รีวิวพัฒนาการส่วนตัว หลังจากเรียนวอลสตรีทมาได้ 1 ปี 8 เดือน ก่อนอื่นขอพูดรายละเอียดคร่าวๆก่อนนะ ระดับภาษาอังกฤษของวอลสตรีทมีทั้งหมด 20 ระดับ แต่ละระดับมี 4 บทเรียน รวมทั้งสิ้น 80 บทเรียน ได้แก่ ระดับ 1-2 (ต่ำกว่า A1) , ระดับ 3-5 (A1) , ระดับ 6-9 (A2) , ระดับ 10-13 (B1) , ระดับ 14-17 (B2) และระดับ 18-20 (C1) โดยแต่ละคนจะเริ่มต้นระดับที่แตกต่างกัน เพราะจะมีการทำแบบทดสอบวัดระดับก่อนเรียน (ฟัง อ่าน เขียน) เพื่อจะได้รู้ว่าตัวเองอยู่ในระดับไหน โดยเราเริ่มเรียนตั้งแต่เดือน ก.ค. 2563 และสอบเข้ามาได้ระดับ 2 ซึ่งเป็นระดับพื้นฐานที่อ่อนมากกก!!! ความรู้เพิ่งจะพ้นจากการท่อง ABCD มาเองอะ ปัจจุบันเราอยู่เลเวล 13 กำลังจะขึ้นเลเวล 14
**ทักษะก่อนเรียนของเราคือ ฟังประกาศอิ้งบนบีทีเอสเกี่ยวกับข้อบังคับโควิดไม่รู้เรื่อง, อ่านอิ้งไม่ค่อยเข้าใจ, ออกเสียงอิ้งไม่ถนัด, เขียนเล่าเรื่องราวเป็นอิ้งไม่ได้ , ทำข้อสอบอังกฤษแบบ verb to เดา**
ต่อไปจะเล่าความเปลี่ยนแปลงของเราที่เรียนวอลสตรีทตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบันนะ โดยแบ่งออกเป็นแต่ละช่วงระดับ ดังนี้
- เลเวล 2-5 (ช่วงเดือน กรกฎาคม 2563 - มกราคม 2564 ประมาณ 7 เดือน) เรากลัวการใช้ภาษาอังกฤษมากกก จำได้เลยว่าเป็นช่วงเริ่มต้นที่เรารู้สึกเหนื่อยมากกก เพราะสมองยังปรับตัวไม่ได้ เวลาที่ต้องฟัง พูด อ่าน เขียนเป็นอิ้ง เราต้องคิดออกมาเป็นภาษาไทยก่อนเสมอ สมองทำงานหนักและเบลอมากกกก จำได้เลยว่าเราเรียนจนป่วยเลยอ่ะ (เรียนคำศัพท์ง่ายๆในชีวิตประจำวัน บทสนทนาง่ายๆ และเรียนแกรมม่าในระดับที่พื้นฐานมาก)
- เลเวล 6-9 (ช่วงเดือน กุมภาพันธ์ - สิงหาคม 2564 ประมาณ 7 เดือน) เป็นเลเวลที่ทำให้เราใจสั่นตอนสอบ encounter สุดๆเลย เพราะเป็นช่วงคาบเกี่ยวจากพูดไม่ได้ให้กลายเป็นพูดได้ อีกทั้งสมองเริ่มปรับตัวได้ดีขึ้นแต่ยังรู้สึกเหนื่อย ในฝันเราพูดเป็นอิ้งด้วยแหละ อาจจะเป็นเพราะเราเรียนก่อนนอน จิตใต้สำนึกมันยังไม่หลับ 555555 พอตื่นเช้ามาก็จะเพลียๆ เราเริ่มฟังประกาศอิ้งบนบีทีเอสออกมากขึ้น และอ่านภาษาอังกฤษได้อย่างเข้าใจจากความรู้สึกมากขึ้น แต่เรายังไม่สามารถพูดอิ้งได้คล่องเพราะสมองเราชอบคิดเป็นไทยก่อน แล้วค่อยนึกศัพท์อังกฤษ แล้วค่อยเรียงประโยค ประธาน+กริยา+กรรม แล้วก็เช็คก่อนพูดว่ามันถูกรึเปล่าวะ 5555555 กว่าเราจะพูดได้ใช้เวลานานจนคนถามลืมเรื่องที่คุยแล้ว (คำศัพท์ที่เรียนก็จะยากขึ้นจากเลเวล 5 นิดหน่อย และเป็นแกรมม่าที่ใช้สนทนาในชีวิตประจำวัน)
- เลเวล 10-13 (ช่วงเดือน กันยายน 2564 – ปัจจุบัน ประมาณ 7 เดือน) เป็นระยะเวลาที่เราเรียนวอลมาได้เกือบ2ปี เวลาที่เราเรียนไม่ค่อยรู้สึกเหนื่อยแล้ว อาจเป็นเพราะหัวสมองเริ่มชินกับภาษาอังกฤษมากขึ้น (เนื้อหาที่เรียนก็จะเป็นคำศัพท์เฉพาะทางมากขึ้น เช่น เศรษฐศาสตร์, สังคมวัฒนธรรม, เทคโนโลยี , สภาพแวดล้อม ฯลฯ และจะได้เรียนแกรมม่าที่มีความซับซ้อนและสูงมากกว่าปกติที่พูดคุยกันในชีวิตประจำวัน สามารถนำไปใช้ในการสอบต่าง ๆ ได้)
**ผลลัพธ์หลังเรียนในปัจจุบัน**
1. ทักษะด้านการฟัง เราสามารถฟังประกาศอิ้งบนบีทีเอสเกี่ยวกับโควิดรู้เรื่อง และฟังเสียงประกาศในห้างได้อย่างเข้าใจเกือบ 100%
2. ทักษะด้านการอ่าน เราสามารถอ่านบทความอิ้งได้เข้าใจและรวดเร็วมากขึ้น มีเซ้นว่าทำไมต้องเป็นประโยคแบบนี้ และเข้าใจจากความรู้สึกเวลาอ่าน
3. ทักษะด้านการเขียน เราสามารถเขียนเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ในอดีตปัจจุบันอนาคตได้ มีความมั่นใจในการใช้ vocab และ tense มากขึ้น เพราะแบบฝึกหัดทุกบทจะมีการเขียน essay ทุกครั้ง และสามารถกดเช็คคำตอบได้ไม่เกิน 3 รอบ หากมีข้อไหนพิมพ์ผิด ก็ต้องพิมพ์แก้ให้ถูกต้องแล้วกดเช็คคำตอบอีกรอบ ทำให้เราจำข้อผิดพลาดของตัวเองได้มาก
3. ทักษะด้านการพูด เรามีความมั่นใจในการพูดมากขึ้น เวลาพูดไม่รู้สึกเหนื่อยเหมือนตอนเลเวลแรกๆ เนื่องจากมีคำศัพท์ในหัวมากขึ้น แต่เรายังพูดไม่ค่อยคล่องเท่าคนอื่น อาจจะเป็นเพราะในชีวิตประจำวันเราไม่ได้เอาภาษาอังกฤษมาใช้บ่อยๆ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง กีฬา งานอดิเรกต่าง ๆ
**รูปแบบของการเรียนมีทั้งหมด 4 แบบ ได้แก่**
1. Speaking Center (เรียน online กับคอมพิวเตอร์) เรียนผ่านเว็บไซต์ที่ใช้กันทั่วโลก สามารถเรียนในโน้ตบุคหรือไอแพดก็ได้แล้วความสะดวกของแต่ละคน ในระบบมีซิทคอมให้ดูประมาณ 3 นาที หลังจากดูเสร็จต้องตอบคำถามว่าเกี่ยวกับละครที่ดูไปเมื่อสักครู่ และออกเสียงตามตัวละครที่พูดไปทั้งหมด โดยจะมีสีวัดระดับการออกเสียงของเราเทียบกับต้นฉบับ ว่าออกเสียงตัวสะกดเหมือนกันไหม มีทั้งหมด 3 ระดับคือ เขียว=ดีมาก เหลือง=พอใช้ แดง=ปรับปรุง สามารถอัดเสียงใหม่ได้ประมาณ 6 รอบถ้าไม่พอใจ ต่อไปก็จะเรียนแกรมม่าและคำศัพท์จากบทสนทนาที่ตัวละครได้พูดไปในคลิป และมี workbook ที่เป็นแบบฝึกหัดที่ต้องทำให้ครบ (เรียนด้วยตัวเองตลอดเวลา และต้องให้เสร็จก่อนสอบ encounter)
2. Encounter (สอบพูดคุยสดกับ teacher หลังจากเรียน speaking center และทำแบบฝึกหัด workbook) อันนี้เป็นการสอบวัดความรู้แต่ละบทเรียน โดยการสอบจะเป็นการตอบคำถามทีชเชอร์เกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียนจาก speaking center ต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่า 70 ถึงจะผ่าน (เราเคยตกอยู่ครั้งนึง ได้คะแนนประมาณ 60 เพราะก่อนสอบเราไม่ได้กินข้าว หัวสมองเลยไม่ทำงาน คิดอะไรไม่ออกทำให้เราตอบไม่ได้ 55555) (จำนวนคนไม่เกิน 4 คน และสอบทุกๆ 2 สัปดาห์)
3. Complementary Class (เรียนสดกับ teacher คลาสเสริมนอกบทเรียน และในบทเรียน) ส่วนมากจะเป็นการแชร์ไอเดีย แก้ไขปัญหาสถานการณ์ตัวอย่าง และ Discuss ในหัวข้อต่าง ๆ โดยใช้แกรมม่ามาใช้ในคลาส เช่น ภาพยนตร์ ท่องเที่ยว สภาพแวดล้อมของโลก และเรื่องราวในอดีต ก็จะมีการคุยกันในคลาสกันอย่างสนุกสนาน (จำนวนคนไม่เกิน 8 คน เข้าได้ไม่จำนวนชั่วโมง)
4. Social Club (เรียนสดกับ teacher เป็นความรู้รอบตัวเนื้อหาทั่วไป) เป็นคลาสใหญ่ทำให้มีจำนวนคนเยอะ เป็นการเล่นเกมตอบคำถามเป็นทีมเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ที่ทีชเชอร์เอามาสอน และมีติว toeic , ielts , gat ด้วยนะ บางครั้งทำการ์ดเทศกาลต่าง ๆ หรือโต้วาทีในเรื่องต่างๆ (จำนวนคนไม่เกิน 14 คน เข้าได้ไม่จำนวนชั่วโมง)
เป้าหมายหลังเรียนจบ Level 20 (เดือน ส.ค. 2566)
- TOEIC 750/990
- IELTS 7/9
- CU-TEP 70/120
**ค่าใช้จ่ายในการเรียน**
(เป็นราคา ณ วันที่เราสมัครเดือน ก.ค. 63 ปัจจุบันอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย)
เราสมัครเรียนเป็นระยะเวลาสูงสุดคือ 2 ปี จำนวน 110,000 บาท เราเลือกวิธีการจ่ายแบบผ่อน 0% ปลอดดอกเบี้ย ให้ธนาคาร 24 เดือนๆ ละ 4,584 บาท
(หากใครสามารถจ่ายเป็นเงินสดจะได้ส่วนลดอีก)
รีวิว พัฒนาการหลังเรียนวอลสตรีท (Wall Street English) ได้ 1 ปี 8 เดือน
**ทักษะก่อนเรียนของเราคือ ฟังประกาศอิ้งบนบีทีเอสเกี่ยวกับข้อบังคับโควิดไม่รู้เรื่อง, อ่านอิ้งไม่ค่อยเข้าใจ, ออกเสียงอิ้งไม่ถนัด, เขียนเล่าเรื่องราวเป็นอิ้งไม่ได้ , ทำข้อสอบอังกฤษแบบ verb to เดา**
ต่อไปจะเล่าความเปลี่ยนแปลงของเราที่เรียนวอลสตรีทตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบันนะ โดยแบ่งออกเป็นแต่ละช่วงระดับ ดังนี้
- เลเวล 2-5 (ช่วงเดือน กรกฎาคม 2563 - มกราคม 2564 ประมาณ 7 เดือน) เรากลัวการใช้ภาษาอังกฤษมากกก จำได้เลยว่าเป็นช่วงเริ่มต้นที่เรารู้สึกเหนื่อยมากกก เพราะสมองยังปรับตัวไม่ได้ เวลาที่ต้องฟัง พูด อ่าน เขียนเป็นอิ้ง เราต้องคิดออกมาเป็นภาษาไทยก่อนเสมอ สมองทำงานหนักและเบลอมากกกก จำได้เลยว่าเราเรียนจนป่วยเลยอ่ะ (เรียนคำศัพท์ง่ายๆในชีวิตประจำวัน บทสนทนาง่ายๆ และเรียนแกรมม่าในระดับที่พื้นฐานมาก)
- เลเวล 6-9 (ช่วงเดือน กุมภาพันธ์ - สิงหาคม 2564 ประมาณ 7 เดือน) เป็นเลเวลที่ทำให้เราใจสั่นตอนสอบ encounter สุดๆเลย เพราะเป็นช่วงคาบเกี่ยวจากพูดไม่ได้ให้กลายเป็นพูดได้ อีกทั้งสมองเริ่มปรับตัวได้ดีขึ้นแต่ยังรู้สึกเหนื่อย ในฝันเราพูดเป็นอิ้งด้วยแหละ อาจจะเป็นเพราะเราเรียนก่อนนอน จิตใต้สำนึกมันยังไม่หลับ 555555 พอตื่นเช้ามาก็จะเพลียๆ เราเริ่มฟังประกาศอิ้งบนบีทีเอสออกมากขึ้น และอ่านภาษาอังกฤษได้อย่างเข้าใจจากความรู้สึกมากขึ้น แต่เรายังไม่สามารถพูดอิ้งได้คล่องเพราะสมองเราชอบคิดเป็นไทยก่อน แล้วค่อยนึกศัพท์อังกฤษ แล้วค่อยเรียงประโยค ประธาน+กริยา+กรรม แล้วก็เช็คก่อนพูดว่ามันถูกรึเปล่าวะ 5555555 กว่าเราจะพูดได้ใช้เวลานานจนคนถามลืมเรื่องที่คุยแล้ว (คำศัพท์ที่เรียนก็จะยากขึ้นจากเลเวล 5 นิดหน่อย และเป็นแกรมม่าที่ใช้สนทนาในชีวิตประจำวัน)
- เลเวล 10-13 (ช่วงเดือน กันยายน 2564 – ปัจจุบัน ประมาณ 7 เดือน) เป็นระยะเวลาที่เราเรียนวอลมาได้เกือบ2ปี เวลาที่เราเรียนไม่ค่อยรู้สึกเหนื่อยแล้ว อาจเป็นเพราะหัวสมองเริ่มชินกับภาษาอังกฤษมากขึ้น (เนื้อหาที่เรียนก็จะเป็นคำศัพท์เฉพาะทางมากขึ้น เช่น เศรษฐศาสตร์, สังคมวัฒนธรรม, เทคโนโลยี , สภาพแวดล้อม ฯลฯ และจะได้เรียนแกรมม่าที่มีความซับซ้อนและสูงมากกว่าปกติที่พูดคุยกันในชีวิตประจำวัน สามารถนำไปใช้ในการสอบต่าง ๆ ได้)
**ผลลัพธ์หลังเรียนในปัจจุบัน**
1. ทักษะด้านการฟัง เราสามารถฟังประกาศอิ้งบนบีทีเอสเกี่ยวกับโควิดรู้เรื่อง และฟังเสียงประกาศในห้างได้อย่างเข้าใจเกือบ 100%
2. ทักษะด้านการอ่าน เราสามารถอ่านบทความอิ้งได้เข้าใจและรวดเร็วมากขึ้น มีเซ้นว่าทำไมต้องเป็นประโยคแบบนี้ และเข้าใจจากความรู้สึกเวลาอ่าน
3. ทักษะด้านการเขียน เราสามารถเขียนเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ในอดีตปัจจุบันอนาคตได้ มีความมั่นใจในการใช้ vocab และ tense มากขึ้น เพราะแบบฝึกหัดทุกบทจะมีการเขียน essay ทุกครั้ง และสามารถกดเช็คคำตอบได้ไม่เกิน 3 รอบ หากมีข้อไหนพิมพ์ผิด ก็ต้องพิมพ์แก้ให้ถูกต้องแล้วกดเช็คคำตอบอีกรอบ ทำให้เราจำข้อผิดพลาดของตัวเองได้มาก
3. ทักษะด้านการพูด เรามีความมั่นใจในการพูดมากขึ้น เวลาพูดไม่รู้สึกเหนื่อยเหมือนตอนเลเวลแรกๆ เนื่องจากมีคำศัพท์ในหัวมากขึ้น แต่เรายังพูดไม่ค่อยคล่องเท่าคนอื่น อาจจะเป็นเพราะในชีวิตประจำวันเราไม่ได้เอาภาษาอังกฤษมาใช้บ่อยๆ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง กีฬา งานอดิเรกต่าง ๆ
**รูปแบบของการเรียนมีทั้งหมด 4 แบบ ได้แก่**
1. Speaking Center (เรียน online กับคอมพิวเตอร์) เรียนผ่านเว็บไซต์ที่ใช้กันทั่วโลก สามารถเรียนในโน้ตบุคหรือไอแพดก็ได้แล้วความสะดวกของแต่ละคน ในระบบมีซิทคอมให้ดูประมาณ 3 นาที หลังจากดูเสร็จต้องตอบคำถามว่าเกี่ยวกับละครที่ดูไปเมื่อสักครู่ และออกเสียงตามตัวละครที่พูดไปทั้งหมด โดยจะมีสีวัดระดับการออกเสียงของเราเทียบกับต้นฉบับ ว่าออกเสียงตัวสะกดเหมือนกันไหม มีทั้งหมด 3 ระดับคือ เขียว=ดีมาก เหลือง=พอใช้ แดง=ปรับปรุง สามารถอัดเสียงใหม่ได้ประมาณ 6 รอบถ้าไม่พอใจ ต่อไปก็จะเรียนแกรมม่าและคำศัพท์จากบทสนทนาที่ตัวละครได้พูดไปในคลิป และมี workbook ที่เป็นแบบฝึกหัดที่ต้องทำให้ครบ (เรียนด้วยตัวเองตลอดเวลา และต้องให้เสร็จก่อนสอบ encounter)
2. Encounter (สอบพูดคุยสดกับ teacher หลังจากเรียน speaking center และทำแบบฝึกหัด workbook) อันนี้เป็นการสอบวัดความรู้แต่ละบทเรียน โดยการสอบจะเป็นการตอบคำถามทีชเชอร์เกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียนจาก speaking center ต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่า 70 ถึงจะผ่าน (เราเคยตกอยู่ครั้งนึง ได้คะแนนประมาณ 60 เพราะก่อนสอบเราไม่ได้กินข้าว หัวสมองเลยไม่ทำงาน คิดอะไรไม่ออกทำให้เราตอบไม่ได้ 55555) (จำนวนคนไม่เกิน 4 คน และสอบทุกๆ 2 สัปดาห์)
3. Complementary Class (เรียนสดกับ teacher คลาสเสริมนอกบทเรียน และในบทเรียน) ส่วนมากจะเป็นการแชร์ไอเดีย แก้ไขปัญหาสถานการณ์ตัวอย่าง และ Discuss ในหัวข้อต่าง ๆ โดยใช้แกรมม่ามาใช้ในคลาส เช่น ภาพยนตร์ ท่องเที่ยว สภาพแวดล้อมของโลก และเรื่องราวในอดีต ก็จะมีการคุยกันในคลาสกันอย่างสนุกสนาน (จำนวนคนไม่เกิน 8 คน เข้าได้ไม่จำนวนชั่วโมง)
4. Social Club (เรียนสดกับ teacher เป็นความรู้รอบตัวเนื้อหาทั่วไป) เป็นคลาสใหญ่ทำให้มีจำนวนคนเยอะ เป็นการเล่นเกมตอบคำถามเป็นทีมเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ที่ทีชเชอร์เอามาสอน และมีติว toeic , ielts , gat ด้วยนะ บางครั้งทำการ์ดเทศกาลต่าง ๆ หรือโต้วาทีในเรื่องต่างๆ (จำนวนคนไม่เกิน 14 คน เข้าได้ไม่จำนวนชั่วโมง)
เป้าหมายหลังเรียนจบ Level 20 (เดือน ส.ค. 2566)
- TOEIC 750/990
- IELTS 7/9
- CU-TEP 70/120
**ค่าใช้จ่ายในการเรียน**
(เป็นราคา ณ วันที่เราสมัครเดือน ก.ค. 63 ปัจจุบันอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย)
เราสมัครเรียนเป็นระยะเวลาสูงสุดคือ 2 ปี จำนวน 110,000 บาท เราเลือกวิธีการจ่ายแบบผ่อน 0% ปลอดดอกเบี้ย ให้ธนาคาร 24 เดือนๆ ละ 4,584 บาท
(หากใครสามารถจ่ายเป็นเงินสดจะได้ส่วนลดอีก)