“โอกาสมันมาเสมอ ทุกครั้ง สำหรับคนที่พร้อม”
โอกาสแรกของชีวิตที่ทำให้ก้าวเข้ามาสู่วงการวอลเลย์บอลคือตอนไหน
โอกาสแรก เราได้รับจากครูซึ่งเป็นโค้ชของพี่สาวมาก่อน เราอยู่โรงเรียนเดียวกัน เรียนตั้งแต่อนุบาลถึงประถม ครูให้โอกาสเรามาเล่น เพราะว่าพี่สาวเล่นวอลเลย์บอลมาก่อน เขาก็เลยอยากให้เราเล่นวอลเลย์บอล ด้วยความที่เป็นโรงเรียนต่างจังหวัด ผู้หญิงเขาก็เน้นวอลเลย์บอล ส่วนผู้ชายก็เน้นไปเตะบอล
ทำไมถึงได้เล่นตำแหน่งมือเซต
วันนั้นครูเขาให้เล่นเกมอันเดอร์บอล แล้วเขาก็บอกว่า ใครอันเดอร์เยอะสุดเขามีรางวัลให้ เราก็เป็นคนที่อันเดอร์บอลได้เยอะสุด เขาก็เลยให้เราเป็นตัวเซต เราก็ไม่ได้อยากเป็น แต่ว่าเขาบอกว่าเราเป็นคนที่อันเดอร์บอลดีกว่าเพื่อน ๆ งั้นเราต้องเป็นตัวตั้งแล้วล่ะ
ตอนนั้นมีแววเป็นสุดยอดมือเซตไหม
จริง ๆ ตอนนั้นจะบอกว่าเห็นแววเราคงไม่ได้ ด้วยความที่เป็นเด็ก ทุกคนก็เริ่มจากการอันเดอร์บอลหมดเลย การจับมือ จับท่าทาง ถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง แต่ด้วยความที่วอลเลย์บอลยุคนั้น พี่ปริม อินทวงศ์ เขาเป็นตัวเซต แล้วก็เก่งด้วย ทุกคนจำภาพเขาว่า มือเซตต้องเล่นแบบนี้ ทำได้แบบนี้ พอเริ่มเล่นวอลเลย์บอลมา คนก็คาดหวังว่าตำแหน่งที่เราเล่นต้องเป็นให้ได้เหมือนพี่เขา
ข้อจำกัดหรืออุปสรรคกีฬาในตอนนั้นคืออะไร
เยอะมาก ด้วยความเป็นเด็ก ความพยายามและความอดทนคือน้อยมาก ไหนจะเรียน ไหนจะทำการบ้าน แล้วเราก็อยากดูการ์ตูนเหมือนเพื่อน ๆ แต่เราไม่มีโอกาสได้ทำ เพราะเราต้องไปซ้อม ส่วนอุปกรณ์กีฬาเราก็ไม่มี รองเท้าก็เอารองเท้านักเรียนพละไปใส่ซ้อม ถุงเท้าก็ถุงเท้านักเรียนเหมือนกับที่ใส่ไปโรงเรียนทุกวัน ชุดซ้อมก็ไม่ค่อยมี เอากางเกงขาสั้นของพี่บ้าง ของใครบ้างไปใส่ซ้อม เรื่องอุปกรณ์กีฬามันลำบากมาก แทบไม่มีเลย เราก็ซ้อมได้ไม่เต็มที่เพราะรองเท้าก็ต้องเอามาใส่เรียนเหมือนกัน คงจะดีถ้าตอนนั้นเรามีโอกาสเข้าถึงอุปกรณ์กีฬาเหมือนตอนนี้
แต่คุณก็ติดทีมชาติชุดเยาวชนจนได้
ใช่ค่ะ ด้วยความที่พ่อแม่เขาส่งเสริมให้ลูกเล่นกีฬาอยู่แล้ว ทำให้เราต้องเล่นกีฬาควบคู่กับการเรียนไปด้วย โชคดีที่เราตัดสินใจไม่เลิกเล่นกีฬาก่อน เลยทำให้เราได้มีโอกาส ตอนนั้นโค้ชโรงเรียนจากในกรุงเทพฯ มาดูเราแข่ง ก็เลยได้รับโอกาสไปเรียนมัธยมปลายฟรีในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นอีกโอกาสสำคัญที่ทำให้ได้ต่อยอดมาจนถึงทุกวันนี้
พอรู้ไหมว่าโค้ชที่มาดูเห็นอะไรในตัวคุณ
ไม่แน่ใจว่าเขาเห็นอะไร หรือว่าเพราะเราสวยรึเปล่าไม่แน่ใจนะคะ (หัวเราะ) อาจด้วยตำแหน่งนี้ เป็นตำแหน่งที่คนเล่นค่อนข้างน้อย และอาจเห็นไหวพริบอะไรในตัวเรารึเปล่า หรือมองว่าปั้นเราได้นะ ไปให้ไกลกว่านี้ได้ เราคิดว่าตอนนั้นคงเห็นว่าเราต่อยอดพัฒนาได้
แสดงว่าไต่เต้าตัวเองตามระดับไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ตัวจังหวัด ตัวเขต จนถึงติดทีมชาติ
ใช่ค่ะ คือทุกการแข่งขัน ทุกทัวร์นาเมนต์ที่แข่ง ทั้งในรอบประเทศ ในรอบคัดเลือก แต่มองย้อนกลับไปก็คงต้องขอบคุณคุณครูที่คอยผลักดันและให้โอกาส ครูก็พยายามส่งเราแข่งหมดเลยทุกรอบ มันเป็นจุดเริ่มต้นจากตอนที่เราเรียนประถม โดนส่งไปแข่งกีฬาเขต อำเภอ จังหวัด จนเราได้เป็นตัวแทนจังหวัดราชบุรี ไปแข่งของภาค ในรอบประเทศเขาก็จะมีภาคอื่น ๆ มาจัดแข่ง แล้วเราก็ไปชนะรอบประเทศ เลยได้เป็นตัวแทนประเทศไปแข่งที่ไต้หวันตั้งแต่เราอยู่ชั้นประถม
ผลการแข่งขันที่ไต้หวันครั้งนั้น
จำไม่ได้ว่าเราแพ้หรือชนะ เป็นแข่งแบบเหย้า-เยือน มีแค่เรากับไต้หวัน พอไปไต้หวันเสร็จปุ๊บ ไต้หวันก็มาที่ประเทศเรา
มันเหมือนเป็นกำลังใจให้กับเราด้วยนะ จากเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ได้รับโอกาส เสื้อผ้า อุปกรณ์ รองเท้า ไม่มีอะไรเลย ไม่มีความพร้อม แต่พาทีมไปแข่งที่ต่างประเทศตั้งแต่อายุยังน้อยได้ พอติดเยาวชนทีมชาติก็ได้เรียนมัธยมฟรีด้วย พอเริ่มเก็บตัวทีมชาติ เราก็ได้เรียนมหาลัยฟรี กลายเป็นว่าโอกาสทางกีฬาที่เราได้รับมันช่วยให้เราได้ต่อยอดเรื่องการศึกษาของเราด้วย
คุณจำความรู้สึกตอนมีชื่อติดทีมชาติชุดใหญ่ได้ไหม
ตอนนั้นก็ดีใจ แต่เราไม่คิดว่าจะติดทีมชาติ ปีนั้นจำได้ว่าเราเก็บตัวฝึกซ้อมชุดเยาวชนอยู่ คู่กันกับพี่ ๆ ทีมชาติด้วยกัน สนามข้าง ๆ กัน เราก็ชอบไปแอบดูว่าพี่ ๆ เขาซ้อมกันยังไง ชอบพี่คนนั้นจัง อะไรแบบนี้ เราก็เห็นว่าพี่เขาไปแข่งเอเชียนเกมส์ พอกลับมาก็ไม่คิดว่าพี่ ๆ เขาจะเลิกเล่นกันหมด ทำให้ตัวทีมชาติหลักขาดไป เลยเอาชุดเยาวชนที่เรากำลังฝึกซ้อมอยู่ไปเล่นทีมชาติชุดใหญ่แทน
แนวคิดหรือวิธีอะไรทำให้คุณรักษาฟอร์ม จนติดทีมชาติต่อเนื่อง
ตอนนั้นเราคิดว่าเราอยากทำเพื่อครอบครัว อยากให้พ่อไม่ลำบาก คือต้องบอกเลยว่าวอลเลย์บอล เราเล่นแค่ไปสู่ช่วงหนึ่งแล้วก็เลิกเล่นไป เพราะว่าตอนแรกวอลเลย์บอลมันไม่มีกีฬาอาชีพให้เรา มันสร้างอาชีพให้เรามั่นคงไม่ได้ พอถึงจุดหนึ่งทุกคนก็เลิกเล่น ด้วยอายุยังน้อยแค่ 26 – 27 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่ผู้หญิงเล่นกีฬาได้ดีที่สุด แต่ว่าต้องเลือกออกมาเพราะว่าไม่มีอาชีพที่มั่นคง ทุกคนก็เลยเลือกที่จะทำงานมากกว่า เพราะเวลาทำงาน จะออกไปฝึกซ้อมหรือแข่งขันที่ต่างประเทศไม่ได้ ก็เลยจำเป็นต้องเลือก
เราก็คิดเหมือนกันว่า เราแค่อยากเรียนมหาลัยฟรีนะ พ่อแม่จะได้ไม่ต้องส่งเราเรียน จะได้ไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องเหนื่อยกับเรา เราซ้อมก็มีเบี้ยเลี้ยงซ้อม พ่อแม่เราก็อยากเห็นลูกรับปริญญา จบมหาวิทยาลัย ความฝันของพ่อแม่ก็เหมือนคนอื่นทั่วไป เราก็เลยคิดแค่นั้นว่า ต้องอดทน ต้องซ้อมนะ เรามีโอกาสแล้วก็ต้องทำให้ได้
รับมือกับผลการแข่งขัน หรือฟอร์มการแข่งขันในแมตช์ที่ไม่เป็นดั่งใจอย่างไร
ปกติเป็นคนที่ไม่เก็บเอามาใส่ใจ ถ้ามันเสียแล้วเสียเลย ถ้าเราเต็มที่แล้ว เสียก็ตัดทิ้งเลย ไม่ได้เป็นคนแบบ ทำไมนะ ต้องอย่างนู้นอย่างนี้ หลังแข่ง เรากลับไปแข่งแมตช์นั้นไม่ได้อีกแล้ว ตัดทิ้งไปเลย ครั้งหน้าเจอเขาใหม่ก็รู้แล้วว่า เราต้องทำยังไง แล้วเกมครั้งหน้าเราต้องทำให้ดีกว่าเดิม
เราประเมินตัวเองทุกครั้งว่า ครั้งนี้เราเล่นได้เหมือนตอนที่เราซ้อมมั้ย โดยที่ไม่จำเป็นต้องให้โค้ชหรือใครมาบอกว่าอันนี้ไม่ดีนะ พยายามลดข้อผิดพลาดทุกเกมไปเรื่อย ๆ
หลังจากรีไทร์จากทีมชาติเมื่อปีที่แล้วได้กลับไปเล่นเนชั่นลีกส์ ที่อิตาลี ช่วยเล่าประสบการณ์ให้ฟังหน่อย
(หัวเราะ) ก็ไม่มีใครคาดคิดนะคะ อยู่ดี ๆ ก็ได้กลับไปเล่น เพราะทุกคนไม่มีการเตรียมพร้อมอะไรเลย ไม่มีการซ้อม เพราะชุดที่จะต้องไปเล่นเขาติดโควิดพอดี แล้วตอนนั้นเราคิดว่าไทยคงไม่ได้ส่งแข่งละ เพราะไม่มีนักกีฬาที่จะไปเล่น แต่ด้วยความที่ทาง FIVB เขาขอร้องมา เพราะเขาวางแผนโปรแกรมถ่ายทอดไว้หมดแล้ว แล้วก็ไม่มีทีมไหนพร้อมที่จะเพิ่มอีกหนึ่งทีม ก็เลยขอร้องให้ทีมไทยไปเล่น
แล้วตอนนั้นทุกคนก็ จะได้เหรอ เราไม่ได้ซ้อมเลยนะ วัคซีนก็ไม่ได้ฉีด พาสปอร์ตก็ไม่พร้อม คือมันยุ่งและเรามีเวลาน้อยมาก เลยไม่คิดว่าจะได้ไป มันยากมาก เป็นไปไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ได้ไป
ตั้งแต่แข่งวอลเลย์บอลมา ไม่เคยรู้สึกกังวลเท่านั้นมาก่อนเลย กลัวโควิดด้วย เพราะวัคซีนเราเพิ่งฉีดไป 2 วันก่อนเดินทาง ร่างกายไม่มีความพร้อมอะไรเลย ไม่ได้ซ้อมมาเดือนกว่า แล้วต้องไปเล่น 15 แมตช์ต่อเนื่อง เราเคยผ่านจุดนี้มาแล้ว จึงรู้ว่าขนาดตอนที่ฟิตยังยากเลย แล้วตอนที่เราไม่ฟิตล่ะ เรากลัวอาการบาดเจ็บมาก เราไม่อยากทิ้งทวนด้วยอาการบาดเจ็บ ไม่อยากใช้ชีวิตแบบนั้น
มันเป็นความเสี่ยงมากที่เรายอมเสียสละ แต่ชีวิตเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ณ จุดนั้น ไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนรับผิดชอบเรา ขนาดพ่อแม่เรายังบอกว่าไม่ไปได้ไหม และกระแสที่ออกมาว่าชุดที่ไปเก็บตัวติดโควิดหมดเลย เป็นคลัสเตอร์ใหม่ เขาอ่านข่าวแล้วก็ตกใจ หลาย ๆ อย่างทำให้เรากังวลมาก
ประสบการณ์ครั้งนั้นสอนอะไรให้คุณกลับมาบ้าง
เป็นประสบการณ์ยิ่งใหญ่มาก สอนให้เรารู้เลยว่าโอกาสมันมาเสมอ ทุกครั้ง สำหรับคนที่พร้อม แม้ตอนนั้นเราไม่พร้อม โอกาสก็ยังมาถึงเรา มันทำให้เราใช้โอกาสนั้นด้วยความเสี่ยงมาก ๆ แต่มันก็คุ้มค่ามาก ๆ ที่ทำให้ทุกคนเป็นความทรงจำ เราเองก็ทำเต็มที่ไม่อยากปล่อยให้โอกาสที่ได้มานั้นเสียเปล่า
ชุดนี้ที่เคยเล่นด้วยกันสร้างประวัติศาสตร์ร่วมกันเยอะมาก ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งย้อนกลับมาอีก 5 – 6 ปี จะได้กลับมาแข่งครั้งนั้นอีก ถ้าพูดถึงคือมันเป็นแมตช์ความทรงจำ หลายคนอาจเลิกดูเราไปแล้ว แต่พอกลับมาเห็นเรา เขาก็นึกภาพออกว่า เราเคยสร้างประวัติศาสตร์อะไรมาบ้าง
ครั้งนั้นมันเป็นความประทับใจมาก ๆ ที่ได้กลับมาเล่นด้วยกัน
“เป็นแค่ไม้ประดับ โอกาสมันน้อยมาก ไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ”
ในการเล่นวอลเลย์บอลอาชีพ ที่ผ่านมาเห็นว่าคุณเล่นอยู่ต่างประเทศตลอด
ตอนนั้น จำได้ว่าเราอยู่มหาลัย ปี 1 หรือปี 2 ก็มีเอเยนต์คนหนึ่งมาดู มีแมวมองถามว่าไปเล่นที่นี่ไหม ด้วยความที่เราเป็นเด็กกล้า ๆ ลุย ๆ ไม่ค่อยกลัวอะไร พอเขาถามว่าไปเล่นอาชีพมั้ย เราบอกเลยว่า ไป โดยไม่คิด ไม่ได้ถามพ่อแม่ด้วย
อยากไป เพราะเราไม่รู้หรอกว่า เมื่อก่อนนี้การที่นักกีฬา 1 คนในเอเชีย จะได้ไปเล่นอาชีพที่ต่างประเทศเป็นเรื่องยากมาก เพราะทุกคนดูถูกเอเชียหมด เห็นเป็นแค่ไม้ประดับ ตัวเล็ก ๆ ไม่ได้มีความสามารถอะไรมากกว่าเขา โอกาสมันน้อยมากและอาจจะไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ ที่เขาจะเลือกคนเอเชียไปเล่นในยุโรป ทีมที่มีแต่คนตัวสูง ๆ ใหญ่ ๆ พอเราได้โอกาสปุ๊บ เราตอบตกลงเลย ก็ได้ไปเล่น
ประเทศแรกที่ไปเล่นคือ
สเปนก่อนเลย
เล่นอาชีพครั้งแรกมีความท้าทายอะไร
มันเป็นความท้าทายที่ยากสุดในชีวิต เป็นจุดเริ่มต้นของการเริ่มเล่นลีกอาชีพ ถ้าเราเล่นดี มันคือการเปิดตลาดเลย เอเยนต์ต่าง ๆ ทีมต่าง ๆ ก็จะเห็นในตัวเรา ครั้งหน้าเราก็มีโอกาสเพิ่มมากขึ้น ตอนนั้นเราไม่ได้มีเอเยนต์ส่วนตัว ก็ต้องอาศัยการที่เราเล่นทั้งของทีมชาติและอาชีพ เพื่อเปิดตลาดให้มีโอกาสไปเล่นอาชีพที่อื่น ๆ เหมือนเป็นการต่อยอดโอกาสที่เราได้รับมา
ความแตกต่างของลีกต่างประเทศกับลีกไทยบ้านเรา
มันแตกต่างกันมาก ถ้าให้เราเปรียบเทียบ หลังจากไปเล่นลีกอาชีพใหญ่ ๆ มีความแตกต่างเกือบจะทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมของทีม ความเป็นมืออาชีพของทีม ด้านเงินสนับสนุน อุปกรณ์เขามีความพร้อมมาก แน่นอนว่าแต่ละประเทศมีการฝึกซ้อมที่ไม่เหมือนกัน และการจัดการแข่งขัน ทีมที่เขาดูแล การออกแบบการฝึกซ้อมหรือการเตรียมร่างกายก็แตกต่างกัน มันทำให้เรารู้เลยว่าพอการสนับสนุนทุกอย่างมีความพร้อม เราก็ได้โฟกัสกับการฝึกซ้อมอย่างเต็มที่
เห็นว่าเดือนหน้า กำลังจะกลับไปเล่นอาชีพอีกครั้งที่สหรัฐอเมริกา
ด้วยความที่เราเป็นคนชอบเดินทาง ชอบอาศัยที่ต่างประเทศอยู่แล้ว มันเลยง่ายกับการที่เราต้องไป ทุกปี เรามีข้อเสนอมาตลอด เพราะตอนนี้เรามีเอเยนต์เป็นของตัวเอง เขาก็จะมีข้อเสนอมาเสมอ เราเชื่อเลยว่า 2 ปีที่ผ่านมานี้ ถ้าไม่มีโควิด ก็จะใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศแน่นอน ครั้งนี้เลยเป็นโอกาสครั้งใหม่ในเส้นทางนักกีฬาอาชีพของเรา
อเมริกาเป็นการเปิดลีกใหม่ที่เขายังไม่เคยแข่งขันมาก่อน และปีที่แล้วเป็นช่วงโควิด เอกสารทุกอย่างมันยากมาก ปีนี้เราได้วัคซีนแล้ว ประเทศเดินทางง่ายขึ้น เราเลยตัดสินใจไปเล่นอเมริกาดีกว่า เป็นความแปลกใหม่ที่เรายังไม่เคยได้เล่น แล้วเป็นประเทศที่เราก็ยังไม่เคยได้ไป ขนาดมีแข่งเนชั่นลีกส์เรายังไม่เคยไปเจอสนามแข่งที่อเมริกาเลย
อ่านต่อได้ที่
https://readthecloud.co/nootsara-tomkom/
เอาบทสัมภาษณ์นุศรามาฝาก มีพูดถึงลีกนอกด้วย
โอกาสแรก เราได้รับจากครูซึ่งเป็นโค้ชของพี่สาวมาก่อน เราอยู่โรงเรียนเดียวกัน เรียนตั้งแต่อนุบาลถึงประถม ครูให้โอกาสเรามาเล่น เพราะว่าพี่สาวเล่นวอลเลย์บอลมาก่อน เขาก็เลยอยากให้เราเล่นวอลเลย์บอล ด้วยความที่เป็นโรงเรียนต่างจังหวัด ผู้หญิงเขาก็เน้นวอลเลย์บอล ส่วนผู้ชายก็เน้นไปเตะบอล
ทำไมถึงได้เล่นตำแหน่งมือเซต
วันนั้นครูเขาให้เล่นเกมอันเดอร์บอล แล้วเขาก็บอกว่า ใครอันเดอร์เยอะสุดเขามีรางวัลให้ เราก็เป็นคนที่อันเดอร์บอลได้เยอะสุด เขาก็เลยให้เราเป็นตัวเซต เราก็ไม่ได้อยากเป็น แต่ว่าเขาบอกว่าเราเป็นคนที่อันเดอร์บอลดีกว่าเพื่อน ๆ งั้นเราต้องเป็นตัวตั้งแล้วล่ะ
ตอนนั้นมีแววเป็นสุดยอดมือเซตไหม
จริง ๆ ตอนนั้นจะบอกว่าเห็นแววเราคงไม่ได้ ด้วยความที่เป็นเด็ก ทุกคนก็เริ่มจากการอันเดอร์บอลหมดเลย การจับมือ จับท่าทาง ถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง แต่ด้วยความที่วอลเลย์บอลยุคนั้น พี่ปริม อินทวงศ์ เขาเป็นตัวเซต แล้วก็เก่งด้วย ทุกคนจำภาพเขาว่า มือเซตต้องเล่นแบบนี้ ทำได้แบบนี้ พอเริ่มเล่นวอลเลย์บอลมา คนก็คาดหวังว่าตำแหน่งที่เราเล่นต้องเป็นให้ได้เหมือนพี่เขา
ข้อจำกัดหรืออุปสรรคกีฬาในตอนนั้นคืออะไร
เยอะมาก ด้วยความเป็นเด็ก ความพยายามและความอดทนคือน้อยมาก ไหนจะเรียน ไหนจะทำการบ้าน แล้วเราก็อยากดูการ์ตูนเหมือนเพื่อน ๆ แต่เราไม่มีโอกาสได้ทำ เพราะเราต้องไปซ้อม ส่วนอุปกรณ์กีฬาเราก็ไม่มี รองเท้าก็เอารองเท้านักเรียนพละไปใส่ซ้อม ถุงเท้าก็ถุงเท้านักเรียนเหมือนกับที่ใส่ไปโรงเรียนทุกวัน ชุดซ้อมก็ไม่ค่อยมี เอากางเกงขาสั้นของพี่บ้าง ของใครบ้างไปใส่ซ้อม เรื่องอุปกรณ์กีฬามันลำบากมาก แทบไม่มีเลย เราก็ซ้อมได้ไม่เต็มที่เพราะรองเท้าก็ต้องเอามาใส่เรียนเหมือนกัน คงจะดีถ้าตอนนั้นเรามีโอกาสเข้าถึงอุปกรณ์กีฬาเหมือนตอนนี้
แต่คุณก็ติดทีมชาติชุดเยาวชนจนได้
ใช่ค่ะ ด้วยความที่พ่อแม่เขาส่งเสริมให้ลูกเล่นกีฬาอยู่แล้ว ทำให้เราต้องเล่นกีฬาควบคู่กับการเรียนไปด้วย โชคดีที่เราตัดสินใจไม่เลิกเล่นกีฬาก่อน เลยทำให้เราได้มีโอกาส ตอนนั้นโค้ชโรงเรียนจากในกรุงเทพฯ มาดูเราแข่ง ก็เลยได้รับโอกาสไปเรียนมัธยมปลายฟรีในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นอีกโอกาสสำคัญที่ทำให้ได้ต่อยอดมาจนถึงทุกวันนี้
พอรู้ไหมว่าโค้ชที่มาดูเห็นอะไรในตัวคุณ
ไม่แน่ใจว่าเขาเห็นอะไร หรือว่าเพราะเราสวยรึเปล่าไม่แน่ใจนะคะ (หัวเราะ) อาจด้วยตำแหน่งนี้ เป็นตำแหน่งที่คนเล่นค่อนข้างน้อย และอาจเห็นไหวพริบอะไรในตัวเรารึเปล่า หรือมองว่าปั้นเราได้นะ ไปให้ไกลกว่านี้ได้ เราคิดว่าตอนนั้นคงเห็นว่าเราต่อยอดพัฒนาได้
แสดงว่าไต่เต้าตัวเองตามระดับไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ตัวจังหวัด ตัวเขต จนถึงติดทีมชาติ
ใช่ค่ะ คือทุกการแข่งขัน ทุกทัวร์นาเมนต์ที่แข่ง ทั้งในรอบประเทศ ในรอบคัดเลือก แต่มองย้อนกลับไปก็คงต้องขอบคุณคุณครูที่คอยผลักดันและให้โอกาส ครูก็พยายามส่งเราแข่งหมดเลยทุกรอบ มันเป็นจุดเริ่มต้นจากตอนที่เราเรียนประถม โดนส่งไปแข่งกีฬาเขต อำเภอ จังหวัด จนเราได้เป็นตัวแทนจังหวัดราชบุรี ไปแข่งของภาค ในรอบประเทศเขาก็จะมีภาคอื่น ๆ มาจัดแข่ง แล้วเราก็ไปชนะรอบประเทศ เลยได้เป็นตัวแทนประเทศไปแข่งที่ไต้หวันตั้งแต่เราอยู่ชั้นประถม
ผลการแข่งขันที่ไต้หวันครั้งนั้น
จำไม่ได้ว่าเราแพ้หรือชนะ เป็นแข่งแบบเหย้า-เยือน มีแค่เรากับไต้หวัน พอไปไต้หวันเสร็จปุ๊บ ไต้หวันก็มาที่ประเทศเรา
มันเหมือนเป็นกำลังใจให้กับเราด้วยนะ จากเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ได้รับโอกาส เสื้อผ้า อุปกรณ์ รองเท้า ไม่มีอะไรเลย ไม่มีความพร้อม แต่พาทีมไปแข่งที่ต่างประเทศตั้งแต่อายุยังน้อยได้ พอติดเยาวชนทีมชาติก็ได้เรียนมัธยมฟรีด้วย พอเริ่มเก็บตัวทีมชาติ เราก็ได้เรียนมหาลัยฟรี กลายเป็นว่าโอกาสทางกีฬาที่เราได้รับมันช่วยให้เราได้ต่อยอดเรื่องการศึกษาของเราด้วย
คุณจำความรู้สึกตอนมีชื่อติดทีมชาติชุดใหญ่ได้ไหม
ตอนนั้นก็ดีใจ แต่เราไม่คิดว่าจะติดทีมชาติ ปีนั้นจำได้ว่าเราเก็บตัวฝึกซ้อมชุดเยาวชนอยู่ คู่กันกับพี่ ๆ ทีมชาติด้วยกัน สนามข้าง ๆ กัน เราก็ชอบไปแอบดูว่าพี่ ๆ เขาซ้อมกันยังไง ชอบพี่คนนั้นจัง อะไรแบบนี้ เราก็เห็นว่าพี่เขาไปแข่งเอเชียนเกมส์ พอกลับมาก็ไม่คิดว่าพี่ ๆ เขาจะเลิกเล่นกันหมด ทำให้ตัวทีมชาติหลักขาดไป เลยเอาชุดเยาวชนที่เรากำลังฝึกซ้อมอยู่ไปเล่นทีมชาติชุดใหญ่แทน
แนวคิดหรือวิธีอะไรทำให้คุณรักษาฟอร์ม จนติดทีมชาติต่อเนื่อง
ตอนนั้นเราคิดว่าเราอยากทำเพื่อครอบครัว อยากให้พ่อไม่ลำบาก คือต้องบอกเลยว่าวอลเลย์บอล เราเล่นแค่ไปสู่ช่วงหนึ่งแล้วก็เลิกเล่นไป เพราะว่าตอนแรกวอลเลย์บอลมันไม่มีกีฬาอาชีพให้เรา มันสร้างอาชีพให้เรามั่นคงไม่ได้ พอถึงจุดหนึ่งทุกคนก็เลิกเล่น ด้วยอายุยังน้อยแค่ 26 – 27 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่ผู้หญิงเล่นกีฬาได้ดีที่สุด แต่ว่าต้องเลือกออกมาเพราะว่าไม่มีอาชีพที่มั่นคง ทุกคนก็เลยเลือกที่จะทำงานมากกว่า เพราะเวลาทำงาน จะออกไปฝึกซ้อมหรือแข่งขันที่ต่างประเทศไม่ได้ ก็เลยจำเป็นต้องเลือก
เราก็คิดเหมือนกันว่า เราแค่อยากเรียนมหาลัยฟรีนะ พ่อแม่จะได้ไม่ต้องส่งเราเรียน จะได้ไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องเหนื่อยกับเรา เราซ้อมก็มีเบี้ยเลี้ยงซ้อม พ่อแม่เราก็อยากเห็นลูกรับปริญญา จบมหาวิทยาลัย ความฝันของพ่อแม่ก็เหมือนคนอื่นทั่วไป เราก็เลยคิดแค่นั้นว่า ต้องอดทน ต้องซ้อมนะ เรามีโอกาสแล้วก็ต้องทำให้ได้
รับมือกับผลการแข่งขัน หรือฟอร์มการแข่งขันในแมตช์ที่ไม่เป็นดั่งใจอย่างไร
ปกติเป็นคนที่ไม่เก็บเอามาใส่ใจ ถ้ามันเสียแล้วเสียเลย ถ้าเราเต็มที่แล้ว เสียก็ตัดทิ้งเลย ไม่ได้เป็นคนแบบ ทำไมนะ ต้องอย่างนู้นอย่างนี้ หลังแข่ง เรากลับไปแข่งแมตช์นั้นไม่ได้อีกแล้ว ตัดทิ้งไปเลย ครั้งหน้าเจอเขาใหม่ก็รู้แล้วว่า เราต้องทำยังไง แล้วเกมครั้งหน้าเราต้องทำให้ดีกว่าเดิม
เราประเมินตัวเองทุกครั้งว่า ครั้งนี้เราเล่นได้เหมือนตอนที่เราซ้อมมั้ย โดยที่ไม่จำเป็นต้องให้โค้ชหรือใครมาบอกว่าอันนี้ไม่ดีนะ พยายามลดข้อผิดพลาดทุกเกมไปเรื่อย ๆ
หลังจากรีไทร์จากทีมชาติเมื่อปีที่แล้วได้กลับไปเล่นเนชั่นลีกส์ ที่อิตาลี ช่วยเล่าประสบการณ์ให้ฟังหน่อย
(หัวเราะ) ก็ไม่มีใครคาดคิดนะคะ อยู่ดี ๆ ก็ได้กลับไปเล่น เพราะทุกคนไม่มีการเตรียมพร้อมอะไรเลย ไม่มีการซ้อม เพราะชุดที่จะต้องไปเล่นเขาติดโควิดพอดี แล้วตอนนั้นเราคิดว่าไทยคงไม่ได้ส่งแข่งละ เพราะไม่มีนักกีฬาที่จะไปเล่น แต่ด้วยความที่ทาง FIVB เขาขอร้องมา เพราะเขาวางแผนโปรแกรมถ่ายทอดไว้หมดแล้ว แล้วก็ไม่มีทีมไหนพร้อมที่จะเพิ่มอีกหนึ่งทีม ก็เลยขอร้องให้ทีมไทยไปเล่น
แล้วตอนนั้นทุกคนก็ จะได้เหรอ เราไม่ได้ซ้อมเลยนะ วัคซีนก็ไม่ได้ฉีด พาสปอร์ตก็ไม่พร้อม คือมันยุ่งและเรามีเวลาน้อยมาก เลยไม่คิดว่าจะได้ไป มันยากมาก เป็นไปไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ได้ไป
ตั้งแต่แข่งวอลเลย์บอลมา ไม่เคยรู้สึกกังวลเท่านั้นมาก่อนเลย กลัวโควิดด้วย เพราะวัคซีนเราเพิ่งฉีดไป 2 วันก่อนเดินทาง ร่างกายไม่มีความพร้อมอะไรเลย ไม่ได้ซ้อมมาเดือนกว่า แล้วต้องไปเล่น 15 แมตช์ต่อเนื่อง เราเคยผ่านจุดนี้มาแล้ว จึงรู้ว่าขนาดตอนที่ฟิตยังยากเลย แล้วตอนที่เราไม่ฟิตล่ะ เรากลัวอาการบาดเจ็บมาก เราไม่อยากทิ้งทวนด้วยอาการบาดเจ็บ ไม่อยากใช้ชีวิตแบบนั้น
มันเป็นความเสี่ยงมากที่เรายอมเสียสละ แต่ชีวิตเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ณ จุดนั้น ไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนรับผิดชอบเรา ขนาดพ่อแม่เรายังบอกว่าไม่ไปได้ไหม และกระแสที่ออกมาว่าชุดที่ไปเก็บตัวติดโควิดหมดเลย เป็นคลัสเตอร์ใหม่ เขาอ่านข่าวแล้วก็ตกใจ หลาย ๆ อย่างทำให้เรากังวลมาก
ประสบการณ์ครั้งนั้นสอนอะไรให้คุณกลับมาบ้าง
เป็นประสบการณ์ยิ่งใหญ่มาก สอนให้เรารู้เลยว่าโอกาสมันมาเสมอ ทุกครั้ง สำหรับคนที่พร้อม แม้ตอนนั้นเราไม่พร้อม โอกาสก็ยังมาถึงเรา มันทำให้เราใช้โอกาสนั้นด้วยความเสี่ยงมาก ๆ แต่มันก็คุ้มค่ามาก ๆ ที่ทำให้ทุกคนเป็นความทรงจำ เราเองก็ทำเต็มที่ไม่อยากปล่อยให้โอกาสที่ได้มานั้นเสียเปล่า
ชุดนี้ที่เคยเล่นด้วยกันสร้างประวัติศาสตร์ร่วมกันเยอะมาก ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งย้อนกลับมาอีก 5 – 6 ปี จะได้กลับมาแข่งครั้งนั้นอีก ถ้าพูดถึงคือมันเป็นแมตช์ความทรงจำ หลายคนอาจเลิกดูเราไปแล้ว แต่พอกลับมาเห็นเรา เขาก็นึกภาพออกว่า เราเคยสร้างประวัติศาสตร์อะไรมาบ้าง
ครั้งนั้นมันเป็นความประทับใจมาก ๆ ที่ได้กลับมาเล่นด้วยกัน
ตอนนั้น จำได้ว่าเราอยู่มหาลัย ปี 1 หรือปี 2 ก็มีเอเยนต์คนหนึ่งมาดู มีแมวมองถามว่าไปเล่นที่นี่ไหม ด้วยความที่เราเป็นเด็กกล้า ๆ ลุย ๆ ไม่ค่อยกลัวอะไร พอเขาถามว่าไปเล่นอาชีพมั้ย เราบอกเลยว่า ไป โดยไม่คิด ไม่ได้ถามพ่อแม่ด้วย
อยากไป เพราะเราไม่รู้หรอกว่า เมื่อก่อนนี้การที่นักกีฬา 1 คนในเอเชีย จะได้ไปเล่นอาชีพที่ต่างประเทศเป็นเรื่องยากมาก เพราะทุกคนดูถูกเอเชียหมด เห็นเป็นแค่ไม้ประดับ ตัวเล็ก ๆ ไม่ได้มีความสามารถอะไรมากกว่าเขา โอกาสมันน้อยมากและอาจจะไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ ที่เขาจะเลือกคนเอเชียไปเล่นในยุโรป ทีมที่มีแต่คนตัวสูง ๆ ใหญ่ ๆ พอเราได้โอกาสปุ๊บ เราตอบตกลงเลย ก็ได้ไปเล่น
ประเทศแรกที่ไปเล่นคือ
สเปนก่อนเลย
เล่นอาชีพครั้งแรกมีความท้าทายอะไร
มันเป็นความท้าทายที่ยากสุดในชีวิต เป็นจุดเริ่มต้นของการเริ่มเล่นลีกอาชีพ ถ้าเราเล่นดี มันคือการเปิดตลาดเลย เอเยนต์ต่าง ๆ ทีมต่าง ๆ ก็จะเห็นในตัวเรา ครั้งหน้าเราก็มีโอกาสเพิ่มมากขึ้น ตอนนั้นเราไม่ได้มีเอเยนต์ส่วนตัว ก็ต้องอาศัยการที่เราเล่นทั้งของทีมชาติและอาชีพ เพื่อเปิดตลาดให้มีโอกาสไปเล่นอาชีพที่อื่น ๆ เหมือนเป็นการต่อยอดโอกาสที่เราได้รับมา
ความแตกต่างของลีกต่างประเทศกับลีกไทยบ้านเรา
มันแตกต่างกันมาก ถ้าให้เราเปรียบเทียบ หลังจากไปเล่นลีกอาชีพใหญ่ ๆ มีความแตกต่างเกือบจะทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมของทีม ความเป็นมืออาชีพของทีม ด้านเงินสนับสนุน อุปกรณ์เขามีความพร้อมมาก แน่นอนว่าแต่ละประเทศมีการฝึกซ้อมที่ไม่เหมือนกัน และการจัดการแข่งขัน ทีมที่เขาดูแล การออกแบบการฝึกซ้อมหรือการเตรียมร่างกายก็แตกต่างกัน มันทำให้เรารู้เลยว่าพอการสนับสนุนทุกอย่างมีความพร้อม เราก็ได้โฟกัสกับการฝึกซ้อมอย่างเต็มที่
เห็นว่าเดือนหน้า กำลังจะกลับไปเล่นอาชีพอีกครั้งที่สหรัฐอเมริกา
ด้วยความที่เราเป็นคนชอบเดินทาง ชอบอาศัยที่ต่างประเทศอยู่แล้ว มันเลยง่ายกับการที่เราต้องไป ทุกปี เรามีข้อเสนอมาตลอด เพราะตอนนี้เรามีเอเยนต์เป็นของตัวเอง เขาก็จะมีข้อเสนอมาเสมอ เราเชื่อเลยว่า 2 ปีที่ผ่านมานี้ ถ้าไม่มีโควิด ก็จะใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศแน่นอน ครั้งนี้เลยเป็นโอกาสครั้งใหม่ในเส้นทางนักกีฬาอาชีพของเรา
อเมริกาเป็นการเปิดลีกใหม่ที่เขายังไม่เคยแข่งขันมาก่อน และปีที่แล้วเป็นช่วงโควิด เอกสารทุกอย่างมันยากมาก ปีนี้เราได้วัคซีนแล้ว ประเทศเดินทางง่ายขึ้น เราเลยตัดสินใจไปเล่นอเมริกาดีกว่า เป็นความแปลกใหม่ที่เรายังไม่เคยได้เล่น แล้วเป็นประเทศที่เราก็ยังไม่เคยได้ไป ขนาดมีแข่งเนชั่นลีกส์เรายังไม่เคยไปเจอสนามแข่งที่อเมริกาเลย
อ่านต่อได้ที่ https://readthecloud.co/nootsara-tomkom/