คำว่า " ตถาคต "....พระศาสดาท่านให้นิยามแล้วว่า...คือ
โลกสูตร
https://etipitaka.com/read/thai/21/23/
[๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
- โลกตถาคตตรัสรู้แล้ว....
ตถาคตพรากจากโลกแล้ว
- เหตุเกิดแห่งโลกตถาคตตรัสรู้แล้ว....
เหตุเกิดแห่งโลกตถาคตละได้แล้ว
- ความดับแห่งโลกตถาคตตรัสรู้แล้ว....
ความดับแห่งโลกตถาคตกระทำให้แจ้งแล้ว
- ปฏิปทาอัน(ยังสัตว์)ให้ถึงความดับแห่งโลก....
ตถาคต ตรัสรู้แล้ว
- ปฏิปทาอัน(ยังสัตว์)ให้ถึงความดับแห่งโลก.....
ตถาคตให้เจริญแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
- รูปารมณ์ที่เห็นด้วยจักษุ
- สัททารมณ์ที่ฟังด้วยหู
- คันธารมณ์ รสารมณ์
- โผฏฐัพพารมณ์ที่รู้ได้ด้วย ทวารนั้นๆ
- ธรรมา(รมณ์)ที่รู้แจ้งด้วยใจ
ของโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลกพรหมโลก ของหมู่ สัตว์พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์
เทวดาและมนุษย์
ตถาคตได้บรรลุแล้ว เสาะแสวงหาแล้ว ค้นคว้าแล้วด้วยใจ
ตถาคตตรัสรู้รูปารมณ์ที่เห็นได้ด้วยจักษุเป็นต้นนั้น..โดยชอบ
เพราะฉะนั้น โลก จึงเรียกว่า ตถาคต
อนึ่งตถาคตย่อมตรัสรู้ซึ่งราตรีใด และย่อมยังราตรีใดให้ดับ ตถาคตย่อมกล่าว ย่อมทักทาย
ย่อมแสดงออกซึ่งคำใดในระหว่างนี้ คำนั้นทั้งหมดย่อมเป็นอย่างนั้นทีเดียว
หาได้ เป็นอย่างอื่นไม่
เพราะฉะนั้น โลกจึงเรียกว่า ตถาคต
ตถาคตมีปรกติกล่าวอย่างใด ทำอย่างนั้น ทำอย่างใด กล่าวอย่างนั้น ตถาคตมีปรกติกล่าวอย่างใด
ทำอย่างนั้น ทำอย่างใด กล่าวอย่างนั้น ด้วยประการฉะนี้
เพราะฉะนั้น โลกจึงเรียกว่า ตถาคต
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก
ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์เทวดาและ มนุษย์ เป็นผู้อันใครๆ ครอบงำไม่ได้ ผู้เห็นแจ้งโดยแท้
ยังอำนาจให้เป็นไป
เพราะฉะนั้น โลก จึงเรียกว่า ตถาคต ฯ
==== แล้วทำไม...ไปแปลว่า " สัตว์-ผู้ยึดติด "...????? =====
ไปแปลคำว่า " ตถาคต "...ว่าหมายถึง " สัตว์ผู้ยึดติด "...ก็เลย..
ไปเข้าใจกันว่า " สัตว์ไม่มี "...เพราะไปอ่านเจอที่เขาแปลคลาดเคลื่อน..ว่า
สัตว์ภายหลังจากการตาย
- สัตว์ตายแล้ว...เกิดอีก
- สัตว์ตายแล้ว..ไม่เกิดอีก
- สัตว์ตายแล้ว....เกิดอีก.หรือ..ไม่เกิดอีก
- สัตว์ตายแล้ว...ทั้ง...เกิดอีกก็ไม่ใช่...ไม่เกิดอีกก็ไม่ใช่
นี่.มันแค่เข้าใจธรรมผิด...จึงไปแปลคำว่า " ตถาคต "....ให้เข้ากับทิฏฐิที่ผิดๆ..ที่ตนเข้าใจ
อ้าว...ดูว่าทำไมพระองค์จึงไม่พยากรณ์ฐานะของ.....ตถาคต..ภายหลังจากการตาย...
จะบอกว่าพระองค์ไม่อธิบายเสียเลย..ก็ไม่ใช่
พระศาสดาท่านก็บอกกับวัจฉะ...ว่า
" สาเหตุใดพระองค์จึงไม่พยากรณ์...นิพพานธาตุ " (พระอรหันต์..คือ..นิพพานธาตุ)
[๒๕๑] เอวเมว โข วจฺฉ เยน รูเปน ตถาคตํ ปญฺญาปยมาโน ปญฺญาเปยฺย
(..อย่างนั้นแล...วัจฉะ โดยรูป(ใดๆ)...ที่ปรากฏกให้เรียกว่า " ตถาคต "...)
ตํ รูปํ ตถาคตสฺส ปหีนํ อุจฺฉินฺนมูลํ ตาลาวตฺถุกตํ อนภาวงฺคตํ อายตึ อนุปฺปาทธมฺมํ
(....
รูปอันนั้น...ของตถาคต...ได้ประหารจนสิ้นแล้วละแล้ว..เป็นเหมือนกับ
ลำตาลที่ขาดถอนถึงราก,
ถึงความไม่มี...
ไม่ถึงการเกิดใหม่อีกเป็นธรรมดา...)
รูปสงฺขาวิมุตฺโต โข วจฺฉ ตถาคโต คมฺภีโร อปฺปเมยฺโย ทุปฺปริโยคาโฬฺห ฯ
(..วัจฉะ
ตถาคตพ้นไปแล้วจากการนับว่าเป็นรูปแล... ตถาคตลึกซึ้ง-ประมาณไม่ได้-หยังไม่ได้-แน่นหนา..)
เสยฺยถาปิ มหาสมุทฺโท
(...เหมือนดั่งเช่น....มหาสมุทร...)
อุปฺปชฺชตีติ น อุเปติ
(...
ไม่เข้าถึง...." การเกิดอีก "..)
น อุปฺปชฺชตีติ น อุเปติ
(...ไ
ม่เข้าถึง..." การไม่เกิดอีก "...)
อุปฺปชฺชติ จ น จ อุปฺปชฺชตีติ น อุเปติ
(...
ไม่เข้าถึง..." การเกิดอีกก็มี-การไม่เกิดอีกก็มี "...)
เนว อุปฺปชฺชติ น น อุปฺปชฺชตีติ น อุเปติ ฯ
(....
ไม่เข้าถึง... " การเกิดอีกก็ไม่ใช่-การไม่เกิดอีกก็ไม่ใช่ "...)
===แม้น..เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ====
ไปแปลคำว่า " ตถาคต "...ให้ผิดเพี้ยนไป... มันก็หลงซิ....คนไม่รู้ไม่พิจารณาก็หลงตามเป็นขบวน...
โลกสูตร https://etipitaka.com/read/thai/21/23/
[๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
- โลกตถาคตตรัสรู้แล้ว....ตถาคตพรากจากโลกแล้ว
- เหตุเกิดแห่งโลกตถาคตตรัสรู้แล้ว....เหตุเกิดแห่งโลกตถาคตละได้แล้ว
- ความดับแห่งโลกตถาคตตรัสรู้แล้ว....ความดับแห่งโลกตถาคตกระทำให้แจ้งแล้ว
- ปฏิปทาอัน(ยังสัตว์)ให้ถึงความดับแห่งโลก....ตถาคต ตรัสรู้แล้ว
- ปฏิปทาอัน(ยังสัตว์)ให้ถึงความดับแห่งโลก.....ตถาคตให้เจริญแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
- รูปารมณ์ที่เห็นด้วยจักษุ
- สัททารมณ์ที่ฟังด้วยหู
- คันธารมณ์ รสารมณ์
- โผฏฐัพพารมณ์ที่รู้ได้ด้วย ทวารนั้นๆ
- ธรรมา(รมณ์)ที่รู้แจ้งด้วยใจ
ของโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลกพรหมโลก ของหมู่ สัตว์พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์
เทวดาและมนุษย์
ตถาคตได้บรรลุแล้ว เสาะแสวงหาแล้ว ค้นคว้าแล้วด้วยใจ
ตถาคตตรัสรู้รูปารมณ์ที่เห็นได้ด้วยจักษุเป็นต้นนั้น..โดยชอบ เพราะฉะนั้น โลก จึงเรียกว่า ตถาคต
อนึ่งตถาคตย่อมตรัสรู้ซึ่งราตรีใด และย่อมยังราตรีใดให้ดับ ตถาคตย่อมกล่าว ย่อมทักทาย
ย่อมแสดงออกซึ่งคำใดในระหว่างนี้ คำนั้นทั้งหมดย่อมเป็นอย่างนั้นทีเดียว
หาได้ เป็นอย่างอื่นไม่ เพราะฉะนั้น โลกจึงเรียกว่า ตถาคต
ตถาคตมีปรกติกล่าวอย่างใด ทำอย่างนั้น ทำอย่างใด กล่าวอย่างนั้น ตถาคตมีปรกติกล่าวอย่างใด
ทำอย่างนั้น ทำอย่างใด กล่าวอย่างนั้น ด้วยประการฉะนี้ เพราะฉะนั้น โลกจึงเรียกว่า ตถาคต
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก
ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์เทวดาและ มนุษย์ เป็นผู้อันใครๆ ครอบงำไม่ได้ ผู้เห็นแจ้งโดยแท้
ยังอำนาจให้เป็นไป เพราะฉะนั้น โลก จึงเรียกว่า ตถาคต ฯ
==== แล้วทำไม...ไปแปลว่า " สัตว์-ผู้ยึดติด "...????? =====
ไปแปลคำว่า " ตถาคต "...ว่าหมายถึง " สัตว์ผู้ยึดติด "...ก็เลย..
ไปเข้าใจกันว่า " สัตว์ไม่มี "...เพราะไปอ่านเจอที่เขาแปลคลาดเคลื่อน..ว่า
สัตว์ภายหลังจากการตาย
- สัตว์ตายแล้ว...เกิดอีก
- สัตว์ตายแล้ว..ไม่เกิดอีก
- สัตว์ตายแล้ว....เกิดอีก.หรือ..ไม่เกิดอีก
- สัตว์ตายแล้ว...ทั้ง...เกิดอีกก็ไม่ใช่...ไม่เกิดอีกก็ไม่ใช่
นี่.มันแค่เข้าใจธรรมผิด...จึงไปแปลคำว่า " ตถาคต "....ให้เข้ากับทิฏฐิที่ผิดๆ..ที่ตนเข้าใจ
อ้าว...ดูว่าทำไมพระองค์จึงไม่พยากรณ์ฐานะของ.....ตถาคต..ภายหลังจากการตาย...
จะบอกว่าพระองค์ไม่อธิบายเสียเลย..ก็ไม่ใช่
พระศาสดาท่านก็บอกกับวัจฉะ...ว่า
" สาเหตุใดพระองค์จึงไม่พยากรณ์...นิพพานธาตุ " (พระอรหันต์..คือ..นิพพานธาตุ)
[๒๕๑] เอวเมว โข วจฺฉ เยน รูเปน ตถาคตํ ปญฺญาปยมาโน ปญฺญาเปยฺย
(..อย่างนั้นแล...วัจฉะ โดยรูป(ใดๆ)...ที่ปรากฏกให้เรียกว่า " ตถาคต "...)
ตํ รูปํ ตถาคตสฺส ปหีนํ อุจฺฉินฺนมูลํ ตาลาวตฺถุกตํ อนภาวงฺคตํ อายตึ อนุปฺปาทธมฺมํ
(....รูปอันนั้น...ของตถาคต...ได้ประหารจนสิ้นแล้วละแล้ว..เป็นเหมือนกับ
ลำตาลที่ขาดถอนถึงราก, ถึงความไม่มี...ไม่ถึงการเกิดใหม่อีกเป็นธรรมดา...)
รูปสงฺขาวิมุตฺโต โข วจฺฉ ตถาคโต คมฺภีโร อปฺปเมยฺโย ทุปฺปริโยคาโฬฺห ฯ
(..วัจฉะ ตถาคตพ้นไปแล้วจากการนับว่าเป็นรูปแล... ตถาคตลึกซึ้ง-ประมาณไม่ได้-หยังไม่ได้-แน่นหนา..)
เสยฺยถาปิ มหาสมุทฺโท
(...เหมือนดั่งเช่น....มหาสมุทร...)
อุปฺปชฺชตีติ น อุเปติ
(...ไม่เข้าถึง...." การเกิดอีก "..)
น อุปฺปชฺชตีติ น อุเปติ
(...ไม่เข้าถึง..." การไม่เกิดอีก "...)
อุปฺปชฺชติ จ น จ อุปฺปชฺชตีติ น อุเปติ
(...ไม่เข้าถึง..." การเกิดอีกก็มี-การไม่เกิดอีกก็มี "...)
เนว อุปฺปชฺชติ น น อุปฺปชฺชตีติ น อุเปติ ฯ
(....ไม่เข้าถึง... " การเกิดอีกก็ไม่ใช่-การไม่เกิดอีกก็ไม่ใช่ "...)
===แม้น..เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ====