เห็นว่าเป็นความรู้ใหม่ เลยเอามาให้อ่านใน pantip ครับ
ที่มา
https://www.facebook.com/981730071860547/posts/5425621347471375/
.....
6- ที่ประเทศไทยจะต้องทำนอกเหนือกว่านั้น ก็คือเตือนประชาชนและบุคลากรสาธารณสุขว่า
โควิดปัจจุบันสามารถแสดงอาการแบบมาตรฐานคือทางระบบทางเดินหายใจ ไอ เจ็บคอ ไข้ และที่สำคัญก็คือ มีอาการนอกมาตรฐานทางระบบอื่น เช่น ปวดหัว ท้องเสีย ปวดเมื่อย เพลียจัด เหนื่อยจากระบบหัวใจ ความดันโลหิตตก จังหวะการเต้นหัวใจผิดปกติ ได้ หริอ อาการทางสมองอักเสบ ชัก ซึม ไม่รู้สึกตัว
และอาการนอกระบบดังกล่าวต้องนำมายืนยัน โดยไม่ใช่เอทีเคอย่างเดียว แต่ต้องเป็นพีซีอาร์และตัวอย่าง ที่นำมาตรวจไม่ได้จำกัดแต่ว่าจะต้องเป็นน้ำลายหรือสิ่งคัดหลั่งจากโพรงจมูก เท่านั้น แต่รวมถึงอุจจาระ และเลือด แล้วแต่อาการและระบบ ที่เป็น
7- โอไมครอน พี่ BA.1 ในที่สุดจะถูกทดแทนด้วยโอไมครอนน้อง BA.2 ที่มีความสามารถในการติดและการแพร่เก่งกว่า เกือบสองเท่าหลบหลีกภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อคราวก่อนได้ แม้จะเป็นโอไมครอนตัวพี่ และหลีกหลบภูมิที่ได้จากการฉีดวัคซีนไม่ว่าจะยี่ห้อใดก็ตาม
ข้อสำคัญคือการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่าทำให้เกิดมีความรุนแรงมากกว่าโอไมครอนตัวพี่
8- ความสามารถของวัคซีนในการป้องกันการติดเชื้อขณะนี้ค่อนข้างจำกัดจนถึงเลวมาก โดยหวังป้องกันอาการหนักเท่านั้น
ดังนั้นการพิจารณาการฉีดในเด็กตั้งแต่ห้าถึง 11 ปีและจนกระทั่งหกเดือนจนถึงอายุสี่ปี เป็นเรื่องที่หาคำตอบชัดเจนไม่ได้ ทั้งนี้ เนื่องจาก
ก. เมื่อป้องกันการติดไม่ได้ในเด็ก ก็ยังสามารถแพร่เชื้อไปให้ผู้ใหญ่ในครอบครัวได้ดังที่ปรากฏเห็นอยู่ชัดเจนในขณะนี้
ข. ยังไม่สามารถตอบได้ชัดเจนว่า การฉีดวัคซีนในกลุ่มหกเดือนถึง 11 ปี จะได้ประโยชน์ในการป้องกันอาการหนักหรือเสียชีวิตได้หรือไม่ เนื่องจากอาการก็ไม่หนักมากอยู่แล้ว
และนอกจากนั้น ยังไม่มีข้อพิสูจน์ชัดเจนว่าการฉีดวัคซีนจะสามารถป้องกันภาวะลองโควิด ที่เกิดตามหลังโอไมครอนได้ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตามหลังจากที่ติดไปแล้ว
ค. ผลแทรกซ้อนของวัคซีนไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อไหนก็ตามเป็นเรื่องจริงและต้องมีความโปร่งใสในการให้ข้อมูล ทั้งนี้ผลแทรกซ้อนดังกล่าวเกิดขึ้นได้ทุกอายุไม่ว่าจะมีโรคประจำตัวหรือไม่ก็ตามและมีปรากฏการณ์ได้ทุกระบบ
ทั้งนี้ การที่ต้องมีความโปร่งใสเ นื่องจากจะเป็นการแสดงความรับผิดชอบในการนำวัคซีนมาใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งต้องมีการป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้น “อย่างสูงสุด” และเป็นที่มาถึงการต้องฉีดวัคซีนเข้าชั้นผิวหนังซึ่งมีกลไกต่างกับการฉีดเข้ากล้ามและสามารถลดอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้
ข้อมูลใหม่ของ โควิด โอไมครอน 2 จากเพจหมอธีรวัฒน์
ที่มา
https://www.facebook.com/981730071860547/posts/5425621347471375/
.....
6- ที่ประเทศไทยจะต้องทำนอกเหนือกว่านั้น ก็คือเตือนประชาชนและบุคลากรสาธารณสุขว่า
โควิดปัจจุบันสามารถแสดงอาการแบบมาตรฐานคือทางระบบทางเดินหายใจ ไอ เจ็บคอ ไข้ และที่สำคัญก็คือ มีอาการนอกมาตรฐานทางระบบอื่น เช่น ปวดหัว ท้องเสีย ปวดเมื่อย เพลียจัด เหนื่อยจากระบบหัวใจ ความดันโลหิตตก จังหวะการเต้นหัวใจผิดปกติ ได้ หริอ อาการทางสมองอักเสบ ชัก ซึม ไม่รู้สึกตัว
และอาการนอกระบบดังกล่าวต้องนำมายืนยัน โดยไม่ใช่เอทีเคอย่างเดียว แต่ต้องเป็นพีซีอาร์และตัวอย่าง ที่นำมาตรวจไม่ได้จำกัดแต่ว่าจะต้องเป็นน้ำลายหรือสิ่งคัดหลั่งจากโพรงจมูก เท่านั้น แต่รวมถึงอุจจาระ และเลือด แล้วแต่อาการและระบบ ที่เป็น
7- โอไมครอน พี่ BA.1 ในที่สุดจะถูกทดแทนด้วยโอไมครอนน้อง BA.2 ที่มีความสามารถในการติดและการแพร่เก่งกว่า เกือบสองเท่าหลบหลีกภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อคราวก่อนได้ แม้จะเป็นโอไมครอนตัวพี่ และหลีกหลบภูมิที่ได้จากการฉีดวัคซีนไม่ว่าจะยี่ห้อใดก็ตาม
ข้อสำคัญคือการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่าทำให้เกิดมีความรุนแรงมากกว่าโอไมครอนตัวพี่
8- ความสามารถของวัคซีนในการป้องกันการติดเชื้อขณะนี้ค่อนข้างจำกัดจนถึงเลวมาก โดยหวังป้องกันอาการหนักเท่านั้น
ดังนั้นการพิจารณาการฉีดในเด็กตั้งแต่ห้าถึง 11 ปีและจนกระทั่งหกเดือนจนถึงอายุสี่ปี เป็นเรื่องที่หาคำตอบชัดเจนไม่ได้ ทั้งนี้ เนื่องจาก
ก. เมื่อป้องกันการติดไม่ได้ในเด็ก ก็ยังสามารถแพร่เชื้อไปให้ผู้ใหญ่ในครอบครัวได้ดังที่ปรากฏเห็นอยู่ชัดเจนในขณะนี้
ข. ยังไม่สามารถตอบได้ชัดเจนว่า การฉีดวัคซีนในกลุ่มหกเดือนถึง 11 ปี จะได้ประโยชน์ในการป้องกันอาการหนักหรือเสียชีวิตได้หรือไม่ เนื่องจากอาการก็ไม่หนักมากอยู่แล้ว
และนอกจากนั้น ยังไม่มีข้อพิสูจน์ชัดเจนว่าการฉีดวัคซีนจะสามารถป้องกันภาวะลองโควิด ที่เกิดตามหลังโอไมครอนได้ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตามหลังจากที่ติดไปแล้ว
ค. ผลแทรกซ้อนของวัคซีนไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อไหนก็ตามเป็นเรื่องจริงและต้องมีความโปร่งใสในการให้ข้อมูล ทั้งนี้ผลแทรกซ้อนดังกล่าวเกิดขึ้นได้ทุกอายุไม่ว่าจะมีโรคประจำตัวหรือไม่ก็ตามและมีปรากฏการณ์ได้ทุกระบบ
ทั้งนี้ การที่ต้องมีความโปร่งใสเ นื่องจากจะเป็นการแสดงความรับผิดชอบในการนำวัคซีนมาใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งต้องมีการป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้น “อย่างสูงสุด” และเป็นที่มาถึงการต้องฉีดวัคซีนเข้าชั้นผิวหนังซึ่งมีกลไกต่างกับการฉีดเข้ากล้ามและสามารถลดอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้