- ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราไม่ได้เห็นแค่ศิลปิน K-Pop สัญชาติเกาหลี แต่เรายังเห็น ลิซ่า แบล็กพิงก์ (LISA BLACKPINK) ศิลปินสัญชาติไทย ถูกเลือกเข้ามาอยู่ในลิสต์เป็นพรีเซ็นเตอร์ ไปจนกระทั่งแอมบาสเดอร์ของแบรนด์ระดับโลก
- ล่าสุด ลิซ่า แบล็กพิงก์ ถูกเลือกให้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์หญิงคนแรกในเอเชียให้กับแบรนด์วิสกี้ชื่อดังระดับโลก
- ความสามารถ ความโดดเด่นของลิซ่า บวกกับฐานแฟนคลับที่มีทั่วโลก จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทั้งแบรนด์ไทย และแบรนด์ระดับโลกต่างต้องการให้ลิซ่ามาทำหน้าที่แอมบาสเดอร์พาแบรนด์ให้ก้าวไกลไปอีกขั้น
ลิซ่า แบล็กพิงก์ (LISA BLACKPINK) กลายมาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์หญิงคนแรกในเอเชียให้กับแบรนด์วิสกี้ชื่อดังระดับโลกอย่าง ชีวาส รีกัล (Chivas Regal) แม้ในไทยกำลังมีประเด็นดราม่าเกี่ยวกับการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ถ้าเป็นในมุมการตลาดก็นับเป็นกรณีที่น่าสนใจไม่น้อย แม้แบรนด์จะเคยร่วมงานกับแบรนด์แฟชั่น หรือเหล่าเซเลบริตี้ระดับโลกมามากมายแล้วก็ตาม
จากที่ นิก แบล็กเนลล์ (Nick Blacknell) ผู้จัดการฝ่ายการตลาดทั่วโลกของชีวาส รีกัล กล่าวไว้ สรุปได้ว่าเหตุผลที่เลือกลิซ่ามาเป็นแอมบาสเดอร์นั้น เพราะแบรนด์ต้องการทำงานร่วมกันกับคนที่สามารถแบ่งปันค่านิยมแบบเดียวกัน ลิซ่าเป็นซุปเปอร์สตาร์ระดับโลกที่เป็นแบบอย่างสำหรับคนรุ่นต่อไป นอกเหนือจากการมีอิทธิพลในด้านดนตรี และแฟชั่น ลิซ่าจะสามารถทำหน้าที่พาชีวาส รีกัล ก้าวไปอีกขั้นในเอเชีย
หากย้อนมองในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราไม่ได้เห็นแค่ศิลปิน K-Pop สัญชาติเกาหลี แต่เรายังเห็น ลิซ่า แบล็กพิงก์ ศิลปินสัญชาติไทย ถูกเลือกเข้ามาอยู่ในลิสต์เป็นพรีเซ็นเตอร์ ไปจนกระทั่งแอมบาสเดอร์ของแบรนด์ระดับโลก อย่างเช่น เซลีน (Celine) และ บุลการี (BVLGARI)
น่าสนใจและเป็นคำถามที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดตลอดในช่วงที่ผ่านมาๆ ว่า ทำไมแบรนด์ไทย และแบรนด์ระดับโลกต่างเลือกใช้ ลิซ่า แบล็กพิงก์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์หรือแอมบาสเดอร์กันมากขึ้น
ในแง่มุมการตลาดเรามองว่ามีด้วยกันไม่กี่เหตุผลในการตัดสินใจเลือกใครมาเป็นพรีเซ็นเตอร์หรือแอมบาสเดอร์
ขยายฐานลูกค้า แน่นอนว่าแบรนด์ไม่สามารถหยุดนิ่งเพราะมีคู่แข่งอยู่ตลอดเวลา การรักษาฐานลูกค้าเดิมเป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือการเพิ่มเติมฐานลูกค้าใหม่ๆ ให้กลายมาเป็นลูกค้าของแบรนด์ให้ได้
การปรับภาพลักษณ์ การใช้ศิลปินเคป๊อปมาเป็นแอมบาสเดอร์หรือพรีเซ็นเตอร์นั้นทำให้ดูทันสมัย และวัยรุ่นมากขึ้น เพราะฐานแฟนคลับของบรรดาศิลปินเป็นกลุ่มวันรุ่นและคนรุ่นใหม่
สร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น แบรนด์ไม่ได้หวังแค่สร้างการรับรู้ผ่านพรีเซ็นเตอร์อย่างเดียว แต่สิ่งที่ต้องได้กลับมานั่นคือ ยอดขายและรายได้ที่เพิ่มขึ้น การเลือกใช้ศิลปินเกาหลี ที่มีพลังแฟนคลับที่พร้อมจะสนับสนุนศิลปินที่ชอบย่อมทำให้แบรนด์นั้นๆ สามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นตาม รวมถึงการทำมุ่งเน้นไปยังลูกค้าที่เป็นกลุ่มสาวก สร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และลูกค้าได้มากยิ่งกว่ากลุ่มผู้บริโภคที่ภักดีต่อแบรนด์เสียอีก
ที่กล่าวมานั้น ไม่ได้คิดไปเอง เพราะสอดคล้องกับที่แพลตฟอร์มการตลาดอย่าง Lefty และผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดของ NYU Stern School of Business ให้มุมมองในการทำการตลาดว่า ในช่วง 2-3 ปีหลังนี้ลูกค้าที่มาใช้บริการแพลตฟอร์มเริ่มพูดถึงความแข็งแกร่งของโซเชียลมีเดีย เป็นสิ่งสำคัญที่พิจารณาสำหรับการเลือกแอมบาสเดอร์
ขณะที่ในส่วนของแบรนด์หรู บทบาททางการตลาดของแบรนด์แอมบาสเดอร์นั้นถือเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก เพราะสามารถยกระดับความสามารถในการโปรโมตแบรนด์ในลักษณะที่ต่างออกไป และสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับผู้บริโภคผ่านแอมบาสเดอร์เหล่านี้ได้
หากแบรนด์จะต้องเลือกศิลปินหญิงแห่งยุคมาเป็นพรีเซ็นเตอร์หรือแอมบาสเดอร์ที่ตอบโจทย์ในการทำการตลาดที่กล่าวมานี้ ลิซ่า แบล็กพิงก์ นับเป็นตัวเลือกแรกๆ อย่างไม่มีข้อถกเถียง พิจารณาจากทั้งความสามารถ ความพยายามที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจและเป็นตัวอย่างให้กับคนรุ่นใหม่ จนกลายมาเป็นศิลปินแถวหน้าของโลก
ลิซ่า มีคนตามติดตามอินสตาแกรมมากถึง 74.4 ล้านคน
Guinness Book of World Records รับรองอย่างเป็นทางการ ว่ามิวสิกวิดีโอเพลง LALISA เป็น MV ของศิลปินเดี่ยวที่มียอดเข้าชมสูงสุดภายในเวลา 24 ชั่วโมง ด้วยสถิติ 73.6 ล้านวิว
เพลง Money สร้างสถิติครองอันดับ 1 ในชาร์ต Billboard Rap Digital Song Sales และกลายเป็นศิลปินหญิงเคป๊อปรายแรกที่ได้อันดับ 1 บนชาร์ตระดับโลก
อัลบั้มเดี่ยวของลิซ่า ‘LALISA’ มียอดสตรีมบน Spotify มากกว่า 500 ล้านครั้ง โดยทำได้ในเวลาเพียง 132 วัน หลังจากเปิดตัวในวันที่ 10 กันยายน 2021
นี่เป็นเพียงสถิติเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่สามารถบอกได้ว่าในเวลานี้ แทบไม่มีใครที่ไม่รู้จัก ลิซ่า แบล็กพิงก์
สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์เคยระบุว่าไว้ว่า การมีส่วนร่วมของฟอลโลเวอร์ของลิซ่าสร้างเอนเกจเมนต์ และการรับรู้ได้อย่างมหาศาล
ภาพจาก MAC
และก็เป็นจริงตามนั้นเพราะไม่ว่าลิซ่าจะหยิบจับอะไร ใส่เสื้อผ้า ใช้เครื่องสำอางแบรนด์ไหน หรือแค่พูดถึงอะไร ไม่กี่วันสิ่งเหล่านั้นก็แทบจะขึ้นว่า Sold Out ในทันที ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆ สัก 3-4 แบรนด์ ที่มีลิซ่า เป็นพรีเซ็นเตอร์และแอมบาสเดอร์อย่าง เซลีน (Celine) แบรนด์แฟชั่นระดับโลกที่ลิซ่ากลายเป็นโกลบอลแอมบาสเดอร์คนแรกในรอบ 70 ปีให้กับแบรนด์ ทำให้ปี 2021 แบรนด์เติบโตถึง 118 เปอร์เซ็นต์ มีรายได้ไปกว่า 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็นแบรนด์หรูที่มีมูลค่าแบรนด์เติบโตเร็วที่สุด
หรือแม้แต่แบรนด์ บุลการี (BVLGARI) ที่ลิซ่าได้ร่วมงานด้วย สตาฟฟ์ของแบรนด์ระบุว่า ลิซ่าสามารถทำให้สินค้าของบุลการีมียอดจองหมดได้ในเวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมงานเองไม่ได้คาดหวังว่า ลิซ่า จะสามารถสร้างอิมแพกต์ในการขายได้มากขนาดนี้
หรือจะล่าสุดกับชีวาส รีกัล หนึ่งสิ่งที่เราเห็นมากกว่าที่ทางแบรนด์บอกเหตุผลในข้างต้นนั่นคือ ความเป็นแบรนด์พรีเมียม และต้องการปรับภาพลักษณ์ที่ดูมีอายุ ให้เด็กลงด้วยการใช้ศิลปินรุ่นใหม่ที่อิทธิพลมาช่วยอย่างลิซ่านั่นเอง
หากมองกลับมาในไทยแบรนด์ที่เลือกลิซ่ามาเป็นแอมบาสเดอร์ก็ประสบความสำเร็จไม่น้อยทั้ง เอไอเอส เดนทิสเต้ กสิกรไทย
ถ้าใครจำได้ ในปี 2019 ปีที่ครบรอบ 30 ปีของบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่อย่างเอไอเอส ในปีนั้นเอไอเอสทำแคมเปญอย่างยิ่งใหญ่ และต้องการจับกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น เอไอเอสเลือกใช้พรีเซ็นเตอร์หลากหลายเพื่อทำให้แบรนด์เข้าถึงคนทุกกลุ่ม หนึ่งในนั้นก็มีชื่อของ ลิซ่า แบล็กพิงก์ ด้วย
การเลือกลิซ่ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ของเอไอเอสไม่เพียงต้องการขยายฐานลูกค้าต่างประเทศ แต่ยังต้องการสื่อสารสร้างการรับรู้ไปยังแฟนคลับของลิซ่าที่อยู่ทั่วโลก รวมถึงการสร้างภาพลักษณ์การเป็นแบรนด์โทรคมนาคมที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
พลังของลิซ่าทำให้แคมเปญของเอไอเอสที่ X กับ ลิซ่า กลายเป็นโฆษณาที่ได้รับความนิยมสูงสุดบนยูทูบในช่วงครึ่งปีแรกของปีนั้นด้วย
หรือแม้แต่วงการธนาคารอย่างธนาคารกสิกรไทย ที่เลือกลิซ่า และ แบล็กพิงก์ มาเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ มีเป้าหมายอยู่ที่การสื่อสารกับคนรุ่นใหม่อายุ 15-25 ปี แม้คนรุ่นใหม่อาจจะไม่ใช่ฐานลูกค้าใหญ่ของธนาคาร แต่ธนาคารกสิกรไทยคิดไกลกว่านั้น เพราะต้องการเข้าถึงคนรุ่นใหม่ ที่อาจจะกลายเป็นลูกค้าหลักในอนาคตข้างหน้า กสิกรไทยทั้งทำภาพยนตร์โฆษณา ออกบัตรเดบิตลาย BLACKPINK หรือแม้แต่บัญชีเงินฝากทวีทรัพย์ KBank x BLACKPINK ออกมาซึ่งสร้างกระแสในช่วงนั้นไม่น้อย
ทั้งนี้ เดอะ สแตนดาร์ด รายงานไว้ ภาพยนตร์โฆษณาความยาว 120 วินาที ที่ชื่อว่า Empower You มียอดชมถึง 40 ล้านวิวหลังจากปล่อยออกมาเพียงแค่ 2 สัปดาห์ ก็นับเป็นการตลาดที่มาถูกทางไม่น้อย
ส่วนอีกแบรนด์คือยาสีฟันของคนไทยอย่าง เดนทิสเต้ ที่ภาพจำของแบรนด์คือ Bed Moment ยาสีฟันก่อนนอน และมีฐานกลุ่มลูกค้าหลักคือกลุ่ม Gen X ดร.แสงสุข พิทยานุกุล ผู้ก่อตั้ง และกรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด เคยให้มุมมองไว้กับไทยรัฐพลัสว่า เดนทิสเต้พยายามเจาะกลุ่มคน Gen Y และ Gen Z มากขึ้น ด้วยการใช้ ‘ลิซ่า Blackpink’ มาเป็น Brand Ambassador เพื่อกระตุ้นยอดขาย
ดร.แสงสุข ยังบอกอีกว่า การนำลิซ่ามาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์นั้น คือทางลัดการผลักดันให้แบรนด์กลายเป็นโกลบอลแบรนด์ และมองภาพว่าสินค้าไม่แพงอย่างที่คิด ซึ่งนอกจากความเป็นโกลบอลแบรนด์แล้ว การออกสินค้าที่มีนวัตกรรมระดับโลก จะทำให้เกิดการรับรู้อย่างรวดเร็ว และประสบความสำเร็จได้เร็วก็โดยการใช้ศิลปินระดับโลกนี่แหละ ส่วนเรื่องยอดขายก็เพิ่มขึ้นอย่างที่คาดไว้อย่างแน่นอน
จากความสำเร็จที่เล่าไปทั้งหมดนี้คงตอบคำถามที่ถูกตั้งไว้ตั้งแต่ต้นได้เป็นอย่างดีว่า ทำไมแบรนด์ไทย และแบรนด์ระดับโลกต่างเลือกใช้ ลิซ่า แบล็กพิงก์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์หรือแอมบาสเดอร์กันมากขึ้น
และนับจากนี้ต้องจับตาว่าลิซ่า แบล็กพิงก์ จะสร้างปรากฏการณ์การเป็นแอมบาสเดอร์ระดับโลกแบรนด์ไหนอีก
เพราะเส้นทางความสำเร็จของสาวน้อยมหัศจรรย์ที่ชื่อลิซ่า ลลิษา มโนบาล ยังมีอีกมากมายและยาวไกล
https://plus.thairath.co.th/topic/money/101254
ความดัง ความสามารถ ของ ‘ลิซ่า’ คือคำตอบที่แบรนด์ระดับโลกเลือก หวังให้พาแบรนด์ไปไกลกว่าเดิม - ไทยรัฐ
- ล่าสุด ลิซ่า แบล็กพิงก์ ถูกเลือกให้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์หญิงคนแรกในเอเชียให้กับแบรนด์วิสกี้ชื่อดังระดับโลก
- ความสามารถ ความโดดเด่นของลิซ่า บวกกับฐานแฟนคลับที่มีทั่วโลก จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทั้งแบรนด์ไทย และแบรนด์ระดับโลกต่างต้องการให้ลิซ่ามาทำหน้าที่แอมบาสเดอร์พาแบรนด์ให้ก้าวไกลไปอีกขั้น
ลิซ่า แบล็กพิงก์ (LISA BLACKPINK) กลายมาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์หญิงคนแรกในเอเชียให้กับแบรนด์วิสกี้ชื่อดังระดับโลกอย่าง ชีวาส รีกัล (Chivas Regal) แม้ในไทยกำลังมีประเด็นดราม่าเกี่ยวกับการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ถ้าเป็นในมุมการตลาดก็นับเป็นกรณีที่น่าสนใจไม่น้อย แม้แบรนด์จะเคยร่วมงานกับแบรนด์แฟชั่น หรือเหล่าเซเลบริตี้ระดับโลกมามากมายแล้วก็ตาม
จากที่ นิก แบล็กเนลล์ (Nick Blacknell) ผู้จัดการฝ่ายการตลาดทั่วโลกของชีวาส รีกัล กล่าวไว้ สรุปได้ว่าเหตุผลที่เลือกลิซ่ามาเป็นแอมบาสเดอร์นั้น เพราะแบรนด์ต้องการทำงานร่วมกันกับคนที่สามารถแบ่งปันค่านิยมแบบเดียวกัน ลิซ่าเป็นซุปเปอร์สตาร์ระดับโลกที่เป็นแบบอย่างสำหรับคนรุ่นต่อไป นอกเหนือจากการมีอิทธิพลในด้านดนตรี และแฟชั่น ลิซ่าจะสามารถทำหน้าที่พาชีวาส รีกัล ก้าวไปอีกขั้นในเอเชีย
หากย้อนมองในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราไม่ได้เห็นแค่ศิลปิน K-Pop สัญชาติเกาหลี แต่เรายังเห็น ลิซ่า แบล็กพิงก์ ศิลปินสัญชาติไทย ถูกเลือกเข้ามาอยู่ในลิสต์เป็นพรีเซ็นเตอร์ ไปจนกระทั่งแอมบาสเดอร์ของแบรนด์ระดับโลก อย่างเช่น เซลีน (Celine) และ บุลการี (BVLGARI)
น่าสนใจและเป็นคำถามที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดตลอดในช่วงที่ผ่านมาๆ ว่า ทำไมแบรนด์ไทย และแบรนด์ระดับโลกต่างเลือกใช้ ลิซ่า แบล็กพิงก์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์หรือแอมบาสเดอร์กันมากขึ้น
ในแง่มุมการตลาดเรามองว่ามีด้วยกันไม่กี่เหตุผลในการตัดสินใจเลือกใครมาเป็นพรีเซ็นเตอร์หรือแอมบาสเดอร์
ขยายฐานลูกค้า แน่นอนว่าแบรนด์ไม่สามารถหยุดนิ่งเพราะมีคู่แข่งอยู่ตลอดเวลา การรักษาฐานลูกค้าเดิมเป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือการเพิ่มเติมฐานลูกค้าใหม่ๆ ให้กลายมาเป็นลูกค้าของแบรนด์ให้ได้
การปรับภาพลักษณ์ การใช้ศิลปินเคป๊อปมาเป็นแอมบาสเดอร์หรือพรีเซ็นเตอร์นั้นทำให้ดูทันสมัย และวัยรุ่นมากขึ้น เพราะฐานแฟนคลับของบรรดาศิลปินเป็นกลุ่มวันรุ่นและคนรุ่นใหม่
สร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น แบรนด์ไม่ได้หวังแค่สร้างการรับรู้ผ่านพรีเซ็นเตอร์อย่างเดียว แต่สิ่งที่ต้องได้กลับมานั่นคือ ยอดขายและรายได้ที่เพิ่มขึ้น การเลือกใช้ศิลปินเกาหลี ที่มีพลังแฟนคลับที่พร้อมจะสนับสนุนศิลปินที่ชอบย่อมทำให้แบรนด์นั้นๆ สามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นตาม รวมถึงการทำมุ่งเน้นไปยังลูกค้าที่เป็นกลุ่มสาวก สร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และลูกค้าได้มากยิ่งกว่ากลุ่มผู้บริโภคที่ภักดีต่อแบรนด์เสียอีก
ที่กล่าวมานั้น ไม่ได้คิดไปเอง เพราะสอดคล้องกับที่แพลตฟอร์มการตลาดอย่าง Lefty และผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดของ NYU Stern School of Business ให้มุมมองในการทำการตลาดว่า ในช่วง 2-3 ปีหลังนี้ลูกค้าที่มาใช้บริการแพลตฟอร์มเริ่มพูดถึงความแข็งแกร่งของโซเชียลมีเดีย เป็นสิ่งสำคัญที่พิจารณาสำหรับการเลือกแอมบาสเดอร์
ขณะที่ในส่วนของแบรนด์หรู บทบาททางการตลาดของแบรนด์แอมบาสเดอร์นั้นถือเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก เพราะสามารถยกระดับความสามารถในการโปรโมตแบรนด์ในลักษณะที่ต่างออกไป และสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับผู้บริโภคผ่านแอมบาสเดอร์เหล่านี้ได้
หากแบรนด์จะต้องเลือกศิลปินหญิงแห่งยุคมาเป็นพรีเซ็นเตอร์หรือแอมบาสเดอร์ที่ตอบโจทย์ในการทำการตลาดที่กล่าวมานี้ ลิซ่า แบล็กพิงก์ นับเป็นตัวเลือกแรกๆ อย่างไม่มีข้อถกเถียง พิจารณาจากทั้งความสามารถ ความพยายามที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจและเป็นตัวอย่างให้กับคนรุ่นใหม่ จนกลายมาเป็นศิลปินแถวหน้าของโลก
ลิซ่า มีคนตามติดตามอินสตาแกรมมากถึง 74.4 ล้านคน
Guinness Book of World Records รับรองอย่างเป็นทางการ ว่ามิวสิกวิดีโอเพลง LALISA เป็น MV ของศิลปินเดี่ยวที่มียอดเข้าชมสูงสุดภายในเวลา 24 ชั่วโมง ด้วยสถิติ 73.6 ล้านวิว
เพลง Money สร้างสถิติครองอันดับ 1 ในชาร์ต Billboard Rap Digital Song Sales และกลายเป็นศิลปินหญิงเคป๊อปรายแรกที่ได้อันดับ 1 บนชาร์ตระดับโลก
อัลบั้มเดี่ยวของลิซ่า ‘LALISA’ มียอดสตรีมบน Spotify มากกว่า 500 ล้านครั้ง โดยทำได้ในเวลาเพียง 132 วัน หลังจากเปิดตัวในวันที่ 10 กันยายน 2021
นี่เป็นเพียงสถิติเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่สามารถบอกได้ว่าในเวลานี้ แทบไม่มีใครที่ไม่รู้จัก ลิซ่า แบล็กพิงก์
สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์เคยระบุว่าไว้ว่า การมีส่วนร่วมของฟอลโลเวอร์ของลิซ่าสร้างเอนเกจเมนต์ และการรับรู้ได้อย่างมหาศาล
ภาพจาก MAC
และก็เป็นจริงตามนั้นเพราะไม่ว่าลิซ่าจะหยิบจับอะไร ใส่เสื้อผ้า ใช้เครื่องสำอางแบรนด์ไหน หรือแค่พูดถึงอะไร ไม่กี่วันสิ่งเหล่านั้นก็แทบจะขึ้นว่า Sold Out ในทันที ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆ สัก 3-4 แบรนด์ ที่มีลิซ่า เป็นพรีเซ็นเตอร์และแอมบาสเดอร์อย่าง เซลีน (Celine) แบรนด์แฟชั่นระดับโลกที่ลิซ่ากลายเป็นโกลบอลแอมบาสเดอร์คนแรกในรอบ 70 ปีให้กับแบรนด์ ทำให้ปี 2021 แบรนด์เติบโตถึง 118 เปอร์เซ็นต์ มีรายได้ไปกว่า 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็นแบรนด์หรูที่มีมูลค่าแบรนด์เติบโตเร็วที่สุด
หรือแม้แต่แบรนด์ บุลการี (BVLGARI) ที่ลิซ่าได้ร่วมงานด้วย สตาฟฟ์ของแบรนด์ระบุว่า ลิซ่าสามารถทำให้สินค้าของบุลการีมียอดจองหมดได้ในเวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมงานเองไม่ได้คาดหวังว่า ลิซ่า จะสามารถสร้างอิมแพกต์ในการขายได้มากขนาดนี้
หรือจะล่าสุดกับชีวาส รีกัล หนึ่งสิ่งที่เราเห็นมากกว่าที่ทางแบรนด์บอกเหตุผลในข้างต้นนั่นคือ ความเป็นแบรนด์พรีเมียม และต้องการปรับภาพลักษณ์ที่ดูมีอายุ ให้เด็กลงด้วยการใช้ศิลปินรุ่นใหม่ที่อิทธิพลมาช่วยอย่างลิซ่านั่นเอง
หากมองกลับมาในไทยแบรนด์ที่เลือกลิซ่ามาเป็นแอมบาสเดอร์ก็ประสบความสำเร็จไม่น้อยทั้ง เอไอเอส เดนทิสเต้ กสิกรไทย
ถ้าใครจำได้ ในปี 2019 ปีที่ครบรอบ 30 ปีของบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่อย่างเอไอเอส ในปีนั้นเอไอเอสทำแคมเปญอย่างยิ่งใหญ่ และต้องการจับกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น เอไอเอสเลือกใช้พรีเซ็นเตอร์หลากหลายเพื่อทำให้แบรนด์เข้าถึงคนทุกกลุ่ม หนึ่งในนั้นก็มีชื่อของ ลิซ่า แบล็กพิงก์ ด้วย
การเลือกลิซ่ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ของเอไอเอสไม่เพียงต้องการขยายฐานลูกค้าต่างประเทศ แต่ยังต้องการสื่อสารสร้างการรับรู้ไปยังแฟนคลับของลิซ่าที่อยู่ทั่วโลก รวมถึงการสร้างภาพลักษณ์การเป็นแบรนด์โทรคมนาคมที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
พลังของลิซ่าทำให้แคมเปญของเอไอเอสที่ X กับ ลิซ่า กลายเป็นโฆษณาที่ได้รับความนิยมสูงสุดบนยูทูบในช่วงครึ่งปีแรกของปีนั้นด้วย
หรือแม้แต่วงการธนาคารอย่างธนาคารกสิกรไทย ที่เลือกลิซ่า และ แบล็กพิงก์ มาเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ มีเป้าหมายอยู่ที่การสื่อสารกับคนรุ่นใหม่อายุ 15-25 ปี แม้คนรุ่นใหม่อาจจะไม่ใช่ฐานลูกค้าใหญ่ของธนาคาร แต่ธนาคารกสิกรไทยคิดไกลกว่านั้น เพราะต้องการเข้าถึงคนรุ่นใหม่ ที่อาจจะกลายเป็นลูกค้าหลักในอนาคตข้างหน้า กสิกรไทยทั้งทำภาพยนตร์โฆษณา ออกบัตรเดบิตลาย BLACKPINK หรือแม้แต่บัญชีเงินฝากทวีทรัพย์ KBank x BLACKPINK ออกมาซึ่งสร้างกระแสในช่วงนั้นไม่น้อย
ทั้งนี้ เดอะ สแตนดาร์ด รายงานไว้ ภาพยนตร์โฆษณาความยาว 120 วินาที ที่ชื่อว่า Empower You มียอดชมถึง 40 ล้านวิวหลังจากปล่อยออกมาเพียงแค่ 2 สัปดาห์ ก็นับเป็นการตลาดที่มาถูกทางไม่น้อย
ส่วนอีกแบรนด์คือยาสีฟันของคนไทยอย่าง เดนทิสเต้ ที่ภาพจำของแบรนด์คือ Bed Moment ยาสีฟันก่อนนอน และมีฐานกลุ่มลูกค้าหลักคือกลุ่ม Gen X ดร.แสงสุข พิทยานุกุล ผู้ก่อตั้ง และกรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด เคยให้มุมมองไว้กับไทยรัฐพลัสว่า เดนทิสเต้พยายามเจาะกลุ่มคน Gen Y และ Gen Z มากขึ้น ด้วยการใช้ ‘ลิซ่า Blackpink’ มาเป็น Brand Ambassador เพื่อกระตุ้นยอดขาย
ดร.แสงสุข ยังบอกอีกว่า การนำลิซ่ามาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์นั้น คือทางลัดการผลักดันให้แบรนด์กลายเป็นโกลบอลแบรนด์ และมองภาพว่าสินค้าไม่แพงอย่างที่คิด ซึ่งนอกจากความเป็นโกลบอลแบรนด์แล้ว การออกสินค้าที่มีนวัตกรรมระดับโลก จะทำให้เกิดการรับรู้อย่างรวดเร็ว และประสบความสำเร็จได้เร็วก็โดยการใช้ศิลปินระดับโลกนี่แหละ ส่วนเรื่องยอดขายก็เพิ่มขึ้นอย่างที่คาดไว้อย่างแน่นอน
จากความสำเร็จที่เล่าไปทั้งหมดนี้คงตอบคำถามที่ถูกตั้งไว้ตั้งแต่ต้นได้เป็นอย่างดีว่า ทำไมแบรนด์ไทย และแบรนด์ระดับโลกต่างเลือกใช้ ลิซ่า แบล็กพิงก์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์หรือแอมบาสเดอร์กันมากขึ้น
และนับจากนี้ต้องจับตาว่าลิซ่า แบล็กพิงก์ จะสร้างปรากฏการณ์การเป็นแอมบาสเดอร์ระดับโลกแบรนด์ไหนอีก
เพราะเส้นทางความสำเร็จของสาวน้อยมหัศจรรย์ที่ชื่อลิซ่า ลลิษา มโนบาล ยังมีอีกมากมายและยาวไกล
https://plus.thairath.co.th/topic/money/101254