คุณเคยฝันถึงอะไรสักอย่างซ้ำๆกันไหมครับ
แม่เคยบอกผมว่า กินมาก
ฝันมาก ผมฟังแล้วก็หัวเราะตลอด แต่แม่คงไม่รู้
(เพราะผมไม่เล่า)หรอกว่า
ในความฝันซ้ำๆของผม
คือ สาวสวยคนหนึ่ง
จะแปลกไหม ถ้าจะบอกว่า
ผมฝันเห็นเธอ ตั้งแต่ผมเริ่ม
แตกเนื้อหนุ่ม
ไม่บ่อย แต่ก็ฝัน พอทำท่า
จะลืม ก็จะฝันเห็นเหมือน
มาตอกย้ำ เหมือนมาเตือน
ความจำประมาณนั้น
ฝันจนนับครั้งไม่ถ้วน
จน...จดจำใบหน้าและรอย
ยิ้มของเธอได้ขึ้นใจ
และที่แปลกกว่าคือ..เราไม่
เคยคุยกัน แค่มองเห็นกัน
ยิ้มให้กัน และนานวันเข้า
เธอก็กลายเป็น 'นางในฝัน'
ที่ผมคอยจะพบ ทุกครั้งยามหลับ
และแน่นอนว่า ผมไม่เคยเล่าให้ใครฟังถึงเรื่องนี้
บางครั้งผมก็แอบคิดว่า
ตัวเองเป็นโรคประสาท
ที่ฝันเห็นคนไม่รู้จักแบบ
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แถมนานวัน
เข้า จากนางในฝัน ก็เริ่ม
กลายเป็นนางกลางใจ
ระยะหลังผมจะตื่นเต้นดีใจ
ทุกครั้ง ที่ฝันแล้วได้เจอเธอ ซึ่งแน่นอนว่า ไม่สามารถกำหนดให้เป็นไป
ตามใจต้องการได้
บางครั้งอยากฝันเพราะคิดถึงเธอเหลือเกิน แต่ก็ได้
มาแค่ความว่างเปล่า เหมือนเธอคือสายลม ที่..
จับต้องไม่ได้ แต่รู้ว่ามีอยู่
(ในความฝัน)
ทุกครั้งที่ได้เจอผู้คน
ผมจะกวาดสายตามองหา
เธอเสมอ แม้จะข้องใจ
สงสัยว่า ' เธอ ' ในความฝัน
จะมีตัวตนหรือไม่ หรือ จะเป็นแค่ จินตนาการของผู้ชายใกล้บ้าคนหนึ่ง
หาก ความคิดถึงก็เอาชนะทุกอย่างได้เสมอ มันยังคง
มองหา และแอบมีความหวังว่าจะมีสักครั้ง ที่จะได้มอง
ไปพบ กับเธอ ผู้แสนจะคุ้น
ตา เธอ ผู้ทรงอิทธิพลใน
ความทรงจำ เธอผู้กระจ่าง
ชัดขึ้นตามกาลเวลาที่ผ่าน
ไป แต่..อีกเมื่อไหร่กันหนอ
หรือ..จะไม่มีวันนั้น
ก็แปลกดี ที่ทำไมผมถึงมี
ความหวังและเชื่อนักก็ไม่รู้ว่าเธอมีตัวตน และในวันใด
วันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้พบกัน
แต่จะเป็นที่ไหนและเมื่อใด
นี่แหละ.. ที่..ไม่อาจจะรู้ได้
ผมยังคงฝัน ( นานๆครั้ง )
และยังคงคิดถึงเธออยู่อย่างนั้น จนระยะหลัง
ภาพฝันที่มีเธอ ก็เริ่มจะห่าง
และแทบที่จะไม่ฝันถึง
แม้ผมพยายามที่จะฝันก็ตาม คงเป็นอย่างที่เคย
บอกนั่นแหละ ลม ยังไงก็ไม่มีตัวตน
เมื่อไม่มีเธอในฝัน หัวใจ
ผมก็เงียบงัน และว่างเปล่า
แบบไม่ต้องหาสาเหตุ
ดังนั้น เมื่อแม่มาบอกว่าอยากเห็นชายผ้าเหลือง
ผมก็รับปากบวชให้ทันที
โดยที่ไม่จำเป็นต้องจัดงานให้สิ้นเปลือง เข้าวัดเจ็ดวัน
ซ้อมขานนาค แล้วปลงผม
ห่มผ้าเหลือง ให้แม่ได้เห็นในวันที่แปดเลย ง่ายและ
เร็วจนแม้แต่ตัวเองก็ยังงงๆ
และทุกๆวันหลังทำวัตรเช้า
ผมจะอุทิศส่วนกุศลให้พ่อแม่ พี่ น้อง และเธอเสมอ
โดยในใจก็แอบรู้สึกผิดที่
ตัวเป็นพระแล้วแท้ๆ
แต่ยังคงตัดเธอไม่ขาด
หลังออกพรรษาและพ้นเทศกาลกฐินแล้ว ผมก็ขอแม่ ยังไม่สึกและออกธุดงค์
ไปกับเพื่อนพระสายปฏิบัติ
และช่วงนี้เอง ที่ผมได้พบว่า
ชีวิตสุขสงบขึ้น ทั้งจากการ
ศึกษาธรรมะและจากการใช้ชีวิตภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ ความคิดถึงที่มีต่อเธอเริ่มจางลง แต่ลึกๆ
แล้วก็.. ยังรักอยู่
ผมธุดงค์ไปกับเพื่อนพระ
จนใกล้สงกรานต์ ก็มีความ
คิดว่า จะกลับไปหาแม่และอยู่กับท่านสักพัก เพราะช่วงที่ธุดงค์ไปผมได้เจอวัด
ป่าแห่งหนึ่ง เงียบสงบ ธรรม
ชาติสวย ชาวบ้านใจดี แม้จะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่ก็น่า
อยู่ จนตัดสินใจว่า จะไป
อยู่จำพรรษาที่นั่น
แต่แล้วก่อนที่จะเดินทางกลับมาหาแม่เพียงวันเดียว
ผมก็ป่วย ทั้งปวดหัวทั้งถ่ายท้อง จนต้องเข้าโรงพยาบาล กว่าจะหายกว่าจะมีแรง ก็วันที่13เม.ย.พอดี
ผมก็เลย ต้องอยู่ทำบุญสงกรานต์ที่วัดนั้นก่อน
กะว่า วันที่ยี่สิบค่อยเดินทางกลับ
จนวันที่สิบห้า หลังทำบุญเสร็จ ก็มีญาติโยมมานิมนต์
ให้ไปบังสุกุลที่กำแพงแก้ว
ซึ่งอยู่รอบนอกของโบสถ์
รายแรกเป็นพ่อ และอีกรายเป็นพี่ชาย หลังทำภารกิจ
เสร็จ พระท่านอื่น ก็เดินกลับกุฏิ แต่ผมอยากเดินดู
รอบๆก็เลยยังไม่กลับไปด้วย เพราะตั้งแต่มาอยู่
ผมก็ยังไม่เคยเดินสำรวจ
รอบวัดเลยโดยเฉพาะบริเวณนี้ แม้วัดที่นี่จะเป็น
วัดเก่า แต่โบสถ์กลับเพิ่ง
สร้างเสร็จ กำแพงและซองเก็บกระดูกจึงยังใหม่เอี่ยม
(ผมมองไปด้านหลัง ก็เห็น
เจดีย์เก็บกระดูก ยังถูกทิ้งระเกะระกะอยู่) คาดว่าคงเพิ่งถูกย้ายมาได้ไม่นาน
บางช่องก็มีรูปของผู้เสีย
ชีวิตพร้อมแจ้งวันเกิดวันตายเรียบร้อย แต่บางช่องก็ปล่อยว่างเปล่า มีเพียงแจ
กันซึ่งไม่มีดอกไม้ตั้งทิ้งไว้อย่างเดียวดาย
ผมเดินดูจนเกือบรอบ ก็ไป
สะดุดตารูปที่ช่องเก็บ ช่องหนึ่ง ครั้งแรกเห็นแวบๆทางหางตา จึงหันไปมองชัดๆ
แล้วหัวใจก็ต้องไหววูบ
ก็..หน้าอย่างนั้น ตาอย่าง
นั้น รอยยิ้มอย่างนั้น จะเป็นใครได้อีก ถ้าไม่ใช่เธอ
ผมถลาลงไปนั่ง ลืมสำรวม
อาการเพราะความเป็นจริง
ที่เห็น วูบแรก ของความ
รู้สึกคือดีใจสุดๆ ก่อนจะ
แปรเปลี่ยนเป็นช็อคเล็กๆ
กับความจริงที่ได้รู้ และสุด
ท้าย ก็คือความเศร้าอย่างถึงที่สุด เมื่อได้อ่านข้อความใต้ภาพ
' น.ส.ปรียา ส่งเสริม
ชาตะ 24 ม.ค. 25...
มรณะ13 เม.ย. 25...'
สองปีเต็มแล้วสินะ ที่เธอจากไป มิน่า..ถึงไม่ยอมไป
หาผมในฝัน
สุดท้าย..ไม่ว่าจะเจอหรือไม่เจอกัน เธอก็เป็นได้แค่
นางในฝัน อยู่ดี
สู่ภพภูมิที่ดีเถอะนะ
หลวงพี่จะทำบุญ อุทิศส่วนกุศลไปให้ เผื่อว่า ในอนาคตกาลข้างหน้า เราอาจจะได้พบกันแบบมีชีวิต
สักครั้ง
......ลาก่อน......
นางในฝัน..
แม่เคยบอกผมว่า กินมาก
ฝันมาก ผมฟังแล้วก็หัวเราะตลอด แต่แม่คงไม่รู้
(เพราะผมไม่เล่า)หรอกว่า
ในความฝันซ้ำๆของผม
คือ สาวสวยคนหนึ่ง
จะแปลกไหม ถ้าจะบอกว่า
ผมฝันเห็นเธอ ตั้งแต่ผมเริ่ม
แตกเนื้อหนุ่ม
ไม่บ่อย แต่ก็ฝัน พอทำท่า
จะลืม ก็จะฝันเห็นเหมือน
มาตอกย้ำ เหมือนมาเตือน
ความจำประมาณนั้น
ฝันจนนับครั้งไม่ถ้วน
จน...จดจำใบหน้าและรอย
ยิ้มของเธอได้ขึ้นใจ
และที่แปลกกว่าคือ..เราไม่
เคยคุยกัน แค่มองเห็นกัน
ยิ้มให้กัน และนานวันเข้า
เธอก็กลายเป็น 'นางในฝัน'
ที่ผมคอยจะพบ ทุกครั้งยามหลับ
และแน่นอนว่า ผมไม่เคยเล่าให้ใครฟังถึงเรื่องนี้
บางครั้งผมก็แอบคิดว่า
ตัวเองเป็นโรคประสาท
ที่ฝันเห็นคนไม่รู้จักแบบ
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แถมนานวัน
เข้า จากนางในฝัน ก็เริ่ม
กลายเป็นนางกลางใจ
ระยะหลังผมจะตื่นเต้นดีใจ
ทุกครั้ง ที่ฝันแล้วได้เจอเธอ ซึ่งแน่นอนว่า ไม่สามารถกำหนดให้เป็นไป
ตามใจต้องการได้
บางครั้งอยากฝันเพราะคิดถึงเธอเหลือเกิน แต่ก็ได้
มาแค่ความว่างเปล่า เหมือนเธอคือสายลม ที่..
จับต้องไม่ได้ แต่รู้ว่ามีอยู่
(ในความฝัน)
ทุกครั้งที่ได้เจอผู้คน
ผมจะกวาดสายตามองหา
เธอเสมอ แม้จะข้องใจ
สงสัยว่า ' เธอ ' ในความฝัน
จะมีตัวตนหรือไม่ หรือ จะเป็นแค่ จินตนาการของผู้ชายใกล้บ้าคนหนึ่ง
หาก ความคิดถึงก็เอาชนะทุกอย่างได้เสมอ มันยังคง
มองหา และแอบมีความหวังว่าจะมีสักครั้ง ที่จะได้มอง
ไปพบ กับเธอ ผู้แสนจะคุ้น
ตา เธอ ผู้ทรงอิทธิพลใน
ความทรงจำ เธอผู้กระจ่าง
ชัดขึ้นตามกาลเวลาที่ผ่าน
ไป แต่..อีกเมื่อไหร่กันหนอ
หรือ..จะไม่มีวันนั้น
ก็แปลกดี ที่ทำไมผมถึงมี
ความหวังและเชื่อนักก็ไม่รู้ว่าเธอมีตัวตน และในวันใด
วันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้พบกัน
แต่จะเป็นที่ไหนและเมื่อใด
นี่แหละ.. ที่..ไม่อาจจะรู้ได้
ผมยังคงฝัน ( นานๆครั้ง )
และยังคงคิดถึงเธออยู่อย่างนั้น จนระยะหลัง
ภาพฝันที่มีเธอ ก็เริ่มจะห่าง
และแทบที่จะไม่ฝันถึง
แม้ผมพยายามที่จะฝันก็ตาม คงเป็นอย่างที่เคย
บอกนั่นแหละ ลม ยังไงก็ไม่มีตัวตน
เมื่อไม่มีเธอในฝัน หัวใจ
ผมก็เงียบงัน และว่างเปล่า
แบบไม่ต้องหาสาเหตุ
ดังนั้น เมื่อแม่มาบอกว่าอยากเห็นชายผ้าเหลือง
ผมก็รับปากบวชให้ทันที
โดยที่ไม่จำเป็นต้องจัดงานให้สิ้นเปลือง เข้าวัดเจ็ดวัน
ซ้อมขานนาค แล้วปลงผม
ห่มผ้าเหลือง ให้แม่ได้เห็นในวันที่แปดเลย ง่ายและ
เร็วจนแม้แต่ตัวเองก็ยังงงๆ
และทุกๆวันหลังทำวัตรเช้า
ผมจะอุทิศส่วนกุศลให้พ่อแม่ พี่ น้อง และเธอเสมอ
โดยในใจก็แอบรู้สึกผิดที่
ตัวเป็นพระแล้วแท้ๆ
แต่ยังคงตัดเธอไม่ขาด
หลังออกพรรษาและพ้นเทศกาลกฐินแล้ว ผมก็ขอแม่ ยังไม่สึกและออกธุดงค์
ไปกับเพื่อนพระสายปฏิบัติ
และช่วงนี้เอง ที่ผมได้พบว่า
ชีวิตสุขสงบขึ้น ทั้งจากการ
ศึกษาธรรมะและจากการใช้ชีวิตภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ ความคิดถึงที่มีต่อเธอเริ่มจางลง แต่ลึกๆ
แล้วก็.. ยังรักอยู่
ผมธุดงค์ไปกับเพื่อนพระ
จนใกล้สงกรานต์ ก็มีความ
คิดว่า จะกลับไปหาแม่และอยู่กับท่านสักพัก เพราะช่วงที่ธุดงค์ไปผมได้เจอวัด
ป่าแห่งหนึ่ง เงียบสงบ ธรรม
ชาติสวย ชาวบ้านใจดี แม้จะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่ก็น่า
อยู่ จนตัดสินใจว่า จะไป
อยู่จำพรรษาที่นั่น
แต่แล้วก่อนที่จะเดินทางกลับมาหาแม่เพียงวันเดียว
ผมก็ป่วย ทั้งปวดหัวทั้งถ่ายท้อง จนต้องเข้าโรงพยาบาล กว่าจะหายกว่าจะมีแรง ก็วันที่13เม.ย.พอดี
ผมก็เลย ต้องอยู่ทำบุญสงกรานต์ที่วัดนั้นก่อน
กะว่า วันที่ยี่สิบค่อยเดินทางกลับ
จนวันที่สิบห้า หลังทำบุญเสร็จ ก็มีญาติโยมมานิมนต์
ให้ไปบังสุกุลที่กำแพงแก้ว
ซึ่งอยู่รอบนอกของโบสถ์
รายแรกเป็นพ่อ และอีกรายเป็นพี่ชาย หลังทำภารกิจ
เสร็จ พระท่านอื่น ก็เดินกลับกุฏิ แต่ผมอยากเดินดู
รอบๆก็เลยยังไม่กลับไปด้วย เพราะตั้งแต่มาอยู่
ผมก็ยังไม่เคยเดินสำรวจ
รอบวัดเลยโดยเฉพาะบริเวณนี้ แม้วัดที่นี่จะเป็น
วัดเก่า แต่โบสถ์กลับเพิ่ง
สร้างเสร็จ กำแพงและซองเก็บกระดูกจึงยังใหม่เอี่ยม
(ผมมองไปด้านหลัง ก็เห็น
เจดีย์เก็บกระดูก ยังถูกทิ้งระเกะระกะอยู่) คาดว่าคงเพิ่งถูกย้ายมาได้ไม่นาน
บางช่องก็มีรูปของผู้เสีย
ชีวิตพร้อมแจ้งวันเกิดวันตายเรียบร้อย แต่บางช่องก็ปล่อยว่างเปล่า มีเพียงแจ
กันซึ่งไม่มีดอกไม้ตั้งทิ้งไว้อย่างเดียวดาย
ผมเดินดูจนเกือบรอบ ก็ไป
สะดุดตารูปที่ช่องเก็บ ช่องหนึ่ง ครั้งแรกเห็นแวบๆทางหางตา จึงหันไปมองชัดๆ
แล้วหัวใจก็ต้องไหววูบ
ก็..หน้าอย่างนั้น ตาอย่าง
นั้น รอยยิ้มอย่างนั้น จะเป็นใครได้อีก ถ้าไม่ใช่เธอ
ผมถลาลงไปนั่ง ลืมสำรวม
อาการเพราะความเป็นจริง
ที่เห็น วูบแรก ของความ
รู้สึกคือดีใจสุดๆ ก่อนจะ
แปรเปลี่ยนเป็นช็อคเล็กๆ
กับความจริงที่ได้รู้ และสุด
ท้าย ก็คือความเศร้าอย่างถึงที่สุด เมื่อได้อ่านข้อความใต้ภาพ
' น.ส.ปรียา ส่งเสริม
ชาตะ 24 ม.ค. 25...
มรณะ13 เม.ย. 25...'
สองปีเต็มแล้วสินะ ที่เธอจากไป มิน่า..ถึงไม่ยอมไป
หาผมในฝัน
สุดท้าย..ไม่ว่าจะเจอหรือไม่เจอกัน เธอก็เป็นได้แค่
นางในฝัน อยู่ดี
สู่ภพภูมิที่ดีเถอะนะ
หลวงพี่จะทำบุญ อุทิศส่วนกุศลไปให้ เผื่อว่า ในอนาคตกาลข้างหน้า เราอาจจะได้พบกันแบบมีชีวิต
สักครั้ง
......ลาก่อน......