18/2 Momotaro
Okinawa-shi/沖縄市
Japan 9040012
28 กุมภาพันธ์ 2565
ถึงคนโสดที่มีคนคุย(แต่คนนั้นยังไม่ใช่แฟน เพราะฉะนั้นผมจีบ)
Say hi วันจันทร์อีกเช่นเคยนะครับผม วันนี้เรารู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากกว่า วันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เนื่องจากมีสาวสวยคนนึงบอกว่ายังไม่มีแฟนเราเลยกลับมาชื่มมื่นเหมือนเดิมแล้ว วันนี้เราตั้งใจจะมาพูดถึงเรื่องอัตชีวประวัติของผู้เขียนและตั้งคำถามที่ชวนให้คิดอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นวันนี้อาจจะมีมุขมาเต๊าะน้อยมาก เพราะฉะนั้นก็....ถ้าคิดถึงมุขเลี่ยนๆของเราเธอก็กลับไปอ่านมุขเก่าๆที่เราทิ้งไว้ในจดหมายฉบับก่อนๆแล้วกัน ตัวผู้เขียนนั้นในช่วงสมัยมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นคนที่อารมณ์ร้อนโมโหง่าย ใครทำอะไรที่ไม่โดนใจหรือทำในเรื่องที่เราคิดว่ามันไม่ถูกต้อง เราก็มักจะโต้กลับไปในทันที ไม่ว่าจะเป็นการโต้วาทีกลางห้องปกครอง การตีฝีปากด่าเพื่อนในห้องแบบอ้อมๆ การตะโกนด่ามันข้ามห้อง แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่เคยทำเลยก็คือการไปทำให้ใครแตกคอกัน ยกตัวอย่างเช่น วันนึงมีเพื่อนคนนึงมานินทาเพื่อนอีกคนให้เราฟัง เรามักจะถามเค้ากลับไปเสมอว่า '' เรื่องมันเป็นยังไงไหนเล่า มีปัญหากันตรงไหน ไหนเสนอวิธีแก้ปัญหาระหว่างกันให้ฟังหน่อย ''พอเราถามอย่างนั้น อีกผ่ายก็จะเริ่มเผยความในใจออกมาทีละนิดๆ เราเปิดหูรับฟังตลอก แต่จะคิดเสมอว่า'' ใครเป็นคนพูด เราจะสืบประวัติเค้า สังเกตพฤติกรรมเค้า ทำความรู้จักนิสัยเค้า ฟังอดีตต่างๆที่คนสนิทของเค้าพูดถึง " การจะพิจารณาข้อเท็จจริงที่ออกมาจากปากคนๆนึงนั้นยากเสมอ เพราะเราไม่รู้เลยว่า ''ใครพูดจริง ใครโกหก'' อีกอย่างนึงคือ อคติที่อยู่ในตัวเรา '' รู้ให้ทันอคติภายในใจเรา ก่อนที่มันจะตัดสินสิ่งต่างๆบนโลกนี้ '' แน่นอนอยู่แล้วว่าเราไม่ได้ลืมฟังเสียงของผู้ถูกกล่าวหาด้วยเหมือนกัน เราคุยกับพวกเค้าและเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาให้พวกเค้า แทนที่เราจะสุมไฟในใจคนอื่นให้เป็นทุกข์ แต่เราสามารถปลดทุกข์ให้คนเหล่านั้นได้โดยการแก้ปัญไขหาที่เกิดขึ้นให้แทน เรารู้สีกเสียใจและเป็นทุกข์อย่างมากเมื่อเราได้ทำการส่งจดหมายฉบับที่ 3 ไปให้เธออ่าน ใจนึงเราก็กลัวว่าเธอจะไม่ชอบเราที่เราพูดตรง อีกใจนึงเราก็ไม่อยากเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไรเลย ปกติเราเป็นคนใจเย็น สุภาพ เรียบร้อยบ้างไม่เรียบร้อยบ้าง เราชอบทำตามใจตัวเองบ่อยครั้ง บางครั้งก็เสี่ยงโชคโดยการวัดดวง เป็นคนมีเหตุผล คุยง่าย แต่เราไม่รู้เลยว่าทำไมวันนั้น วันที่เราตัดสินใจส่งจดหมายฉบับที่ 3 ไปให้เธอ เราไม่รู้ว่า อะไรทำให้เราเผยความรู้สึกในใจไปหมด เรางงว่า เล่ห์เหลี่ยมที่เราเคยมีมันหายไปไหน แผนการที่วางไว้ก็ล่มไม่เป็นท่า ความรอบคอบ ความสุขุม ความเยือกเย็น สิ่งเหล่านั้นที่เราทำให้คนรอบตัวเห็นตลอดเวลา มันหายไปตั้งแต่วันที่เธอไม่สนใจจดหมายของเรา เราคิดอยู่เสมอว่าจดหมายฉบับนั้นมันเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ แต่ก็เป็นอารมณ์ชั่ววูบที่ออกมาจากใจของเรา จริงๆแล้ววันนั้นที่เราเขียนความรู้สึกต่างๆออกไปในเชิงน้อยใจไม่ใช่เพราะเหตุอะไรมาก แต่มันเป็นเพราะเราเห็นเธอลง IG story กับผู้ชายคนนึง เรื่องนั้นมันทำให้เราหงุดหงิดและไม่พอใจเป็นอย่างมาก เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรามีสิทธิ์ไปหงุดหงิดคนๆนั้นมั้ย เรื่องนั้นแหละคือเหตุผลที่แท้จริง เห้อ....พูดแล้วเราก็บ่นเสียดายว่าทำไมวันนั้นวันที่เราเห็นเธอตัวเป็นๆ เราไม่ยอมไปเผยความในใจแบบนี้บ้าง การมาทำแบบนี้กับเธอในวันนี้เรารู้ว่ามันยังไม่สายเกินไป วันที่เธอและเค้าเป็นคนคุยกัน วันที่เธอยังไม่ได้ให้ใจกับเค้าไป โอกาศเพียงน้อยนิดแค่นั้นก็เพียงพอสำหรับความรักอันแรงกล้าของเราแล้ว เธอจะจีบ จะคุย จะทำอะไรหวานๆกับเค้าก็ได้ และถึงเธอจะคุยกับเค้าทั้งวันทั้งคืน แต่ในเมื่อเค้าไม่ใช่แฟนเธอ เราก็มีสิทธิ์ที่จะจีบเธอเหมือนกัน เราไม่เคยมองการจีบเธอเป็นเป้าหมาย มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องทำให้ได้ แต่มันเป็นเรื่องของหัวใจ วันนี้เราชอบเธอมากจนถึงขนาดเก็บเอาไปฝัน ไม่แน่ว่าสักวันเราอาจจะนอนได้โดยปราศจากเธอ ทุกอย่างเกิดขึ้นและดับไป เหมือนกองไฟที่กำลังมอดไหม้ ถ้าเราเติมฝืนให้พอดีในทุกๆวันมันจะยังคงอยู่ ถ้าเราปกป้องมันจากฝนที่โหมกระหน่ำมันจะยังคงมีแสงสว่าง แต่หากเราให้ฟืนแก่มันมากเกินไป มันจะลุกลามไปที่อื่นและอาจเกิดความเดือดร้อนขึ้นในสักวัน หมั่นเติมฟืนทุกวัน อย่าให้มาก อย่าให้เกิน อย่าให้ดับ ปกป้องมันตลอดเวลา อยู่แบบกลางๆ ไม่ขาดไม่เกิน นี่คือความรักที่เรามีและสามารถให้เธอได้ มาถึงช่วงวัยมัธยมที่ 2 ช่วงวัยนี้เป็นช่วงที่เราหมกหมุ่นอยู่กับหนังสือพัฒนาตัวเองอย่างมาก เพราะเราโดนเพื่อนเกลียดเยอะมากเลยตัดสินใจมาหาหนังสืออ่านเพื่อแก้ปัญหาว่า "ทำไมกูโดนเพื่อนเกลียด'' จนในวันนึงที่เราอ่านหนังสือและไปเจอประโยคนึงที่เค้าพูดว่า "คนฉลาดนั้นคิดทุกคำที่พูด แต่จะไม่พูดทุกคำที่คิด" เรานี่แบบ....คิดในใจ (ไอ้เ ี้ย ที่ผ่านมานี่กูโง่หรอเนี่ย) เราก็..โอเครงั้นวันนี้เราขอฉลาดขึ้นกว่าเมื่อวานแล้วกัน ช่วงม.2นั้น เราเป็นคนที่เงียบและสุขุมกว่าเดิม เรารู้มากแต่จะไม่พูดมาก เราฟังมากแต่จะเลือกรับฟัง เราคิดวิเคาระห์หนักมากกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา(ยกเว้นเลขกับวิทย์เราไม่เอา) เราในช่วงนั้นคิดว่าเรารู้ทุกอย่างแล้ว เลยมีท่าทางที่คนในช่วงนั้นเห็นแล้วคิดว่า "ไอ้หล่อนี่mangดูหยิ่งจังวะ'' แต่จริงๆแล้วเราก็แค่กลัว เรากลัวว่าถ้าพูดอะไรมากคนจะไม่ชอบ ถึงเราจะพูดน้อยคนก็หาว่าเราหยิ่ง เราเรียนรู้มันและผ่านมันไปอย่างเฉียบคม เราหวนย้อนดูอดีตที่เราทำกับคนอื่นๆ จากนั้นเราก็เก็บมาคิดว่า "นั่นใช่กูจริงๆหรอวะ ถ้าเป็นกูกูจะไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน" แต่เราลืมไปว่าเรื่องต่างๆที่เราเก็บมาคิดนั้นเป็นเพียงอดีตที่ผ่านมาแล้ว เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขมันได้ สิ่งเดียวที่ตอนนั้นเรารู้ดีคือ เรื่องราวเหล่านั้นมันเป็นเป็นบทเรียนที่ติดตัวเราตลอดชีวิต เราไม่ต้องการลืมมันหรอก ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม เราอยากเก็บเอามันมาคิดและจะคิดถึงวันเก่าๆเหล่านั้นที่ใช้ไป เราไม่อยากจะให้จดหมายรักทุกฉบับของเราที่ส่งให้เธอมันเป็นแค่เรื่องที่เสียเวลา เรายืนยันด้วยความสัตย์จริงเลยว่า จดหมายรักทุกฉบับที่เรากำลังเขียนหรือเขียนไปแล้ว มันเป็นการใช้เวลาที่คุมค่ามากสำหรับเรา เราใช้เวลาไปกับคนที่เราชอบ การใช้เวาลากับสิ่งที่เราอยากทำ แม้ยามหลับหรือยามตื่นความรู้สึกเรามันยังชัดเจนว่าเรายังชอบเธออยู่ และมันยังคงอยู่ตราบเท่าวันนี้ที่เธอได้อ่าน เราไม่เคยคาดหวังเลยว่าจะได้เป็นแฟนกับเธอ แต่เราก็ไม่อยากให้เธอไปเป็นแฟนกับใครเหมือนกัน เห้อ....พูดอย่างงี้เราmangเห็นแก่ตัวอีกละ เราไม่ลบมันนะเพราะเราอยากให้เธอได้อ่าน (อันไหนที่มันทำให้เธอลำบากใจขออย่าให้ไปใส่ใจกับมัน ปล่อยมันผ่านไปเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้น) เพราะเราชอบเธอไง เราเลยไม่อยากให้เธอเก็บเอาทุกคำพูดของเรามาคิด เราไม่รู้เลยว่ามันจะมีกี่คำพูดกันที่เราทำให้เธอลำบากใจ กี่คำพูดที่ทำให้เธอไม่สบายใจและไม่อยากคุยกับเรา เราจะเสียใจมากเลยถ้าเราทำแบบนั้นไปกับเธอ มาต่อกันที่ช่วงมัธยมที่ 3 กันดีกว่า ช่วงมัธยมที่ 3 เป็นช่วงที่เรากำลังคิดกับตัวเองว่า ''กูจะเรียนต่อหรือกูจะออกมาทำงานเลยวะ'' เราใช้เวลาคิดและลองทำสิ่งที่สอดคล้องกับเป้าหมายดูแล้ว ผลลัพธ์ปรากฎว่าเราไม่ชอบการเรียนเลย ปัจจัยที่ทำให้เราไม่ชอบนั้นมีอยู่มากมาย แต่เราจะขอยกขึ้นมาสั้นๆสักสองสามข้อให้เธอรู้ก็แล้วกัน 1.เรียนออนไลน์ ครูทำธุรส่วนตัวในระหว่างการสอน ซึ่งเราพิจารณาแล้วว่ามันไม่สมควรทำในเวลาสอน เสียเวลาเรียนเรา เราไม่ได้ความรู้ 2.ไม่มีเวลากินข้าว+อาบน้ำ 3.ไม่ชอบฟังเสียงครู มันเป็นเสียงที่ทำให้เราแสลงหูไม่อยากเรียน แค่นี้แหละเหตุผลที่เราไม่เลือกเรียนต่อ ไม่ว่าจะสายอาชีพหรือสายสามัญ เรากลับมามองตัวและสังเหตสิ่งที่เราทำทุกวันแล้ว เราว่าเราชอบด้านธุรกิจมากกว่า เราไม่คิดว่าเรารู้ทุกเรื่องหรอก แต่ที่แน่ๆเรามั่นใจว่าเราเต็มที่กับสิ่งที่เราเลือกแน่นอน แล้วเราจะทำอาชีพอะไร? เราให้คำตอบได้เลยทันทีว่า Businessman แน่นอนครับ ส่วนแหล่งหารายได้เราไม่ขอพูดแล้วกันเดี๋ยวมันจะยาวเกิน เธอคำพูดเปรียบเสมือนอะไรในชีวิตของเธอ? สำหรับชีวิตของเรา คำพูดเปรียบเสมือนดาบ2คมที่สามารถช่วยเราหรือฆ่าเราก็ได้ ถ้าเธอใช้มันเป็นมันจะเป็นประโยชน์ต่อเธอ แต่ถ้าเธอใช้มันไม่เป็นมันจะย้อนกลับมาเล่นงานเธอ ยกตัวอย่างของคำพูดที่เปล่งออกมาจากปากคนขี้โกหกเลยแล้วกัน ถ้ามีคนโกหกเธอจะจับได้ถึงพิรุธเล็กๆน้อยๆจากคนเหล่านั้น ถ้าเป็นคนที่พึ่งหัดโกหกใหม่ๆคนพวกนี้จะมีพิรุธเยอะมาก จนจับได้ทันทีเลยว่า "คนนี้กำลังโกหก'' แต่ถ้าเธอได้เจอคนที่เค้าเรียกว่า ''คนหลอกลวง'' คนประเภทนี้จะใช้คำพูดเก่งมาก ไม่เชิงหลอก ไม่เชิงจริง คำพูดที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ คำพูดที่คนโง่มักจะตกเป็นเหยื่อ พวกนี้เป็นพวกที่โกหกหน้าใส แยบยลและแนบเนียนจนเราไม่รู้เลยว่า เค้าเอาใจหรือเอาเหลี่ยมเข้ามาคุย เธอจะสังเกตเจอคนเหล่านี้ได้ยังไง 1.ประสบการณ์ 2.หนัง และอื่นๆ คำพูดของคนขี้โกหกต่างจากคนที่ซื่อสัตย์ตรงที่ 1.คนที่ซื่อสัตย์ใช้เวลาคิดกับเรื่องๆนึงที่เค้าคิดว่าสำคัญนานมาก 2.คนซื่อสัตย์เค้ากระทำตามที่เค้าพูด 3.คนซื่อสัตย์พูดแล้วไม่คืนคำ และอื่นๆ ที่เราพูดมาทั้งหมดนี้ เราเพียงแค่ต้องการให้เธอรู้ว่า "เราสามารถใช้คำพูดจีบเธอติดได้หรือเราสามารถใช้คำพูดให้เธอเกลียดได้'' แทนที่เราจะพูดแบบซื่อสัตย์ออกไปเลย หรือพูดแบบคนหลอกลวงออกไป เราเลือกที่จะไม่เป็นทั้ง2แบบ เราเลือกที่จะพูดแบบตรงไปตรงมามากกว่า เพื่อให้เธอได้รู้ว่า ลักษณะนิสัยเราเป็นยังไง เอาละจบไปแล้วกับ ช่วงเวลามัธยมต้นของเรา ที่นี้เราจะมาพูดถึงชีวิตสีสันที่โรงเรียนเราบ้าง มีเด็กคนนึงศึกษาอยู่ที่โรงเรียนชายล้วนแห่งหนึ่ง เค้าเป็นเด็กที่ถูกมองว่า น่ารัก กวนตีน หล่อ น่านับถือ
ปัญญาอ่อน และต่างๆมากมายจากมุมมองของคนที่แตกต่างกันไป โดยรวมแล้วเค้าคิดว่าเค้าเป็นคนแบบไหน เราตอบเลยว่า ''เออนี่มองๆแล้วกูก็หล่อเหมือนกันนะเนี่ยสงสัยต้องไปหาหมอแล้ว'' อ้าวทำไมอ่ะ ''อ๋อพอดีที่บ้านพี่ไม่มียาแห้หล่ออ่ะ'' อะฮิอะฮิอะฮิ หยอกๆ ในมุมมองครูเค้าเป็นคนยังไงครับ ''เอ่อเค้าก็เป็นเด็กดีนะ ส่วนมากมาโรงเรียนทีก็ 8.30 หรือ 9.10'' เอ้าสายขนาดนี้ครูไม่ทำโทษหรอครับ แล้วทำไมถึงตัดสินใจมาสายครับ ''ผมก็โดนตักเตือนบ่อยนะจนเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาของอาจารย์หลายท่าน เพื่อนก็ชอบล้อว่า นั่นไงmangมาและ เห้ยmangเนียนยกเก้าอี้ว่ะ'' ถามว่าทำไมถึงตัดสินใจมาสาย ''เพราะว่าผมออกกำลังกายดึก เลยต้องนอนให้ครบ 8 ชั่วโมงไม่งั้นผมจะง่วงตอนเรียน'' (จริงๆไม่เกี่ยวหรอกเราไม่ชอบตากแดดตอนเข้าแถวอ่ะมันร้อน)
Chapter โชคชะตาและกาลเวลา