แชร์ประสบการณ์เป็นมนุษย์เงินเดือน 22 ปี กับมูลค่างานที่ร่วมสร้างกว่าพันล้าน

20 กว่า ปีกับการทำงานเป็นลูกจ้างประจำ เดือนนี้เป็นเดือนสุดท้าย จึงอยากแชร์เรื่องราวบางส่วนไว้

- การเริ่มต้น
โตมากับแม่เลี้ยงเดี่ยว เป็นลูกคนเดียว แม่ไม่มีทรัพย์สินใดๆให้ แม่ทำงานค้าขายเปลี่ยนงานไปเรื่อยๆไม่มั่นคง ทำมาแล้วหลายงาน ย้ายไปมาหลายจังหวัด เช่าบ้านอยู่มาตลอด
ผมเรียนปวช อิเล็กทรอนิกส์ จากเทคนิคเชียงใหม่ ปวส ราชมงคลเชียงใหม่ ปตรี ครุศาสตร์อุตสาหกรรม พระจอมเกล้าลาดกระบัง(ใช้ทุน กยศ)
จบมาด้วยเกรดปานกลาง แต่มีความถนัดทางด้านไมโครคอนโทรลเลอร์เป็นพิเศษ เป็นวิชาที่สนใจ
ด้วยความตั้งใจอยากจะพัฒนาประเทศให้ดีขึ้น หลังจากจบจึงทำงานเป็น อาจารย์(อัตราจ้าง)แผนกแมคคาทรอนิกส์ ที่ วิทยาลัยเทคนิค อุตสาหกรรมยานยนต์ อยุธยา (เงินเดือน 6,360) ซึ่งเพิ่งเปิดเป็นรุ่นแรก รับผิดชอบสอน นร ในวิชาเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรม ควบคุม อัตโนมัติต่างๆ
และด้วยความที่ถนัดด้านคอมพิวเตอร์จึงมีโอกาสทำงานพิเศษต่างๆให้ทีมผู้บริหาร วท ด้วย ผมได้ทำงานด้วยความตั้งใจที่จะขับเคลื่อนประเทศด้วยอุตสาหกรรม จนได้รับความเอ็นดูจากทีมผู้บริหารเป็นอย่างมาก

หลังจากทำงานได้เกือบ 2 ปี วันหนึ่ง ผู้บริหาร ท่านหนึ่งได้เรียกเข้าไปคุยด้วยความเอ็นดู ท่านได้ยื่นหนังสือจากกรมที่ส่งไปตาม วท ทั่วประเทศ ให้ดูความว่า ถ้ามีอัตราบรรจุใหม่ ให้บรรจุ ผู้ที่จบจาก วิทยาลัยแห่งหนึ่งก่อน สถาบันอื่น
ซึ่งผมก็ไม่ได้จบจากสถาบันดังกล่าวนั้น จึงไม่มีโอกาศที่จะได้บรรจุเลย ท่านได้แนะนำว่าถ้าเธอจะรอ อาจจะต้องรอนานหลายปี
ผมจึงจำใจต้องเปลี่ยนงาน เพราะหาความก้าวหน้าไม่เจอ  ถ้าอยู่ต่อ ถึงจะมีผลงานดีอย่างไรก็ไม่มีโอกาสปรับเงินเดือนเลย อีกทั้งสวัสดิการต่างๆ ก็ไม่ได้เหมือนคนที่เป็นข้าราชการ (เพื่อนผมจากลาดกระบังคนหนึ่งที่มาทำงานด้วยกัน ยอมเป็นอัตราจ้าง 10 กว่า ปี ถึงได้บรรจุเป็นข้าราชการ)


- งานและงาน
หลังจากผิดหวังในเส้นทางราชการ ผมก็คิดว่าถึงแม้ว่าจะทำงานเอกชน ก็ยังสามารถขับเคลื่อนประเทศได้เช่นกัน
จึงย้ายไปทำงาน ใน โรงงาน  OEM + R&D ต่างชาติ(เกาหลีใต้)  ที่หนึ่งทำงานอยู่แผนกวิจัยและพัฒนา (R&D)ออกแบบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเขียนโปรแกรมให้ไมโครคอนโทรลเลอร์ เพื่อควบคุมการทำงานของอุปกรณ์นั้นๆ (Embedded System)
บ่อยครั้งที่ต้องกินนอนอยู่ที่แผนก บางครั้งต้องทำงานงานต่อเนื่องโดยไม่ได้นอนเลย 36 ชม ทั้งนี้เพื่องานต้นแบบจะได้เสร็จทันตามที่ลูกค้าต้องการ (สำหรับใครที่นึงภาพที่ทำงานไม่ออก ขอให้นึกถึงห้องแล็ปโปรเจค ตามมหาวิทยาลัยในช่วงวันส่งโปรเจค)
เงินเดือนเริ่มต้นที่ 14,000  ถือว่าไม่สูง แต่ได้มีโอกาสได้ทำงานร่วมกับนักวิจัยต่างชาติบ้าง ได้ไปทำงานที่ต่างประเทศบ้างตามโอกาส ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี
ทำงานเอกชนที่แรกได้ 12 ปี ก็ย้ายไปทำงานวิจัย ในที่ ที่สอง เป็น บ จากไต้หวัน  ลักษณะงานเหมือนเดิม ต่างกันที่ ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบ คนละอุปกรณ์กัน ที่ที่สองนี้เป็น บ ข้ามชาติเหมือนเดิม แต่ใหญ่กว่าเดิมมาก อยู่ในตลาดหุ้นด้วย (เคยอยู่ใน set 50)
ทำงานที่ที่สองอีก10 ปี ก็คิดว่าผมควรให้เวลากับครอบครัวได้แล้ว จึงตัดสินใจขอเกษียณจากงานประจำ ตอนอายุ 47

บ ทั้งสองที่เป็น บ ที่ได้รับการส่งเสริม BOI (ส่งออก 100%) หมายความว่า ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้น ถูกนำไปขายให้ต่างชาติ บ คู่แข่งของเราคือ บ ต่างชาติ ถ้าฝ่ายวิจัยที่ผมทำงานอยู่ทำต้นแบบไม่ได้ หรือไม่ทันเวลา หรือไม่ดีพอสำหรับลูกค้า
ลูกค้าก็จะย้ายไปจ้างออกแบบและผลิตที่ประเทศอื่นแทน เพราะงานผลิตนั้นมีโรงงานที่รับจ้างผลิตมากมาย แต่งานออกแบบนั้นมีตัวเลือกที่ดีไม่มาก
ฉะนั้นโรงงานที่มี R&D ที่ดี ก็จะเป็นตัวเลือกแรกของลูกค้า

ผมลองคำนวณเล่นๆคร่าวๆเกี่ยวกับมูลค่างานที่มีส่วนร่วมสร้างไว้ให้ประเทศตลอด 20 กว่าปี ได้ดังนี้

จำนวนโปรเจคทั้งหมด (ประมาณ)    100   โปรเจค
จำนวนผลิตภัณท์ที่ผลิตต่อเนื่องทุกเดือนเฉลี่ย(ทุกโปรเจค)  30,000  ชิ้น ต่อเดือน
ราคาขาย FOB เฉลี่ยต่อชิ้น(ประมาณ)   50 USD
มูลค่าสินค้าที่ร่วมสร้าง  = 30,000 x 50(USD) x 12(เดือน) x 20(ปี) = 360,000,000 USD

หรือประมาณ = 360,000,000 x 30(ค่าเงินบาท) = 10,800,000,000 บาท
*** ตัวเลขประมาณจากขั้นต่ำ ตัวเลขจริงจะสูงกว่านี้ ***

ผมถือว่าชีวิตการทำงานประจำเป็นไปตามเป้าหมายแล้ว

- สมดุลชีวิต
ช่วงแรกของการทำงาน ผมไม่ได้ให้เวลากับทางบ้านเท่าไหร่ ทุ่มเวลากับงานมากจนได้เป็นพนักงานดีเด่น โรงงานแรกที่ทำ เป็น บ จากประเทศเกาหลีใต้ ขึ้นชื่อเรื่องการทำงานหนักอยู่แล้ว ทำงาน 6 วัน(บางครั้งก็ 7 วัน) ทำโอทีหลัง 3 ทุ่มทุกวัน
โชคดีที่ช่วงนั้นอายุยังน้อย ความรับผิดชอบครอบครัวยังไม่มาก เลยไม่มีปัญหาอะไรกับเวลางาน ผมเห็นการเสียสละของเพื่อนพนักงานมากมายในแผนกนี้ ทั้งสุขภาพและเวลา
แต่พออายุมากขึ้น ก็ภาระทางบ้านมากขึ้น เนื่องจากแม่ผมป่วยเป็นมะเร็ง สมดุลเวลาที่ทำงานกับเวลาที่บ้านเริ่มไม่สมดุล ผมต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ที่จะย้ายไปทำงานใน บ ที่หยุด ส-อา และไม่ต้องทำโอทีมากนัก เพื่อให้มีเวลากับทางบ้านมากขึ้น

บ้านของภรรยาผมอยู่ อ ภูกระดึง จ เลย ในหมู่บ้านห่างไกลตัวอำเภอ ขนาดไม่เกิน150 หลังคาเรือน และมีที่ดินสำหรับทำไร่อ้อยของภรรยาอยู่ 20ไร่ และของน้องสาวแฟนอีก 20 ไร่ ภรรยาผมเป็นลูกสาวคนโต จึงทำหน้าที่ดูแลพ่อและแม่ด้วย

พ่อตาได้เปิดเป็นร้านขายวัสดุก่อสร้างเล็กๆในหมู่บ้าน(ในรัศมี 2 กม มีคู่แข่งอยู่ 4-5 ร้าน) กิจการการค้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ต้องดึงเงินจากรายได้ส่วนอื่นๆ(จากไร่อ้อย และงานประจำของภรรยาและผม)มาเพิ่มทุนแทบตลอดเวลา
ไม่มีการทำบัญชีอย่างเป็นระบบ ไม่สามารถประเมินได้ว่าในส่วนร้านกำไรหรือขาดทุน เพราะมีการดึงเงินรายได้ส่วนอื่นไปเสริมทุนกันไปมาตลอดเวลา (รายได้จากงานประจำ รายได้จากร้าน รายได้จากอ้อย)
ผมจึงคิดว่าควรเข้าไปจัดการเรื่องรายได้ส่วนร้าน ให้ดีขึ้นก่อน โดยการให้ภรรยาเข้าไปทำบัญชีร้าน เพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ซื้อเครื่องทุนแรงเพิ่ม เช่น รถไถ รถบรรทุก เครนยกของ แบบหล่อเสา  และดูแลซ่อมบำรุงจัดการเครื่องจักร เครื่องมือภายในร้าน
ผมมีเรื่องโชคดีอยู่คือผมได้เรียนมาทางสายอาชีวะศึกษา ซึ่งจะได้เรียนวิชาช่างฝีมือพื้นฐานมาก่อน (ช่างยนต์ เครื่องกล เชื่อม ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ก่อสร้าง) ซึ่งทั้งหมดถูกนำมาใช้ทุกสาขาวิชาเลย มีส่วนช่วยได้มาก

งานไร่อ้อยช่วงแรกจ้างให้คนอื่นทำโดยออกทุนให้(แบ่งรายได้) และให้เครื่องจักรเดียวกับทางร้านค้า ภายหลังเราเลือกที่จะทำเองทั้งหมดไม่ต้องจ้างใคร โดยวางแผนให้ผมและภรรยาเข้าไปช่วยงานที่บ้านมากขึ้น ภรรยาเลยลาออกจากงานประจำกลับไปทำงานที่ร้านก่อน
ส่วนผมยังคงทำงานประจำหาทุนเพิ่มไปเรื่อยๆ มีการเพิ่มเครื่องจักรกลใหม่ๆสำหรับร้าน และสำหรับงานไร่อ้อย ทุกปี   พื้นที่ปลูกอ้อยขยายไปถึง 200 ไร่(เช่า) ผมต้องเดินทางไป กลับ ที่บ้านและที่ทำงาน (เลย-สมุทรปราการ) ทุกวันที่หยุด ส-อา โดยเดินทางช่วงกลางคืนเพื่อกลับไปทำงานที่บ้านช่วงเช้าวันถัดไป และเดินทางกลับคืนวันอาทิตย์เพื่อมาทำงานประจำในเช้าจันทร์ นานต่อเนื่องกันหลายปี
สมดุลเริ่มเปลี่ยนไป เมื่องานที่บ้านมีเยอะขึ้น

รายการเครื่องจักรกลในบ้านที่ต้องดูแล

รถไถนั้งขับ 4 คัน (ของเดิม 2 คัน)
รถบรรทุก 6 ล้อ 4 คัน (ของเดิม 2 คัน)
รถปิ๊กอัพ 1 คัน (ของเดิม)
รถเก๋ง 2 คัน
มอเตอร์ไซด์ 3 คัน (ของเดิม 1 คัน)
เครื่องอัดอิฐบล็อค (ของเดิม)
อุปกรณ์ต่อพ่วงรถไถ หางปลูกอ้อย ผาน 4 ผาน 7 หางฝั่งปุ๋ย หางโรตารี หางตีใบอ้อย หางพ่นยา หางสูบน้ำ

แค่งานดูแลเรื่องยางรถต่างๆ รวมทุกคันก็ 66 เส้นแล้ว ทุกคันถูกใช้งานอยู่เกือบทุกวัน (ร้านเปิด 7 วัน)
เครื่องจักรบางตัวซื้อมือหนึ่ง บางตัวซื้อมือสองมาซ่อมใช้ บางตัวไปประมูลเอามาจากลานประมูลสินค้ามือสองนำเข้า
เข้าออก อู่ซ่อม โรงกลึง ร้านยาง ร้านแบตเตอร์รี่ ร้านอะไหล่ ลานประมูลเครื่องจักร และศูนย์บริการจนคุ้นเคยกันดี

จนถึงวันหนึ่งงานที่บ้านเริ่มเยอะจนดูแลไม่ทั่วถึง  ผมจึงจะต้องเกษียณตัวเองจากงานประจำ และกลับไปทำงานที่บ้านเต็มตัวในเดือนนี้ (มีนา 65)

ผมคิดมาเสมอว่า เมื่อเราเกิดมา เราจะมีหนี้บุญคุณของประเทศชาติติดตัวมาด้วย
หลังจากทำงาน 20 ปี แล้ว คิดว่า มูลค่าที่สร้างให้ประเทศได้ หมื่นกว่าล้าน น่าจะเพียงพอแล้ว เลยอยากขอกลับไปทำงานให้ครอบครัวบ้าง
และเปิดโอกาสให้รุ่นน้องๆได้มีโอกาสมาทำตรงนี้บ้าง




- สรุป
ผมโชคดีที่รู้ตัวเองว่าชีวิตต้องการอะไรมาแต่แรกๆ และพยายามจะพาตัวไปอยู่ที่จุดนั้น
ทำงานยี่สิบกว่าปี เปลี่ยนที่ทำงาน 3 ที่ มีโอกาสสร้างมูลค่าให้ประเทศได้เกินกว่าที่คาดไว้
พร้อมกันนั้นก็จัดสมดุลชีวิต สร้างความมั่นคงให้ครอบครัวได้ในระดับหนึ่ง
อายุ 47 แม้ไม่แข็งแรงเหมือนสมัยหนุ่มๆ แต่ก็น่าจะยังทำงานให้ครอบครัวได้อีกหลายปี จึงขอหยุดอาชีพงานประจำลงในปีนี้
หวังว่าประสบการณ์ของผม คงมีประโยชน์ต่อท่านอื่นบ้างไม่มากก็น้อย


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่