ลาวต่อยอดรถไฟจีน สยายปีกสู่ฮับขนส่งภูมิภาค
https://www.bangkokbiznews.com/business/989142
สปป.ลาวตั้งเป้าขึ้น Transit Hub อาเซียน หลังเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรถไฟและมอเตอร์เวย์ ดันความร่วมมือไทยหนุนการขนส่ง – ท่องเที่ยว รับเปิดประเทศครึ่งปีหลังนี้ มั่นใจหากไทยเปิดไฮสปีดไทย-จีน จะเพิ่มศักยภาพการขนส่งเชื่อมภูมิภาค
"การเปิดให้บริการรถไฟลาวจีน ก่อให้เกิดธุรกิจการให้บริการด้านโลจิสติกส์ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่ของ สปป.ลาว โดยรถไฟเส้นดังกล่าว ปัจจุบันให้บริการขนส่งผู้โดยสาร 2 เที่ยวต่อวัน ได้การตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี ปริมาณผู้โดยสารเต็มเกือบทุกเที่ยว และเชื่อว่าหากโควิด-19 คลี่คลาย จะมีการตอบรับจากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติจากจีน ไทย รวมถึงหลายประเทศในอาเซียน"
ส่วนหนึ่งจากบทสัมภาษณ์ของ
บุญเหลือ สินไซวอระวง รองรัฐมนตรีกระทรวงการเงินแห่งสาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาว ที่กล่าวถึงปรากฎการณ์การเดินทางข้ามประเทศด้วยรถไฟในภูมิอาเซียน นอกจากนี้สปป.ลาวยังมีโครงการทางด่วนที่จะเชื่อมโยงไปยังจีน และเวียดนาม
ทั้งนี้เพื่อเป้าหมายผลักดันให้สปป.ลาวเป็นศูนย์กลางขนส่งในภูมิภาค หรือ Transit Hub ซึ่งนอกจากรถไฟลาว-จีน แล้วปัจจุบันมีแผนจะพัฒนาศูนย์ขนส่งสินค้าในหลายเมือง เช่น เมืองบ่อเต็น รวมไปถึงท่าเรือบกอีก 10 แห่ง ให้เป็นไปตามมาตรฐานระดับสากล หากพัฒนาสำเร็จจะเป็นผลบวกต่อการขนส่งสินค้าเชื่อมโยงในภูมิภาคอาเซียนไปยังจีน และยุโรป
"Transit Hub มายังประเทศไทยผ่านจังหวัดหนองคาย ช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยจากข้อมูลที่มีในขณะนี้พบว่าสินค้าจากไทยไปจีนมี 17 ล้านตู้ต่อปี หากมีรถไฟเชื่อมลาวจีนไทย ทำให้สินค้าไทยไปถึงจีน ใช้เวลาเร็วขึ้น ต้นทุนถูกลง และสามารถเป็นเส้นทางเชื่อมต่อจากจีนไปยังตลาดยุโรป”
ขณะที่การขนส่งสินค้า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาเรื่องการบริหารจัดการ ทั้งด่านศุลกากร ระเบียบการการขนส่งในด้านเอกสาร การประสานงานหน่วยงานต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้บริการขนส่งสินค้าผ่านรถไฟลาวจีนมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยคาดว่าจะพร้อมเต็มรูปแบบได้ภายในไตรมาสแรกปีนี้ ซึ่งจะทำให้การปริมาณการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้น
บุญเหลือ ยังกล่าวด้วยว่า การขนส่งจากชายแดนไทยที่ด่านขนถ่ายสินค้าจังหวัดหนองคาย ท่าเรือบกท่านาแล้ง มีปริมาณสินค้าเพิ่มขึ้น แต่ด่านการค้าทางฝั่งจีนบริเวณบ่อเต็นยังมีอุปสรรคเล็กน้อยในเรื่องของขั้นตอนศุลกากร ซึ่งอยู่ระหว่างการปรับปรุงเงื่อนไขต่างๆ
ทั้งนี้ หากไทยเปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีด) ที่จะเชื่อมต่อจากกรุงเทพฯ มายังจังหวัดหนองคายและต่อกับรถไฟลาวจีน แล้วก็เชื่อว่า จะเป็นโอกาสต่อการขนส่งสินค้าและการท่องเที่ยวของไทยและลาวอย่างชัดเจน โดยโอกาสที่จะเกิดขึ้นกับไทย นอกจาก สปป.ลาวจะเป็นเสมือน Transit Hub ขนส่งสินค้าให้แล้ว ยังจะมีโอกาสในการเดินทางเชื่อมต่อของนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาจากจีนด้วย โดยคาดว่าจะมีปริมาณนักท่องเที่ยวเดินทางเฉลี่ยปีละ 3 – 4 ล้านคน
อย่างไรก็ดี สปป.ลาวยังคาดหวังหากไทยทำความร่วมมือในการอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวจะทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเติบโตอย่างยั่งยืน โดยขณะนี้ สปป.ลาวยังมีแผนเตรียมเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยว
โดยกำหนดทยอยเปิดรับในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ในลักษณะของ Green Zone แบ่งเป็น 3 เดือนแรกปีนี้ ม.ค. - มี.ค. 2565 เปิดรับนักท่องเที่ยวในเมืองเวียงจันทร์ หลวงพระบาง และวังเวียง ส่วนอีก 3 เดือนถัด หรือ เม.ย. - มิ.ย.2565 จะเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวเพิ่มอีก 10 เมือง และในช่วงครึ่งปีหลัง ระหว่าง ก.ค. - ธ.ค.2565 จะกลับมาเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบเหมือนในช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด โดยตั้งเป้าจะเปิดรับนักท่องเที่ยวจากทุกประเทศ
ด้าน
สุลีวัด สุวันนะจูมคำ อธิบดีกรมคุ้มครองหนี้สินสาธารณะ สปป.ลาว กล่าวว่า ปัจจุบันการพัฒนาท่าเรือบก เพื่อเป็นศูนย์รับการกระจายสินค้าในหลายเมือง เช่น พัฒนาท่านาแล้ง รองรับขนส่งสินค้าจากไทยไปจีน 3-5 แสนตู้คอนเทนเนอร์ต่อปี
นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมอื่นๆ เพิ่มเติมที่เป็นลักษณะการให้สัมปทานภาคเอกชนในการดำเนินงานก่อสร้างแบบ BOT เช่น โครงการทางด่วนที่ก่อสร้างแล้วเสร็จเฟสแรกในปีที่ผ่านมา ช่วยลดเวลาเดินทาง ด่วนเวียงจันทน์ถึงวังเวียง มีการเปิดใช้ลดระยะเวลาเดินทางเหลือ 1 ชม จาก 4 ชั่วโมง โดยปัจจุบันยังเหลืออีก 3 เฟสที่จะทยอยพัฒนา ได้แก่ ช่วงวังเวียง - หลวงพระบาง ช่วงหลวงพระบาง - อุดมชัย และช่วงอุดมชัย - บ่อเต็น
“เส้นทางแรกของโครงการมอเตอร์เวย์ เบื้องต้นน่าจะมีการพัฒนาในช่วงอุดมชัย – บ่อเต็นเป็นส่วนแรก เพราะเป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อกับฝั่งจีน เป็นโอกาสที่จะสนับสนุนการขนส่งและเดินทาง นอกจากนี้เรายังมีโครงการพัฒนาทางด่วนที่จะเชื่อมไปชายแดนเวียดนาม และก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทยลาวแห่งที่ 5 บึงกาฬ - บอลิคำไซ ซึ่งจะเชื่อมโยงกับทางด่วนไปเวียดนามได้ด้วย”
คนบ่นยุคข้าวยากหมากแพง
https://www.innnews.co.th/video/general-news-clips/news_294143/
คนบ่นยุคข้าวยากหมากแพง
จากราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้นในรอบที่ผ่านมาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นในตลาดโลกนั้น ยังคงมีผลกระทบต่อการใช้จ่ายของประชาชนส่วนใหญ่ที่ทำให้ค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น
ขณะที่ที่ผ่านมาทางกระทรวงพาณิชย์ได้จัด รถโมบายธงฟ้าในพื้นที่เขตตลิ่งชัน โดยยังคงให้บริการเคลื่อนที่จำหน่ายสินค้าราคาถูก สำหรับราคาสินค้าอุปโภค บริโภค ที่กระทรวงพาณิชย์นำวางขายวันนี้ มีราคาถูกกว่าในตลาดทั่วไป เช่น เนื้อหมูแดงกิโลกรัมละ 150 บาท ไก่น่องติดสะโพกกิโลกรัมละ 65 บาท น้ำมันปาล์มขวดละ 48 บาท ข้าวสารหอมมะลิถุงละ 5ก.ก ราคา 120 บาท ถูกกว่าราคาตลาดที่ 185 บาทและน้ำตาลทรายถุงละ 20 บาท
ด้านเสียงสะท้อนของประชาชนมองว่า การเปิดขายถือเป็นเรื่องดีที่มีสินค้าราคาถูกจากรถโมบายของกระทรวงพาณิชย์มาขายในพื้นที่
ขณะที่มุมมองต่อภาครัฐ อยากให้เข้ามาช่วยเหลืออย่างจริงจังโดยเฉพาะค่าครองชีพที่สูงขึ้นแม้จะมีการปรับลดราคาน้ำมันลงจากการจะเป็นการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันแต่ในส่วนของราคาสินค้ายังไม่ได้ลดลงในทันทีถึงอยากให้รัฐบาลเข้ามาดูแลอย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่าแม้จะมีการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันลง แต่ประชาชนก็ยังคงมีความกังวลในส่วนของภาระค่าครองชีพที่ไม่ได้ลดลงตามแต่อยากให้ภาครัฐเร่งเข้ามาดำเนินการแก้ไขอย่างเต็มที่เพราะมองว่าในขณะนี้เศรษฐกิจเตรียมเข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพง
ดร.อนันต์ เผย อีกไม่นาน BA.2 จะเป็นสายพันธุ์หลัก แทนที่ BA.1 ดุพอ ๆ กับเดลตา
ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา เผย อีกไม่นาน BA.2 อาจจะเป็นโควิดสายพันธุ์หลักแทนที่ BA.1 และผลการวิจัยพบ BA.2 ดุพอ ๆ กับเดลตา เมื่อการป้องกันการติดเชื้อไม่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน การรู้วิธีการตั้งรับที่ดีจะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้
ดร. อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "Anan Jongkaewwattana" ระบุข้อความว่า
อีกไม่นาน BA.2 อาจจะเป็นโควิดสายพันธุ์หลักแทนที่ BA.1 ซึ่งเป็นโอมิครอนสายพันธุ์หลักที่ระบาดเป็นวงกว้างในตอนนี้ ไวรัส BA.2 มีความสามารถในการแพร่กระจายได้ดีกว่า BA.1 ประมาณ 30-40% ความแตกต่างระหว่าง BA.2 กับ BA.1 นอกจากจะมีการเปลี่ยนแปลงบนโปรตีนหนามสไปค์ที่ต่างคนต่างมีการเปลี่ยนแปลงเฉพาะตัวของตัวเองแล้ว
เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงที่ตำแหน่งอื่นนอกโปรตีนหนามสไปค์อาจมีส่วนทำให้ BA.2 มีคุณสมบัติที่โดดเด่นกว่า BA.1 งานวิจัยชิ้นล่าสุดจากทีมญี่ปุ่นมีผลการทดลองที่น่าสนใจ
1. ภูมิคุ้มกันจากวัคซีนจากอาสาสมัครในญี่ปุ่นเมื่อนำมาทดสอบเปรียบเทียบระหว่างไวรัส BA.1 และ BA.2 พบว่า BA.2 หนีภูมิได้สูงกว่า เช่น ภูมิจาก Moderna ถูก BA.1 หนีได้ 15 เท่า แต่ BA.2 หนีได้ 18 เท่า และ ภูมิจาก AZ ถูก BA.1 หนีได้ 17 เท่า แต่ BA.2 หนีได้ 24 เท่า
2. ที่น่าสนใจคือ ภูมิจากการติดเชื้อ BA.1 มา ดูเหมือนจะถูก BA.2 หนีได้เช่นกัน ทั้งๆที่หลายคนเชื่อว่าไวรัสสองตัวนี้เป็นกลุ่มโอมิครอนเหมือนกัน แต่ความแตกต่างระหว่างสองสายพันธุ์นี้ทำให้ภูมิจาก BA.1 ถูกไวรัส BA.2 หนีได้มากถึง เกือบ 3 เท่า ผลจากหนูทดลองที่ได้รับวัคซีนที่ออกแบบจากสไปค์ของ BA.1 ก็ถูก BA.2 หนีได้มากถึง 6.4 เท่า แสดงว่า โอมิครอน 2 สายพันธุ์นี้อาจจะใช้ทำเป็นวัคซีนแทนกันไม่ได้ซะทีเดียว
3. BA.1 เป็นไวรัสที่ไม่รุนแรงในหนูแฮมสเตอร์ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะไวรัสเปลี่ยนไปจนจับโปรตีนตัวรับของสัตว์ทดลองไม่ได้ดี หรือ ไวรัสลดความรุนแรงลงจนติดปอดหนูไม่ได้ดีเหมือนสายพันธุ์ก่อนหน้านี้ แต่ BA.2 ติดหนูแฮมสเตอร์ได้ดีกว่า BA.1 มาก
ทีมวิจัยเชื่อว่า BA.2 อาจจะไม่ใช่โอมิครอนทั่วไปเหมือน BA.1 ทั้งคุณสมบัติของไวรัสที่แตกต่างกัน และ ความแตกต่างทางการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน ไวรัสตัวนี้อาจจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Pi ซึ่งเป็นตัวอักษรตัวถัดไปต่อจากโอมิครอน
ดร.อนันต์ โพสต์ตั้งคำถามระบุ นักวิจัยญี่ปุ่นสรุปว่า BA.2 ดุพอ ๆ กับเดลตา มาจากผลวิจัยติดไวรัสในหนูที่ไม่เคยได้วัคซีน จะใช้อธิบายกับคนได้หรือไม่ ? เป็นคำถามสำคัญ
ล่าสุด ดร.
อนันต์ ระบุว่า ตามสถิติร้อยละการตรวจที่พบคนติดเชื้อสูงสุดของประเทศไทยคือวันที่ 17 สิงหาคม 2564 ซึ่งข้อมูลผู้ติดเชื้อคือ 20,128 ราย โดยช่วงนั้นข้อมูลของ ATK ยังไม่ได้มีการใช้อย่างแพร่หลาย ตัวเลขการติดเชื้อโอมิครอนตอนนี้กำลังใกล้จุดสูงสุดของเดลต้า
แต่ตัวเลขที่แตกต่างกันค่อนข้างชัดคือ จำนวนผู้เสียชีวิตในวันนั้นที่ 239 ราย แต่ช่วงการระบาดตอนนี้ยังเหลือประมาณ 10-20% ของการระบาดช่วงเดลต้า ซึ่งบ่งชี้ว่าภูมิคุ้มกันของเราตอนนี้จากวัคซีนที่ฉีดกันสูงกว่าตอนช่วงพีคเดลต้ามาก จำนวนเคสที่สูงขึ้นแสดงว่าภูมิคงจะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้โดยเฉพาะโอมิครอน
JJNY : ลาวสยายปีกสู่ฮับขนส่งภูมิภาค│คนบ่นยุคข้าวยากหมากแพง│ดร.อนันต์เผยBA.2 จะแทนที่ BA.1│สมชัยเตรียม ยื่นแก้รธน.
https://www.bangkokbiznews.com/business/989142
สปป.ลาวตั้งเป้าขึ้น Transit Hub อาเซียน หลังเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรถไฟและมอเตอร์เวย์ ดันความร่วมมือไทยหนุนการขนส่ง – ท่องเที่ยว รับเปิดประเทศครึ่งปีหลังนี้ มั่นใจหากไทยเปิดไฮสปีดไทย-จีน จะเพิ่มศักยภาพการขนส่งเชื่อมภูมิภาค
"การเปิดให้บริการรถไฟลาวจีน ก่อให้เกิดธุรกิจการให้บริการด้านโลจิสติกส์ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่ของ สปป.ลาว โดยรถไฟเส้นดังกล่าว ปัจจุบันให้บริการขนส่งผู้โดยสาร 2 เที่ยวต่อวัน ได้การตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี ปริมาณผู้โดยสารเต็มเกือบทุกเที่ยว และเชื่อว่าหากโควิด-19 คลี่คลาย จะมีการตอบรับจากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติจากจีน ไทย รวมถึงหลายประเทศในอาเซียน"
ส่วนหนึ่งจากบทสัมภาษณ์ของบุญเหลือ สินไซวอระวง รองรัฐมนตรีกระทรวงการเงินแห่งสาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาว ที่กล่าวถึงปรากฎการณ์การเดินทางข้ามประเทศด้วยรถไฟในภูมิอาเซียน นอกจากนี้สปป.ลาวยังมีโครงการทางด่วนที่จะเชื่อมโยงไปยังจีน และเวียดนาม
ทั้งนี้เพื่อเป้าหมายผลักดันให้สปป.ลาวเป็นศูนย์กลางขนส่งในภูมิภาค หรือ Transit Hub ซึ่งนอกจากรถไฟลาว-จีน แล้วปัจจุบันมีแผนจะพัฒนาศูนย์ขนส่งสินค้าในหลายเมือง เช่น เมืองบ่อเต็น รวมไปถึงท่าเรือบกอีก 10 แห่ง ให้เป็นไปตามมาตรฐานระดับสากล หากพัฒนาสำเร็จจะเป็นผลบวกต่อการขนส่งสินค้าเชื่อมโยงในภูมิภาคอาเซียนไปยังจีน และยุโรป
"Transit Hub มายังประเทศไทยผ่านจังหวัดหนองคาย ช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยจากข้อมูลที่มีในขณะนี้พบว่าสินค้าจากไทยไปจีนมี 17 ล้านตู้ต่อปี หากมีรถไฟเชื่อมลาวจีนไทย ทำให้สินค้าไทยไปถึงจีน ใช้เวลาเร็วขึ้น ต้นทุนถูกลง และสามารถเป็นเส้นทางเชื่อมต่อจากจีนไปยังตลาดยุโรป”
ขณะที่การขนส่งสินค้า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาเรื่องการบริหารจัดการ ทั้งด่านศุลกากร ระเบียบการการขนส่งในด้านเอกสาร การประสานงานหน่วยงานต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้บริการขนส่งสินค้าผ่านรถไฟลาวจีนมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยคาดว่าจะพร้อมเต็มรูปแบบได้ภายในไตรมาสแรกปีนี้ ซึ่งจะทำให้การปริมาณการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้น
บุญเหลือ ยังกล่าวด้วยว่า การขนส่งจากชายแดนไทยที่ด่านขนถ่ายสินค้าจังหวัดหนองคาย ท่าเรือบกท่านาแล้ง มีปริมาณสินค้าเพิ่มขึ้น แต่ด่านการค้าทางฝั่งจีนบริเวณบ่อเต็นยังมีอุปสรรคเล็กน้อยในเรื่องของขั้นตอนศุลกากร ซึ่งอยู่ระหว่างการปรับปรุงเงื่อนไขต่างๆ
ทั้งนี้ หากไทยเปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีด) ที่จะเชื่อมต่อจากกรุงเทพฯ มายังจังหวัดหนองคายและต่อกับรถไฟลาวจีน แล้วก็เชื่อว่า จะเป็นโอกาสต่อการขนส่งสินค้าและการท่องเที่ยวของไทยและลาวอย่างชัดเจน โดยโอกาสที่จะเกิดขึ้นกับไทย นอกจาก สปป.ลาวจะเป็นเสมือน Transit Hub ขนส่งสินค้าให้แล้ว ยังจะมีโอกาสในการเดินทางเชื่อมต่อของนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาจากจีนด้วย โดยคาดว่าจะมีปริมาณนักท่องเที่ยวเดินทางเฉลี่ยปีละ 3 – 4 ล้านคน
อย่างไรก็ดี สปป.ลาวยังคาดหวังหากไทยทำความร่วมมือในการอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวจะทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเติบโตอย่างยั่งยืน โดยขณะนี้ สปป.ลาวยังมีแผนเตรียมเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยว
โดยกำหนดทยอยเปิดรับในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ในลักษณะของ Green Zone แบ่งเป็น 3 เดือนแรกปีนี้ ม.ค. - มี.ค. 2565 เปิดรับนักท่องเที่ยวในเมืองเวียงจันทร์ หลวงพระบาง และวังเวียง ส่วนอีก 3 เดือนถัด หรือ เม.ย. - มิ.ย.2565 จะเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวเพิ่มอีก 10 เมือง และในช่วงครึ่งปีหลัง ระหว่าง ก.ค. - ธ.ค.2565 จะกลับมาเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบเหมือนในช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด โดยตั้งเป้าจะเปิดรับนักท่องเที่ยวจากทุกประเทศ
ด้านสุลีวัด สุวันนะจูมคำ อธิบดีกรมคุ้มครองหนี้สินสาธารณะ สปป.ลาว กล่าวว่า ปัจจุบันการพัฒนาท่าเรือบก เพื่อเป็นศูนย์รับการกระจายสินค้าในหลายเมือง เช่น พัฒนาท่านาแล้ง รองรับขนส่งสินค้าจากไทยไปจีน 3-5 แสนตู้คอนเทนเนอร์ต่อปี
นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมอื่นๆ เพิ่มเติมที่เป็นลักษณะการให้สัมปทานภาคเอกชนในการดำเนินงานก่อสร้างแบบ BOT เช่น โครงการทางด่วนที่ก่อสร้างแล้วเสร็จเฟสแรกในปีที่ผ่านมา ช่วยลดเวลาเดินทาง ด่วนเวียงจันทน์ถึงวังเวียง มีการเปิดใช้ลดระยะเวลาเดินทางเหลือ 1 ชม จาก 4 ชั่วโมง โดยปัจจุบันยังเหลืออีก 3 เฟสที่จะทยอยพัฒนา ได้แก่ ช่วงวังเวียง - หลวงพระบาง ช่วงหลวงพระบาง - อุดมชัย และช่วงอุดมชัย - บ่อเต็น
“เส้นทางแรกของโครงการมอเตอร์เวย์ เบื้องต้นน่าจะมีการพัฒนาในช่วงอุดมชัย – บ่อเต็นเป็นส่วนแรก เพราะเป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อกับฝั่งจีน เป็นโอกาสที่จะสนับสนุนการขนส่งและเดินทาง นอกจากนี้เรายังมีโครงการพัฒนาทางด่วนที่จะเชื่อมไปชายแดนเวียดนาม และก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทยลาวแห่งที่ 5 บึงกาฬ - บอลิคำไซ ซึ่งจะเชื่อมโยงกับทางด่วนไปเวียดนามได้ด้วย”
คนบ่นยุคข้าวยากหมากแพง
https://www.innnews.co.th/video/general-news-clips/news_294143/
คนบ่นยุคข้าวยากหมากแพง
จากราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้นในรอบที่ผ่านมาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นในตลาดโลกนั้น ยังคงมีผลกระทบต่อการใช้จ่ายของประชาชนส่วนใหญ่ที่ทำให้ค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น
ขณะที่ที่ผ่านมาทางกระทรวงพาณิชย์ได้จัด รถโมบายธงฟ้าในพื้นที่เขตตลิ่งชัน โดยยังคงให้บริการเคลื่อนที่จำหน่ายสินค้าราคาถูก สำหรับราคาสินค้าอุปโภค บริโภค ที่กระทรวงพาณิชย์นำวางขายวันนี้ มีราคาถูกกว่าในตลาดทั่วไป เช่น เนื้อหมูแดงกิโลกรัมละ 150 บาท ไก่น่องติดสะโพกกิโลกรัมละ 65 บาท น้ำมันปาล์มขวดละ 48 บาท ข้าวสารหอมมะลิถุงละ 5ก.ก ราคา 120 บาท ถูกกว่าราคาตลาดที่ 185 บาทและน้ำตาลทรายถุงละ 20 บาท
ด้านเสียงสะท้อนของประชาชนมองว่า การเปิดขายถือเป็นเรื่องดีที่มีสินค้าราคาถูกจากรถโมบายของกระทรวงพาณิชย์มาขายในพื้นที่
ขณะที่มุมมองต่อภาครัฐ อยากให้เข้ามาช่วยเหลืออย่างจริงจังโดยเฉพาะค่าครองชีพที่สูงขึ้นแม้จะมีการปรับลดราคาน้ำมันลงจากการจะเป็นการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันแต่ในส่วนของราคาสินค้ายังไม่ได้ลดลงในทันทีถึงอยากให้รัฐบาลเข้ามาดูแลอย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่าแม้จะมีการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันลง แต่ประชาชนก็ยังคงมีความกังวลในส่วนของภาระค่าครองชีพที่ไม่ได้ลดลงตามแต่อยากให้ภาครัฐเร่งเข้ามาดำเนินการแก้ไขอย่างเต็มที่เพราะมองว่าในขณะนี้เศรษฐกิจเตรียมเข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพง
เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงที่ตำแหน่งอื่นนอกโปรตีนหนามสไปค์อาจมีส่วนทำให้ BA.2 มีคุณสมบัติที่โดดเด่นกว่า BA.1 งานวิจัยชิ้นล่าสุดจากทีมญี่ปุ่นมีผลการทดลองที่น่าสนใจ
1. ภูมิคุ้มกันจากวัคซีนจากอาสาสมัครในญี่ปุ่นเมื่อนำมาทดสอบเปรียบเทียบระหว่างไวรัส BA.1 และ BA.2 พบว่า BA.2 หนีภูมิได้สูงกว่า เช่น ภูมิจาก Moderna ถูก BA.1 หนีได้ 15 เท่า แต่ BA.2 หนีได้ 18 เท่า และ ภูมิจาก AZ ถูก BA.1 หนีได้ 17 เท่า แต่ BA.2 หนีได้ 24 เท่า
2. ที่น่าสนใจคือ ภูมิจากการติดเชื้อ BA.1 มา ดูเหมือนจะถูก BA.2 หนีได้เช่นกัน ทั้งๆที่หลายคนเชื่อว่าไวรัสสองตัวนี้เป็นกลุ่มโอมิครอนเหมือนกัน แต่ความแตกต่างระหว่างสองสายพันธุ์นี้ทำให้ภูมิจาก BA.1 ถูกไวรัส BA.2 หนีได้มากถึง เกือบ 3 เท่า ผลจากหนูทดลองที่ได้รับวัคซีนที่ออกแบบจากสไปค์ของ BA.1 ก็ถูก BA.2 หนีได้มากถึง 6.4 เท่า แสดงว่า โอมิครอน 2 สายพันธุ์นี้อาจจะใช้ทำเป็นวัคซีนแทนกันไม่ได้ซะทีเดียว
3. BA.1 เป็นไวรัสที่ไม่รุนแรงในหนูแฮมสเตอร์ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะไวรัสเปลี่ยนไปจนจับโปรตีนตัวรับของสัตว์ทดลองไม่ได้ดี หรือ ไวรัสลดความรุนแรงลงจนติดปอดหนูไม่ได้ดีเหมือนสายพันธุ์ก่อนหน้านี้ แต่ BA.2 ติดหนูแฮมสเตอร์ได้ดีกว่า BA.1 มาก
ทีมวิจัยเชื่อว่า BA.2 อาจจะไม่ใช่โอมิครอนทั่วไปเหมือน BA.1 ทั้งคุณสมบัติของไวรัสที่แตกต่างกัน และ ความแตกต่างทางการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน ไวรัสตัวนี้อาจจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Pi ซึ่งเป็นตัวอักษรตัวถัดไปต่อจากโอมิครอน
ดร.อนันต์ โพสต์ตั้งคำถามระบุ นักวิจัยญี่ปุ่นสรุปว่า BA.2 ดุพอ ๆ กับเดลตา มาจากผลวิจัยติดไวรัสในหนูที่ไม่เคยได้วัคซีน จะใช้อธิบายกับคนได้หรือไม่ ? เป็นคำถามสำคัญ
ล่าสุด ดร.อนันต์ ระบุว่า ตามสถิติร้อยละการตรวจที่พบคนติดเชื้อสูงสุดของประเทศไทยคือวันที่ 17 สิงหาคม 2564 ซึ่งข้อมูลผู้ติดเชื้อคือ 20,128 ราย โดยช่วงนั้นข้อมูลของ ATK ยังไม่ได้มีการใช้อย่างแพร่หลาย ตัวเลขการติดเชื้อโอมิครอนตอนนี้กำลังใกล้จุดสูงสุดของเดลต้า
แต่ตัวเลขที่แตกต่างกันค่อนข้างชัดคือ จำนวนผู้เสียชีวิตในวันนั้นที่ 239 ราย แต่ช่วงการระบาดตอนนี้ยังเหลือประมาณ 10-20% ของการระบาดช่วงเดลต้า ซึ่งบ่งชี้ว่าภูมิคุ้มกันของเราตอนนี้จากวัคซีนที่ฉีดกันสูงกว่าตอนช่วงพีคเดลต้ามาก จำนวนเคสที่สูงขึ้นแสดงว่าภูมิคงจะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้โดยเฉพาะโอมิครอน