อ-จองล่วงหน้าสลากกินแบ่งรัฐบาลทำการสมัครแอปพลิเคชั่น "ถุงเงิน" ที่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และให้ทำการจำหน่ายสลากด้วยการซื้อ-ขายผ่านระบบแอพพลิเคชั่น "เป๋าตัง" และ "ถุงเงิน" อย่างน้อยจำนวน 200 ใบต่องวด
กรณีที่ผู้ซื้อ-จองล่วงหน้าสลากกินแบ่งรัฐบาล จะดำเนินการทั้ง 6 วิธี คือ
 
การขอความร่วมมือจากประชาชนผู้ซื้อสลาก Scan QR Code เพื่อยืนยันว่าเป็นผู้จำหน่ายสลากจริงในราคา 80 บาท และการจำหน่ายสลากด้วย การซื้อ-ขายในราคา 80 บาท ผ่านระบบแอปพลิเคชั่น "เป๋าตัง" และ "ถุงเงิน" จะต้องมีการยืนยันจากประชาชนผู้ซื้อสลากว่า เป็นผู้จำหน่ายสลากจริงผ่าน QR Code อย่างน้อยจำนวน 50 คนต่องวด และการจำหน่ายสลากผ่านแอปพลิเคชั่น "เป๋าตัง" และ "ถุงเงิน" อย่างน้อยจำนวน 100 ใบต่องวด
 
ขณะที่วานนี้ (24 มี.ค.) ที่กองสลาก ชมรมผู้ค้าสลากเสรีรายย่อย 2558 และ เครือข่ายผู้ค้าสลากเสรีทั่วประเทศ กว่า 1,000 คน รวมตัวที่ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อติดตามความคืบหน้า กรณีประกาศระบุให้ผู้ค้าสลากเสรี ต้องยืนยันการขายในราคา 80 บาท ผ่านแอปพลิเคชั่น ส่งผลให้กลุ่มผู้ค้าเสรีกว่า 1 แสน 2 หมื่นคนได้รับผลกระทบ
  
นายอำนวย กลิ่นอยู่ ประธานสมาพันธ์คนพิการผู้ค้าสลากประเทศไทย เปิดเผยว่า กองสลากควรต้องทบทวนมาตราการค้าออนไลน์ เนื่องจากมองว่าสร้างภาระให้กับผู้ค้า เช่น การสแกน QR Code แสดงตัวตน เพราะกลุ่มผู้ค้าพิการอาจเกิดความยุ่งยาก
 
เช่นเดียวกับ ผู้ค้ารายย่อยที่ไม่อาจยืนยันตัวตนได้ ซึ่งจะทำให้การปรับรูปแบบลักษณะดังกล่าว อาจสร้างความไม่เท่าเทียม มีผู้ค้าตกงานตลอดจนเข้าไม่ถึงการขาย อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ค้าสลากเสรีรายย่อย ยืนยัน จะปักหลัก เพื่อรอติดตามข้อสรุป แต่หากไม่ได้รับการชี้แจง เตรียมเดินทางไปยังสำนักนายกรัฐมนตรี และฟ้องศาลปกครอง เพื่อให้คุ้มครองชั่วคราว
 
ต่อมา พ.ต.อ.เมษนนท์ นาขวัญ ผกก.สภ.รัตนาธิเบศร์ ได้ติดต่อพูดคุยกับ นายทวีป วุฒิบาทุกาจิตต์ รองผอ.สำนักงานกินแบ่งรัฐบาล ยอมเจรจาทางโทรศัพท์ผ่านเครื่องขยายเสียงรถตำรวจ พูดคุยกับกลุ่มผู้ค้าสลากเสรี
 
โดยสรุปว่า กองสลากจะไม่ดำเนินการตัดสิทธิ์ใดๆ กับผู้ค้าสลากเสรี ที่ได้ทำผิดกฎหลักเกณฑ์ออกไปอีก 2 งวดที่เหลือ และพร้อมจะนำข้อมูลผลกระทบของผู้ค้าสลากเสรีรายย่อย ไปเป็นข้อมูลดิบเพื่อใช้จัดทำหลักเกณฑ์ใหม่ครั้งต่อไป โดยให้ทางกลุ่มส่งตัวแทนเข้าประชุมหารือกันใหม่อีกครั้งในวันที่ 29 มี.ค.นี้ ทำให้กลุ่มผู้ค้าสลากเสรียอมรับข้อเสนอแยกย้ายกันเดินทางกลับในเวลา 19.10 น.
 
จากนั้นนายสำอางค์ ซ่อนกลิ่น ประธานชมรมผู้ค้าสลากเสรีแห่งประเทศไทย เผยว่า กลุ่มผู้ค้าสลากเสรียืนยันว่าจะไม่ยอมรับการขายสลากผ่านแอปเป๋าตัง หรือระบบสแกนอีกต่อไป เพราะเหมือนเป็นการทิ้งคนเฒ่าคนแก่หรือคนที่ไม่ทันเทคโนโลยีไว้ข้างหลัง นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนพิการที่ทำอาชีพขายสลากอีกประมาณ 80 – 90 เปอร์เซ็นต์ได้รับผลกระทบไปด้วย ระบบการขายสลากผ่านแอพทำให้ผู้ค้าสลากเสรีได้รับผลกระทบประมาณ 5 – 6 หมื่นคน
 
“ส่วนจำนวนคนซื้อจาก 70 ล้านคน มีอยู่ประมาณ 30 กว่าล้านคน ที่ยังเข้าไม่ถึงระบบการซื้อขายสลากผ่านแอปแบบนี้ ทำให้คนซื้อสลากก็ยาก คนขายสลากก็ยากไปด้วย และทุกวันนี้ไม่มีใครเติมเงินผ่านระบบแอปเป๋าตัง
 
แล้วถ้ารัฐบาลไม่เติมเงินผ่านคนละครึ่งเข้ามาให้ บางพื้นที่ตามชนบทบ้านนอกคอกนา สัญญาณอินเตอร์เน็ตก็ไม่มีจะให้คนขายสลากสะพายแผงสลากไปขายกับใคร เป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ทำให้คนขายขายสลากไม่ออกต้องแบกรับภาระขาดทุนเอาไว้เอง”
 


“สุรวิทย์” อัดรบ. ขึ้นค่าไฟเหยียบย่ำซ้ำเติมประชาชน
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_311792/

“สุรวิทย์” อัดรัฐบาลเหยียบย่ำ ซ้ำเติมประชาชน ปรับขึ้นค่าเอฟที อ้างต้นทุนการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้น ขออย่าเพิ่งลอยตัวค่าแก๊สหุงต้ม
 
นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ สส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึง การที่รัฐบาลปรับขึ้นค่ากระแสไฟฟ้าผันแปร หรือ ขึ้นค่า Ft อ้างว่าต้นทุนการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้น เช่นราคาเชื้อเพลิง อัตราเงินเฟ้อ ทำให้ราคาค่ากระแสไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ประชาชน สูงขึ้น ถึงหน่วยละ 4 บาท ว่า เป็นการเหยียบย่ำ ซ้ำเติมประชาชนในยุคข้าวยากหมากแพง
 
ตนรับฟังปัญหาจากประชาชนในพื้นที่ ซึ่งชาวบ้านให้ความสนใจปัญหาที่รัฐบาลปล่อยให้สินค้าราคาแพง เหมือนไม่มีรัฐบาล เรียกว่า แพงทั้งแผ่นดิน  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่เคยรับรู้ความลำบากของประชาชน เพราะไม่เคยลงพื้นที่เพื่อสัมผัสชีวิตประชาชนอย่างแท้จริง การลอยตัวค่ากระแสไฟฟ้า ค่าแก๊สหุงต้มที่แพงขึ้นจะยิ่งทำให้ราคาสินค้าอื่นๆสูงขึ้นไปอีก การออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนต้องจริงใจ และเข้าใจปัญหาไม่ควรหาประโยชน์ทางการเมืองจากมาตรการช่วยเหลือชาวบ้าน หากต้องการแก้ปัญหาของแพง อยากช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในเรื่องค่าครองชีพ ขอให้รัฐบาลอย่าขึ้นราคาค่าไฟฟ้าที่จำหน่ายให้กับประชาชน ขอให้จัดสรรเงินงบประมาณ มาชดเชยค่าไฟฟ้าผันแปรหรือค่า Ft หรือต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้าที่สูงขึ้น
 
พร้อมขอรัฐชะลอ อย่าเพิ่งลอยตัวค่าแก๊สหุงต้ม จะเป็นการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างทั่วถึง เพราะปัจจุบันเกือบทุกครัวเรือนมีกระแสไฟฟ้าใช้กันหมดเมื่อเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทย จะนำปัญหาดังกล่าวอภิปรายต่อไป อย่างแน่นอน
 

 
บิ๊กแสนสิริถามดังๆ ถ้าไม่สบายแล้วรักษาหมอคนหนึ่งมา 8 ปีแล้วไม่หาย จะทำอย่างไร คำตอบคือก็ต้องเปลี่ยนหมอ
https://www.khaosod.co.th/economics/news_6960623

นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเจอปัญหาสำคัญ ทั้งการถดถอย และผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งภาคอุตสาหกรรมของไทยต้องปรับตัวด้วยความรวดเร็ว เพราะสภาพแวดล้อมเปลี่ยนตลอดเวลา ขณะเดียวกันเห็นว่าประเทศไทยยังมี 2-3 เรื่องที่ต้องเร่งแก้ปัญหา เรื่องแรกคือ ภาระหนี้สิน และปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่อย่างมาก
  
ทั้งนี้ ได้มีการพูดคุยกับ รมว.คลัง และได้มีการสอบถามถึงสถานการณ์ของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย ผมได้ชี้แจงไปว่า ดีมานด์อยู่ในเกณฑ์ดี แต่เหนื่อย เพราะความสามารถในการจ่ายหนี้ของคนไม่มี คนไปกู้ธนาคารแล้วถูกปฏิเสธเยอะ เพราะสภาพหนี้สูง ตรงนี้ทำให้จำกัดกำลังซื้อ และเป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องเร่งแก้ไข
  
“การที่รัฐบาลทำนโยบายแบบประชานิยม เอาเงินใส่กระเป๋าประชาชนเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การใช้จ่ายส่วนตัวของประชาชนก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้เงินในกระเป๋าลดลง มีรายจ่ายด้านการศึกษา ดอกเบี้ยนอนแบงก์ซึ่งสูงมากกว่า 20% ผมอยากถามว่าต้องทำธุรกิจอะไรถึงจะจ่ายดอกเบี้ยได้มากกว่า 20% ตรงนี้ถือเป็นวงเงินที่สูงมาก ผมเสนอไป เป็นข้อเสนอที่ตรงไปตรงมา แต่ต้องการการตัดสินใจที่เฉียบพลัน ให้ลดเพดานดอกเบี้ยนอนแบงก์จากที่มากกว่า 20% เหลือ 10% และหากไปดูจะพบว่านอนแบงก์ที่ทำธุรกิจแบบนี้กำไรสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ ในช่วงปีที่ผ่านมาประชาชนเดือดร้อนจากโควิด-19 มาก แต่บริษัทเหล่านี้กลับกำไรสูงมาก ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ และอาจต้องมีการเสียสละกันหน่อย” นายเศรษฐา กล่าว
 
นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า อีกเรื่องที่เป็นปัญหาสำคัญของเศรษฐกิจไทย คือ ความเหลื่อมล้ำ ยิ่งในภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดี ทำให้คนรุ่นใหม่หมดกำลังใจ รู้สึกอยากย้ายถิ่นฐาน ย้ายประเทศ ตรงนี้ไม่ใช่การพูดเพื่อด้อยค่ารัฐบาล แต่เป็นเรื่องจริงของความรู้สึก และคนรุ่นผมคงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปพูดว่า ใครไม่รักชาติออกไป แต่ทั้งหมดเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ที่ต้องพยายามทำให้ประเทศไทยน่าอยู่ ไม่ว่าจะในมิติของความเท่าเทียม ความเสมอภาค หรือนโยบายเศรษฐกิจสีเขียวก็ตาม
 
“ไม่ใช่ว่าจะต้องไปขึ้นเวทีแล้วพูดว่า 40 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะเป็นอย่างไร แต่กลับต้องมีแผนที่ชัดเจนว่าประเทศไทยในอีก 2 ปี หรือ 4 ปี จะเป็นอย่างไร คนในวัยเจริญพันธุ์ไม่อยากมีลูก สะท้อนจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเป็นครั้งแรกที่ประชากรไทยลดลง ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ เราต้องดูว่าจะทำไงให้คนมั่นใจว่ายังอยู่ในประเทศนี้ต่อไปแล้วอนาคตเขาจะเป็นอย่างไร มีความเท่าเทียมอย่างไร ขณะเดียวกันหากถามว่าผมไม่สบาย และรักษากับหมอคนหนึ่งมาเป็นเวลา 8 ปีแล้วไม่หาย ผมจะทำอย่างไร ผมตอบได้เลยว่า ผมจะเปลี่ยนหมอรักษา แต่ยืนยันว่าผมจะไม่เป็นหมอเอง” นายเศรษฐา กล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่