สวัสดีครับ ผมเป็นคนนึงที่อยู่ในกลุ่มของคนที่เป็นออทิสติก ซึ่งอยู่ในกลุ่มคนพิเศษ ซึ่งคนที่เป็นออทิสติกนั้น หลายๆคนจะรู้ดีว่า จะมีปัญหาเรื่องอารมณ์ บกพร่องทางอารมณ์ ไม่สามารถที่จะควบคุมอารมณ์ตนเองได้ และมีอารมณ์ที่รุนแรงมากๆ ทั้งกรีดร้อง ปาข้าวของ รวมถึงการใช้กำลัง ผมเองก็อยู่ในข่ายแบบนั้น จนทำให้ผมที่ผ่านมาไม่มีเพื่อน ไม่มีสังคม คนบางกลุ่มก็มักมองว่าผมเป็นตัวตลก ก็จะมีมายั่ว และมาแกล้งบ้าง
.
จุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมสามารถที่จะควบคุมอารมณ์ของตนเองได้นั้น เริ่มมาจากตอนเข้าทำงาน ตอนที่ผมเข้าทำงานใหม่ๆนั้นก็ยังมีปัญหาเรื่องการเข้าสังคมกับคนที่ทำงาน ไม่สามารถทำงานร่วมกับใครได้ เนื่องจากเป็นคนที่เอาแก่ใจตนเอง ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง เวลาใครตำหนิหรือว่าอะไร ก็จะโกรธ ไม่พอใจ ถึงขั้นโวยวายก็มี ช่วงนั้นที่ทำให้ผมคิดที่อยากที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะเรื่องอารมณ์ จึงเข้าหาธรรมะมากขึ้น เริ่มศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง ฝึกตามรู้ตามดูอารมณ์อย่างมีสติ รู้ทันอารมณ์ทุกขณะ โดยดูว่าตอนนั้นโกรธ เพราะอะไร ก็ต้องดูเข้าไปอีก เช่น โกรธเพราะเค้าตำหนิ ดูว่าตำหนิอะไร สิ่งที่เค้าตำหนิไปนั้นเป็นจริงไหม เราทำผิดไหมเค้าจึงตำหนิ จากนั้นจึงใช้ความเข้าใจแก่ตัวเค้าว่าสิ่งที่เค้าทำกับเราเพราะต้องการให้งานออกมาดี และผิดพลาดน้อยที่สุด หรือไม่ผิดพลาดเลย ใช้ความเข้าใจแก่ตัวเราว่าเราผิดจริง ก็ต้องแก้ไข และปรับปรุงตนเองต่อไป ก็เริ่มฝึกแบบนี้ไปเรื่อยๆ ดูไปเรื่อยๆ แก่ตัวเราและผู้ที่กระทำแก่เรา ใช้ความเข้าใจ ปัญญา และความรักในการแก้ไขปัญหา จนผมสามารถเริ่มจัดการและควบคุมอารมณ์ได้ดีในที่สุด
.
หลังจากที่ได้ฝึกการใช้สติ ตามรู้ตามดูอารมณ์ทุกขณะ ก็ทำให้การควบคุมอารมณ์ของผมดีขึ้น หน้าตาดูสดใสขึ้น รวมถึงเวลามีอารมณ์หรือความคิดลบๆผุดขึ้นมา ก็เอาขึ้นมาดู มองว่ามันก็คือตัวเรา ยอมรับมัน ไม่กดข่มหรือห้ามมัน แล้วสิ่งเหล่านี้ก็หายไปเอง กับ เวลาที่โกรธใครแล้วอยากพุ่งเข้าใส่ ก็เริ่มตั้งสติ แล้วคิดทบทวนดูว่า หากเราพุ่งเข้าใส่แล้วจะเกิดผลเสียอะไรตามมาบ้าง วัดดูว่าระหว่างผลดีกับผลเสีย อันไหนจะมากกว่ากัน รวมถึงเวลามีใครมาสอนอะไร แล้วโกรธ รับไม่ได้ ก็จะเริ่มเปิดใจ ค่อยๆรับฟัง แทนที่จะโกรธ ไม่พอใจ พุ่งใส่ ก็พยายามที่จะเอาใจเขาใส่ใจเราดูว่า ถ้าเป็นเราหวังดีที่อยากจะให้เค้าเป็น เค้าเก่ง แต่เค้ากลับปฎิเสธเรา แถมต่อว่าเราด้วยความโกรธ เราจะรู้สึกอย่างไร พอคิดแบบนี้ได้ ก็ทำให้ผมเริ่มค่อยๆเปิดใจรับฟัง รับสิ่งใหม่ๆเข้ามามากขึ้น ถ้าสิ่งนั้นที่เรารับมาจากเค้า ทำให้เราพัฒนาตนเองได้มากขึ้น และตอบโจทย์สำหรับเรา ทำให้เราเรียนรู้สิ่งนั้นไปได้ไกลกว่านี้
.
และสิ่งที่ผมได้จากการฝึกตามรู้ตามดูมานี้ ทำให้ผมได้เข้าใจถึงตนเอง และสังคม คนรอบข้างผมมากขึ้น จนทำให้ผมทำงาน อยู่ร่วมกับสังคมได้ปกติ โดยที่ไม่รู้สึกแปลกแยกจากสังคม และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ผมสามารถฝ่าฟันมาถึงจุดนี้ได้ก็คือ แม่ ของผม ที่นอกจากจะพาผมไปบำบัดจนมีพัฒนาที่ดีขึ้น สามารถดูแลตนเอง ช่วยเหลือตนเอง และพึ่งพาตนเองได้แล้ว ก่อนที่ผมจะไปเรียนหนังสือ แม้กระทั่งทำงานจนถึงปัจจุบัน แม่ผมจะพูดเพื่อให้พรแก่ลูกๆเสมอว่า "พระคุ้มครอง" แต่ก่อนผมไม่เข้าใจในสิ่งที่แม่ผมพูด แต่ก็รู้สึกดีทุกครั้ง จนมาถึงช่วงที่ศึกษากฎแรงดึงดูดก็เข้าใจว่า สิ่งที่แม่ผมพูดมานั้น ก็เป็นการส่งพลังงานบวกแก่ลูกๆ จึงทำให้รู้สึกดีทุกครั้งที่ได้รับพลังงานบวกจากแม่(แม่ผมไม่ได้ศึกษากฎแรงดึงดูด แต่ชอบสวดมนต์อยู่ทุกวัน) เวลาที่ผมมีปัญหา รู้สึกไม่สบายใจ ท้อใจ ก็จะนึกถึงแม่ทุกครั้ง เวลาที่แม่ต้องลำบากเพื่อลูก(โดยเฉพาะผม ที่ลำบากมากกว่าลูกคนอื่นๆ ที่กว่าจะทำให้ผมกลับมาเป็นปกติได้) ซึ่งตรงนี้ที่ทำให้ผมมีกำลังใจในการสู้ชีวิตมากขึ้น
.
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ
.
ขออนุญาต Tag ห้อง ศาสนา นะครับ เผื่อใครอยากเอาแนวทางนี้ไปปฏิบัติดูบ้าง ส่วนตัวผมมองว่า ไม่มีแนวทางการปฏิบัติแบบไหนดีที่สุด อยู่ที่ว่าแบบไหนที่เข้ากับจริตของตนมากที่สุด ขอให้ทุกท่านโชคดีครับ
แชร์ประสบการณ์การควบคุมอารมณ์ของคนที่เป็นออทิสติก
.
จุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมสามารถที่จะควบคุมอารมณ์ของตนเองได้นั้น เริ่มมาจากตอนเข้าทำงาน ตอนที่ผมเข้าทำงานใหม่ๆนั้นก็ยังมีปัญหาเรื่องการเข้าสังคมกับคนที่ทำงาน ไม่สามารถทำงานร่วมกับใครได้ เนื่องจากเป็นคนที่เอาแก่ใจตนเอง ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง เวลาใครตำหนิหรือว่าอะไร ก็จะโกรธ ไม่พอใจ ถึงขั้นโวยวายก็มี ช่วงนั้นที่ทำให้ผมคิดที่อยากที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะเรื่องอารมณ์ จึงเข้าหาธรรมะมากขึ้น เริ่มศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง ฝึกตามรู้ตามดูอารมณ์อย่างมีสติ รู้ทันอารมณ์ทุกขณะ โดยดูว่าตอนนั้นโกรธ เพราะอะไร ก็ต้องดูเข้าไปอีก เช่น โกรธเพราะเค้าตำหนิ ดูว่าตำหนิอะไร สิ่งที่เค้าตำหนิไปนั้นเป็นจริงไหม เราทำผิดไหมเค้าจึงตำหนิ จากนั้นจึงใช้ความเข้าใจแก่ตัวเค้าว่าสิ่งที่เค้าทำกับเราเพราะต้องการให้งานออกมาดี และผิดพลาดน้อยที่สุด หรือไม่ผิดพลาดเลย ใช้ความเข้าใจแก่ตัวเราว่าเราผิดจริง ก็ต้องแก้ไข และปรับปรุงตนเองต่อไป ก็เริ่มฝึกแบบนี้ไปเรื่อยๆ ดูไปเรื่อยๆ แก่ตัวเราและผู้ที่กระทำแก่เรา ใช้ความเข้าใจ ปัญญา และความรักในการแก้ไขปัญหา จนผมสามารถเริ่มจัดการและควบคุมอารมณ์ได้ดีในที่สุด
.
หลังจากที่ได้ฝึกการใช้สติ ตามรู้ตามดูอารมณ์ทุกขณะ ก็ทำให้การควบคุมอารมณ์ของผมดีขึ้น หน้าตาดูสดใสขึ้น รวมถึงเวลามีอารมณ์หรือความคิดลบๆผุดขึ้นมา ก็เอาขึ้นมาดู มองว่ามันก็คือตัวเรา ยอมรับมัน ไม่กดข่มหรือห้ามมัน แล้วสิ่งเหล่านี้ก็หายไปเอง กับ เวลาที่โกรธใครแล้วอยากพุ่งเข้าใส่ ก็เริ่มตั้งสติ แล้วคิดทบทวนดูว่า หากเราพุ่งเข้าใส่แล้วจะเกิดผลเสียอะไรตามมาบ้าง วัดดูว่าระหว่างผลดีกับผลเสีย อันไหนจะมากกว่ากัน รวมถึงเวลามีใครมาสอนอะไร แล้วโกรธ รับไม่ได้ ก็จะเริ่มเปิดใจ ค่อยๆรับฟัง แทนที่จะโกรธ ไม่พอใจ พุ่งใส่ ก็พยายามที่จะเอาใจเขาใส่ใจเราดูว่า ถ้าเป็นเราหวังดีที่อยากจะให้เค้าเป็น เค้าเก่ง แต่เค้ากลับปฎิเสธเรา แถมต่อว่าเราด้วยความโกรธ เราจะรู้สึกอย่างไร พอคิดแบบนี้ได้ ก็ทำให้ผมเริ่มค่อยๆเปิดใจรับฟัง รับสิ่งใหม่ๆเข้ามามากขึ้น ถ้าสิ่งนั้นที่เรารับมาจากเค้า ทำให้เราพัฒนาตนเองได้มากขึ้น และตอบโจทย์สำหรับเรา ทำให้เราเรียนรู้สิ่งนั้นไปได้ไกลกว่านี้
.
และสิ่งที่ผมได้จากการฝึกตามรู้ตามดูมานี้ ทำให้ผมได้เข้าใจถึงตนเอง และสังคม คนรอบข้างผมมากขึ้น จนทำให้ผมทำงาน อยู่ร่วมกับสังคมได้ปกติ โดยที่ไม่รู้สึกแปลกแยกจากสังคม และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ผมสามารถฝ่าฟันมาถึงจุดนี้ได้ก็คือ แม่ ของผม ที่นอกจากจะพาผมไปบำบัดจนมีพัฒนาที่ดีขึ้น สามารถดูแลตนเอง ช่วยเหลือตนเอง และพึ่งพาตนเองได้แล้ว ก่อนที่ผมจะไปเรียนหนังสือ แม้กระทั่งทำงานจนถึงปัจจุบัน แม่ผมจะพูดเพื่อให้พรแก่ลูกๆเสมอว่า "พระคุ้มครอง" แต่ก่อนผมไม่เข้าใจในสิ่งที่แม่ผมพูด แต่ก็รู้สึกดีทุกครั้ง จนมาถึงช่วงที่ศึกษากฎแรงดึงดูดก็เข้าใจว่า สิ่งที่แม่ผมพูดมานั้น ก็เป็นการส่งพลังงานบวกแก่ลูกๆ จึงทำให้รู้สึกดีทุกครั้งที่ได้รับพลังงานบวกจากแม่(แม่ผมไม่ได้ศึกษากฎแรงดึงดูด แต่ชอบสวดมนต์อยู่ทุกวัน) เวลาที่ผมมีปัญหา รู้สึกไม่สบายใจ ท้อใจ ก็จะนึกถึงแม่ทุกครั้ง เวลาที่แม่ต้องลำบากเพื่อลูก(โดยเฉพาะผม ที่ลำบากมากกว่าลูกคนอื่นๆ ที่กว่าจะทำให้ผมกลับมาเป็นปกติได้) ซึ่งตรงนี้ที่ทำให้ผมมีกำลังใจในการสู้ชีวิตมากขึ้น
.
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ
.
ขออนุญาต Tag ห้อง ศาสนา นะครับ เผื่อใครอยากเอาแนวทางนี้ไปปฏิบัติดูบ้าง ส่วนตัวผมมองว่า ไม่มีแนวทางการปฏิบัติแบบไหนดีที่สุด อยู่ที่ว่าแบบไหนที่เข้ากับจริตของตนมากที่สุด ขอให้ทุกท่านโชคดีครับ