ยาวมากนะคะ และอาจวนไปมา แต่พยายามจะเขียนให้เล่าเรื่องได้มากที่สุดค่ะ
เดิมเรากับสามีรักกันมากค่ะ สามีให้เก็บทุกบาททุกสตางค์
สามีรายได้น้อยกว่าเราเกือบ 5-6เท่าค่ะ และครอบครัวเค้าไม่มีสมบัติอะไรเลย ย้ำว่าไม่มีเลยนะคะ ซึ่งเรารู้ตั้งแต่ตอนแต่งงาน แต่แม่เราบอกบ้านเราไม่ได้เดือดร้อนอะไร ขอให้ได้คนดีที่ดูแลเราดีก็พอแล้ว ตอนนั้นเค้าดีจริงๆค่ะ หน้าที่การเงินก็ดี ไปมาลาไหว้ เราบอกเค้าตั้งแต่ก่อนแต่งงานว่า บ้านเราผู้หญิงเก็บเงินนะอเค้าจะโอเคไหม เค้าบอกเค้าโอเค เพราะไม่คิดจะเลิกกับเราอยู่แล้ว อยู่กันแบบมีความสุขมาเป็นสิบปีค่ะ แม้เงินที่เค้าให้เราจะน้อย แต่ก็เป็นส่วนใหญ่ของเค้า บางส่วนเค้าโอนให้พ่อแม่เค้าบ้าง เราก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไป ก็ลูกเค้าแม่เค้านะคะ เราไม่คิดอะไรเพราะเห็นเป็นครอบครัว จริงๆเงินที่เค้าให้มาแค่ใช้จ่ายค่าอาหาร ค่าผ่อนบ้าน รถ ก็ไม่พอแล้ว แต่เราไม่เคยพูดอะไรค่ะ ก็คิดว่าก้อนเดียวกัน มีบางครั้งเค้าได้เงินก้อนมา 1-2 แสน ก็ส่งให้เราโป๊ะหนี้บ้าง แต่โดยรวมแล้ว ค่าใช้จ่ายในบ้าน ก็เหมือนเราเป็นคนออกค่ะ เพราะรายได้เราเยอะกว่า เราก็เก็บแล้วแบ่งไปลงทุน
ส่วนหนึ่งลงอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งช่วงก่อนโควิดผลตอบแทนดีมากค่ะ หลัก หลายแสนทุกเดือน พอมาโควิดไม่มีนักท่องเที่ยว เราปรับมาให้คนไทยเช่ารายเดือน รายได้ลดลงมาก ต้องออกส่วนต่างเพื่อผ่อนธนาคารเอง แต่ก็พอไหว เพราะรายได้เราเยอะ และเราหารายได้หลายทาง
เริ่มเกิดเรื่องเมื่อปีที่ผ่านมานี้ค่ะ ปรกติแม่สามีเราเค้าจะโทรหาลูกค้าทุกวัน โทรมาบ้าง ไลน์มาหาสามีเราบ้าง ทุกวันค่ะ ว่าบ้านตึกที่ใเรายกให้อยู่ที่จังหวัดบ้านเกิดเรา อยู่ไม่สบาย มีมอด มีแมลงเหม็นเข้าบ้านบ้าง บางวันมีตัวจิ้งเหลนมาโผล่ป่าหลังบ้านบ้าง
(พ่อแม่สามีเราจริงๆมีบ้านเป็นตึกอยู่ที่อีกจังหวัดค่ะ เป็นตึกของอากงเค้าที่เสียชีวิตไปแล้ว พ่อเค้าได้เป็นมรดก แต่ไม่ได้อยู่ค่ะ เอาให้คนเซ้งรายปี รายได้เค้าก็เดือนละหลักหมื่นนะคะ แต่เห็นพอได้เงิน เอาเข้าธนาคารให้หลานคนโตหมดค่ะ แล้วเช่าหอพักอยู่
ตอนที่เราซื้อตึกที่ จังหวัดนี้ แล้วคนเช่าออก สามีบอกว่าขอให้พ่อแม่เข้ามาอยู่ สงสารที่แกอยู่หอพัก และมันอยู่ใกล้ กทม มากกว่าบ้านเกิดเค้า และคนที่บ้านเกิดเค้าก็ไม่ค่อยดีกับพ่อแม่เค้า เราก็ให้ทันที เพราะถือเป็นการตอบแทนท่านค่ะ โดยไม่ได้คิดค่าเช่าอะไรเลย (เดิมตึกมีคนเช่า ค่าเช่าอยู่ที่เดือนละหลักหมื่นค่ะ) ) ทีนี้ท่านอยู่มาร่วมสามปี ตลอดเวลาไม่เคยต่อเติมครัว หรือ ซ่อมแซมอะไรที่ตึกเลยค่ะ ตอนแรกเราก็ไม่ได้คิดอะไร แค่ช่วงหลัง แปลกใจว่าทำไม เค้าถึงทนอยู่สภาพนั้น ไม่ทำอะไรเลย และไม่สงสารลูกเลย ลูกอุตส่าห์ให้อยู่แต่โทรมาบ่นทุกวัน โทรมาทุกวันจริงๆค่ะ วันละหลายๆรอบ ว่าอยู่ไม่สบายนอนไม่หลับเพราะหน้าบ้านติดถนนเสียงดังบ้าง ข้างบ้านสูบบุหรี่บ้าง ทะเบาะกับบ้านตรงข้ามบ้าง ไฟดับบ้าง หมอแปลงระเบิด(นอกบ้าน ที่ถนนใหญ่ค่ะ) แต่อารมณ์ประมาณ ไฟจะไหม้ กลัวไฟครอกค่ะ
-ไฟดับนี่เป็นเรื่องอีกเรื่องนึง ที่บ่นนานมาก เพราะท่านโทรเรียกช่างไฟ ช่างไฟบอกให้รอคิวเพราะลูกค้าเยอะ ก็โทรมาฟ้องลูกชายว่าลำบาก ช่างไม่โอเคเลย พอช่างมา เค้าบอกให้เปลี่ยนคัตเอาท์ พันกว่าบาท ก็ถามจี้ช่างว่าเปลี่ยนแล้วจะหาย100%เลยไหม จะเป็นอีกไหม ช่างก็ตอบตามตรงว่า ไม่มีอะไร100% แต่อาการตอนนี้ก็จะหาย แต่อาจจะเป็นอีก ท่านก็ด่าช่างไฟค่ะ หาว่าเค้าจะหลอกเอาเงิน เปลี่ยนแล้วไม่หายจะเปลี่ยนทำไม สรุปไม่เปลี่ยน ช่างเลยขอค่าแรงที่วิ่งรถเข้ามาดู300 บาท ท่านก็ว่าเค้าว่าไม่ได้ทำอะไรให้ยังคิดเงินอีก.... คือ พอเข้าใจค่ะ ว่าทำไมช่างไม่ค่อยอยากเข้ามา
แล้วท่านก็จะโทรมาบ่นกับลูกท่านแบบนี้ทุกวันค่ะ ว่าไม่สบาย อยู่ไม่ได้ จริงๆมีคนมาบอกเราว่าท่านไปอวดเพื่อนๆว่าลูกทำงานมีหน้ามีตา แต่ท่านอายเพื่อนค่ะที่อยู่ตึกแถว คงอยากได้บ้านสวยๆ เป็นหลังๆ เพราะเป็นคนถือตัวพอสมควรค่ะ จากที่ได้ยินท่านชอบว่าคนอื่นๆบ่อยๆว่า ฉันระดับนี้ๆนะจะลดตัวไปคุยกับคนแบบนั้นทำไม (เราก็ไม่เห็นจะระดับไหนเลยค่ะ คนทุกคนก็เป็นคน เรายังไม่เข้าใจทุกวันนี้ว่า แค่คนอื่นที่ไม่รู้จักกันเค้าไม่เอาใจตัวเอง จะไปว่าเค้าทำไม)
แล้วคุณแม่สามีจะป่วยบ่อยมาก และจะร้องไห้ขอเข้ามาหาหมอที่ กทม. เพื่อให้ลูกดูแล (สามีเรารับราชการค่ะ เบิกได้ทุกรพ. แต่แกจะไม่พอใจค่ะ ต้องได้ที่ที่ดีที่สุด) เฉลี่ยคือ มาอาทิตย์เว้นอาทิตย์ค่ะ แต่หาสาเหตุไม่เจอ เป็นมาหลายปีแล้ว ได้แต่รักษาตามอาการ บางทีกลับบ้านได้ 3 วันร้องไห้ขอมาใหม่ค่ะ บอกไม่สบายมากอาการเดิม สามีเราจะไม่เคยว่าหรือขัดแม่เค้าเลยค่ะ
จนสุดท้ายช่วงปีที่ผ่านมา สามีเรามาขอซื้อบ้านเป็นหลังๆให้ท่าน เพราะแม่สามีอยากอยู่บ้านเป็นหลังค่ะ เราก็บอกว่ายินดี แต่มาช่วยกันวางแผนการเงินก่อน เพราะตอนนี้เงินจากทางอสังหาไม่ได้เหมือนก่อนแล้ว งานที่เราทำเงินดีก็จริงแต่ก็เป็นบ.เอกชน เราเสนอว่าประกาศขายตึกที่พ่อแม่อยู่ไหม ได้เงินก้อนมา ก็เอามาหมุนไปซื้อบ้านใหัท่าน ช่วงแรกสามีเราฟัง แต่แม่เค้าก็พูดทุกวันมากขึ้นๆ ตอนหลังพีคขนาดที่ว่า เวลาแม่เราพูดอะไร เค้าจะเก็บเอาไปคิด แล้วบอกลูกเค้าว่าแม่เราดูถูกเค้า เช่น แม่เราเป็นครูเก่า ลูกศิษย์ให้ขนมมา ก็โทรบอกให้แม่สามีมาเอาขนมไปทาน แม่สามีก็ว่าแม่เราอวด ดูถูกแก ชวนไปทานข้าวก็ว่าร้านไม่ถูกใจ สกปรก หลายเรื่องมากจนปวดหัวค่ะ
เราปรึกษาพ่อแม่เรา พ่อเราก็เลยตัดสินใจไม่ให้แม่เราติดต่อแม่สามีเราอีก เพราะทุกครั้งที่คุย เค้าก็หาเรื่องได้ทุกครั้ง (เราสงสัยว่าแม่สามีน่าจะป่วยเหมือนคนสูงวัยอื่นๆที่กลัว ลูกรักคนอื่นมากกว่าตัวเองค่ะ ) เพราะสามีเรา ช่วงแรกเข้ากับครอบครัวเราได้ดีมาก ขนาดที่เรามารีโนเวทบ้าน เตรียมให้เค้ากลับมาอยู่บ้านเรากับพ่อแม่เราเป็นแพลนระยะยาวค่ะ แม่เราปลอบเราว่าให้อดทน ให้สงสารสามีมากๆที่เค้ามีแม่แบบนี้ เพราะทำให้ลูกตัวเองไม่สบายใจตลอด เรียกร้องตลอด แต่จริงๆแม่สามีเค้าจะพูดแบบไม่ได้ขอนะคะ แต่จะบอกเรื่องตัวเองอยู่แล้วไม่สบาย รถเสีย แมลงเข้าบ้าน โดนคนโน้นคนนี้ทำไม่ดีด้วย ไปเรื่อยๆ
แต่เรื่องมาพีค ตอนที่ สามีมาบอกดิฉันว่าขอเก็บเงินเองค่ะ เพราะจะเก็บซื้อบ้านให้พ่อแม่ (ตอนนี้สามีจบโทแล้วจากเมืองนอก หาเงินได้เยอะกว่าเดิมมาก ตอนนี้ได้เป็นหลักแสนค่ะ ซึ่งตลอดเวลาที่เค้าไปเรียน 2ปี เราก็อยู่เมืองไทยตลอด บินไปหาก็เงินเราค่ะ ไปแต่ละทีแม่เราซื้ออาหารไทยใส่กระเป๋าเดินทางใหญ่ไปให้ลูกเขยทีละ2กระเป๋าเดินทาง
เราอยู่เมืองไทยเพราะต้องหาเงินใช้หนี้ แต่เค้าส่งเงินเดือนมาทุกเดือน ซึ่งก็เหมือนเดิม ไม่พอค่ะ แต่เราไม่พูดอะไร เพราะถือว่าเป็นเงินกระเป๋าเดียวกัน )
พอเค้าขอเก็บเงินเอง เราก็โอเค แต่ขอให้จัดการค่าใช้จ่ายในบ้านด้วย เพราะไม่ได้รวมกระเป๋าเดียวกันแล้ว แรกๆเค้าจ่ายค่ะ ตอนหลังขอหาร มารู้ทีหลังว่าเอาเงินที่เหลือโอนไปให้พ่อแม่เก็บ แล้วไม่ยอมบอกเรา แล้วเค้าก็ตัดสินใจกู้เซื้อบ้านให้พ่อแม่ทันที 4 ล้านกว่าค่ะ เค้าบอกว่าพ่อแม่เค้าไม่ได้เรียกร้อง แต่เค้าเป็นคนอยากซื้อให้เอง แต่เราแอบได้ยินพ่อเค้าพูดในโทรศัพท์ว่าอยากได้บ้านเป็นหลังๆชัดมากเลยค่ะ
วันไปเซ็นสัญญากู้เราเป็นคู่สมรสก็ไปเซ็นยินยอมให้ เพรระถือว่าเป็นหนี้ร่วม (ก่อนหน้านั้น เรากลัวเค้าเครดิตไม่ผ่าน เราเอาเงินส่วนตัวตัวเองไปโป๊ะ อสังหา3 ที่ที่ขายเพื่อปิดยอดเป็นเงิน 1 ล้านค่ะ เค้าไม่ออกสักบาท -เคยถาม เค้าบอกเราเป็นคนกู้เอง ก็ต้องใช้เองค่ะ ถ้าให้ช่วยคือ เค้าให้แค่ยืม ต้องคืนเค้า ) คราวนี้พอได้บ้าน สามีพฤติกรรมเปลี่ยนค่ะ ไม่สนใจเรา กลับบ้านดึกๆ บอกทำงานหนัก แต่ก็กลับบ้านทุกวันนะคะ และเวลาแม่เค้ามา เค้าจะแอบไปกับที่บ้านเค้าบ่อยๆ โดยไม่ให้เรารู้ จากเดิมกินข้าวกับเพื่อนเอาเราไปด้วย ตอนนี้ไม่เคยชวนค่ะ เราไปที่ทำงานเค้า เค้าก็จะเดินลิ่วๆๆๆ ไม่จูงมือ ไม่ดูแลเหมือนเคยค่ะ
และแม่เค้าก็ยังป่วย ปวดหัว นอนไม่หลับ เวียนหัว ต้องมาหาหมอที่ กทม บ่อยเหมือนเดิม แต่คราวนี้บ่อยกว่าเดิมค่ะ เพราะได้นอนโรงแรมดี สบายแล้ว (สามีเราออกเงิน)
วันหยุดกลับตจว. สามีเราจะตรงเข้าบ้านแม่เค้าเลย ไม่เข้าบ้านเรา ไม่สนใจเข้ามาหาพ่อแม่เราเหมือนก่อน เราอยู่บ้านเรา เค้าไปอยู่บ้านแม่เค้า และไม่ชวนเราเข้าบ้านที่ซื้อใหม่ด้วยค่ะ (แต่ก่อนจะเข้าบ้านเรามาสวัสดีพ่อแม่เราก่อน และค้างกับเราค่ะ แต่แม่เค้าจะมาคอยรับลูกเค้าออกไปกับเค้าตลอด และถ้ากลับ 3วันต้องมีอย่างน้อย 2-3 วันค่ะที่แม่เค้าเอาลูกเค้าไปนอนด้วย ตอนนี้คือไม่ต้องรอรับค่ะ ไม่เข้าบ้านเราเลยจ้า)
วันที่พ่อแม่เค้าย้ายออกจากตึกไปเข้าบ้านที่ซื้อใหม่ พ่อเค้าเอากุญแจมาให้พ่อเรา พอพ่อแม่เราเข้าไปดู คือ ตึกโทรมมาก มีรอยหลานเค้าเอาปากกามาเขียนเล่นไปทั่ว ประตูคนเช่าเดิมทำเป็นรูเค้าก็ไม่ซ่อม ทิ้งไว้แบบเดิม และถอดปั๊มน้ำออกไปด้วยค่ะ
เราถามสามีเราว่า ถอดปั๊มน้ำออกไปแล้ว ตึกนี้บอกจะคืนให้คนมาเช่า คนจะมาเช่ายังไงเปิดน้ำไม่ไหล เค้าก็ไม่ตอบ
พ่อแม่เค้าก็ไม่รับโทรศัพท์
ก็ไม่พ้นแม่เราอีก ที่ต้องไปหาช่างมาซ่อมแซมตึก ติดปั๊มน้ำ และรีโนเวทใหม่ หมดไปเป็นแสน เราจะให้เงินแม่ไม่เอาค่ะ แม่บอกแม่ทำให้เพื่อให้มีคนมาเช่า ลูกจะได้เบาค่าผ่อน
ตอนเราเซ็นให้เค้ากู้บ้านสำเร็จ สามีเคยคุยจะขอหย่า1ครั้ง โดยเราไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เค้าบอกเราเอาแต่ทำงานไม่สนใจเค้า และเราสร้างหนี้(อสังหาที่ลงทุนไปที่เบ่าให้ฟังค่ะ และตอนนั้นเค้าก็เป็นคนเซ็นยินยอมเอง และรู้ทุกอย่าง เพราะเราเล่าให้กันฟังเสมอ แต่เค้าอ้างว่าเค้าไม่รู้เรื่องค่ะ เราเอาอะไรมาให้ก็เซ็น แต่คือเค้ารับรู้ตลอดว่าเรามีทรัพย์นี้ เพราะตอนได้รายได้ดีก็ไม่เคยบ่นค่ะ กินหรูอยู่สบาย กระทั่งเวลาพ่อแม่เค้ามา กทม. เราก็เลี้ยงข้าวนะคะ เพราะช่วงนั้นเราเก็บเงิน แต่พอสามีเก็บเงินเอง เราให้แบ่งจ่ายหนี้ เค้าบอกว่าให้เราขอยืมเงินพ่อแม่เรามาโป๊ะหนี้ทั้งหมดก่อนค่ะ แล้วรอให้เค้าและเราตั้งตัวได้ปี สองปีค่อยเริ่มทยอยใช้หนี้พ่อแม่เรา -แต่เราไม่ยอมค่ะ เพราะเราคิดว่าแล้วถ้าหย่าแล้ว หนี้ธนาคารหมด ก็เท่ากับเค้าไม่มีภาระผูกพัน เหมือนหลอกเอาเงินพ่อแม่เรามาฟรีๆ เราบอกเค้าว่าตั้งแต่เรียนจบมา เราไม่เคยขอเงินพ่อแม่ และทุกวันนี้แม้เป็นหนี้ ก็ไม่เคยลำบาก เพราะมีรายได้เกินหนี้มาทุกเดือน หนี้นี้คือระยะยาวดี ช่วงโควิดก็ดาวน์ธรรมดา แต่เค้าแย้งว่าไม่ใช่หนี้ดีค่ะ เพราะมีส่วนต่างที่ต้องจ่าย)
อีกเรื่องคือ เราอายุเยอะแล้ว อยากมีลูก ช่วงแรกที่ดีๆกันอยู่เคยไปทำด้วยค่ะ แต่ไม่ติด เพราะวันใส่ตัวอ่อนเค้าปล่อยเราไปใส่คนเดียว เพราะเค้าติดงานค่ะ และแน่นอนค่าทำก็เราจ่ายคนเดียวหลักแสน พอจะไปเรียนเมืองนอก ก็บอกเราว่า ขอไปชุบตัวให้เป็นทองก่อน พอกลับมาแล้วจะมีทันที พอกลับมาตั้งตัวได้ มาบอกเราว่าไม่อยากมีลูกค่ะ เค้าไม่ยอมมี
(ต่อในความเห็นนะคะ)
แม่สามีใครเป็นแบบนี้บ้างคะ
เดิมเรากับสามีรักกันมากค่ะ สามีให้เก็บทุกบาททุกสตางค์
สามีรายได้น้อยกว่าเราเกือบ 5-6เท่าค่ะ และครอบครัวเค้าไม่มีสมบัติอะไรเลย ย้ำว่าไม่มีเลยนะคะ ซึ่งเรารู้ตั้งแต่ตอนแต่งงาน แต่แม่เราบอกบ้านเราไม่ได้เดือดร้อนอะไร ขอให้ได้คนดีที่ดูแลเราดีก็พอแล้ว ตอนนั้นเค้าดีจริงๆค่ะ หน้าที่การเงินก็ดี ไปมาลาไหว้ เราบอกเค้าตั้งแต่ก่อนแต่งงานว่า บ้านเราผู้หญิงเก็บเงินนะอเค้าจะโอเคไหม เค้าบอกเค้าโอเค เพราะไม่คิดจะเลิกกับเราอยู่แล้ว อยู่กันแบบมีความสุขมาเป็นสิบปีค่ะ แม้เงินที่เค้าให้เราจะน้อย แต่ก็เป็นส่วนใหญ่ของเค้า บางส่วนเค้าโอนให้พ่อแม่เค้าบ้าง เราก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไป ก็ลูกเค้าแม่เค้านะคะ เราไม่คิดอะไรเพราะเห็นเป็นครอบครัว จริงๆเงินที่เค้าให้มาแค่ใช้จ่ายค่าอาหาร ค่าผ่อนบ้าน รถ ก็ไม่พอแล้ว แต่เราไม่เคยพูดอะไรค่ะ ก็คิดว่าก้อนเดียวกัน มีบางครั้งเค้าได้เงินก้อนมา 1-2 แสน ก็ส่งให้เราโป๊ะหนี้บ้าง แต่โดยรวมแล้ว ค่าใช้จ่ายในบ้าน ก็เหมือนเราเป็นคนออกค่ะ เพราะรายได้เราเยอะกว่า เราก็เก็บแล้วแบ่งไปลงทุน
ส่วนหนึ่งลงอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งช่วงก่อนโควิดผลตอบแทนดีมากค่ะ หลัก หลายแสนทุกเดือน พอมาโควิดไม่มีนักท่องเที่ยว เราปรับมาให้คนไทยเช่ารายเดือน รายได้ลดลงมาก ต้องออกส่วนต่างเพื่อผ่อนธนาคารเอง แต่ก็พอไหว เพราะรายได้เราเยอะ และเราหารายได้หลายทาง
เริ่มเกิดเรื่องเมื่อปีที่ผ่านมานี้ค่ะ ปรกติแม่สามีเราเค้าจะโทรหาลูกค้าทุกวัน โทรมาบ้าง ไลน์มาหาสามีเราบ้าง ทุกวันค่ะ ว่าบ้านตึกที่ใเรายกให้อยู่ที่จังหวัดบ้านเกิดเรา อยู่ไม่สบาย มีมอด มีแมลงเหม็นเข้าบ้านบ้าง บางวันมีตัวจิ้งเหลนมาโผล่ป่าหลังบ้านบ้าง
(พ่อแม่สามีเราจริงๆมีบ้านเป็นตึกอยู่ที่อีกจังหวัดค่ะ เป็นตึกของอากงเค้าที่เสียชีวิตไปแล้ว พ่อเค้าได้เป็นมรดก แต่ไม่ได้อยู่ค่ะ เอาให้คนเซ้งรายปี รายได้เค้าก็เดือนละหลักหมื่นนะคะ แต่เห็นพอได้เงิน เอาเข้าธนาคารให้หลานคนโตหมดค่ะ แล้วเช่าหอพักอยู่
ตอนที่เราซื้อตึกที่ จังหวัดนี้ แล้วคนเช่าออก สามีบอกว่าขอให้พ่อแม่เข้ามาอยู่ สงสารที่แกอยู่หอพัก และมันอยู่ใกล้ กทม มากกว่าบ้านเกิดเค้า และคนที่บ้านเกิดเค้าก็ไม่ค่อยดีกับพ่อแม่เค้า เราก็ให้ทันที เพราะถือเป็นการตอบแทนท่านค่ะ โดยไม่ได้คิดค่าเช่าอะไรเลย (เดิมตึกมีคนเช่า ค่าเช่าอยู่ที่เดือนละหลักหมื่นค่ะ) ) ทีนี้ท่านอยู่มาร่วมสามปี ตลอดเวลาไม่เคยต่อเติมครัว หรือ ซ่อมแซมอะไรที่ตึกเลยค่ะ ตอนแรกเราก็ไม่ได้คิดอะไร แค่ช่วงหลัง แปลกใจว่าทำไม เค้าถึงทนอยู่สภาพนั้น ไม่ทำอะไรเลย และไม่สงสารลูกเลย ลูกอุตส่าห์ให้อยู่แต่โทรมาบ่นทุกวัน โทรมาทุกวันจริงๆค่ะ วันละหลายๆรอบ ว่าอยู่ไม่สบายนอนไม่หลับเพราะหน้าบ้านติดถนนเสียงดังบ้าง ข้างบ้านสูบบุหรี่บ้าง ทะเบาะกับบ้านตรงข้ามบ้าง ไฟดับบ้าง หมอแปลงระเบิด(นอกบ้าน ที่ถนนใหญ่ค่ะ) แต่อารมณ์ประมาณ ไฟจะไหม้ กลัวไฟครอกค่ะ
-ไฟดับนี่เป็นเรื่องอีกเรื่องนึง ที่บ่นนานมาก เพราะท่านโทรเรียกช่างไฟ ช่างไฟบอกให้รอคิวเพราะลูกค้าเยอะ ก็โทรมาฟ้องลูกชายว่าลำบาก ช่างไม่โอเคเลย พอช่างมา เค้าบอกให้เปลี่ยนคัตเอาท์ พันกว่าบาท ก็ถามจี้ช่างว่าเปลี่ยนแล้วจะหาย100%เลยไหม จะเป็นอีกไหม ช่างก็ตอบตามตรงว่า ไม่มีอะไร100% แต่อาการตอนนี้ก็จะหาย แต่อาจจะเป็นอีก ท่านก็ด่าช่างไฟค่ะ หาว่าเค้าจะหลอกเอาเงิน เปลี่ยนแล้วไม่หายจะเปลี่ยนทำไม สรุปไม่เปลี่ยน ช่างเลยขอค่าแรงที่วิ่งรถเข้ามาดู300 บาท ท่านก็ว่าเค้าว่าไม่ได้ทำอะไรให้ยังคิดเงินอีก.... คือ พอเข้าใจค่ะ ว่าทำไมช่างไม่ค่อยอยากเข้ามา
แล้วท่านก็จะโทรมาบ่นกับลูกท่านแบบนี้ทุกวันค่ะ ว่าไม่สบาย อยู่ไม่ได้ จริงๆมีคนมาบอกเราว่าท่านไปอวดเพื่อนๆว่าลูกทำงานมีหน้ามีตา แต่ท่านอายเพื่อนค่ะที่อยู่ตึกแถว คงอยากได้บ้านสวยๆ เป็นหลังๆ เพราะเป็นคนถือตัวพอสมควรค่ะ จากที่ได้ยินท่านชอบว่าคนอื่นๆบ่อยๆว่า ฉันระดับนี้ๆนะจะลดตัวไปคุยกับคนแบบนั้นทำไม (เราก็ไม่เห็นจะระดับไหนเลยค่ะ คนทุกคนก็เป็นคน เรายังไม่เข้าใจทุกวันนี้ว่า แค่คนอื่นที่ไม่รู้จักกันเค้าไม่เอาใจตัวเอง จะไปว่าเค้าทำไม)
แล้วคุณแม่สามีจะป่วยบ่อยมาก และจะร้องไห้ขอเข้ามาหาหมอที่ กทม. เพื่อให้ลูกดูแล (สามีเรารับราชการค่ะ เบิกได้ทุกรพ. แต่แกจะไม่พอใจค่ะ ต้องได้ที่ที่ดีที่สุด) เฉลี่ยคือ มาอาทิตย์เว้นอาทิตย์ค่ะ แต่หาสาเหตุไม่เจอ เป็นมาหลายปีแล้ว ได้แต่รักษาตามอาการ บางทีกลับบ้านได้ 3 วันร้องไห้ขอมาใหม่ค่ะ บอกไม่สบายมากอาการเดิม สามีเราจะไม่เคยว่าหรือขัดแม่เค้าเลยค่ะ
จนสุดท้ายช่วงปีที่ผ่านมา สามีเรามาขอซื้อบ้านเป็นหลังๆให้ท่าน เพราะแม่สามีอยากอยู่บ้านเป็นหลังค่ะ เราก็บอกว่ายินดี แต่มาช่วยกันวางแผนการเงินก่อน เพราะตอนนี้เงินจากทางอสังหาไม่ได้เหมือนก่อนแล้ว งานที่เราทำเงินดีก็จริงแต่ก็เป็นบ.เอกชน เราเสนอว่าประกาศขายตึกที่พ่อแม่อยู่ไหม ได้เงินก้อนมา ก็เอามาหมุนไปซื้อบ้านใหัท่าน ช่วงแรกสามีเราฟัง แต่แม่เค้าก็พูดทุกวันมากขึ้นๆ ตอนหลังพีคขนาดที่ว่า เวลาแม่เราพูดอะไร เค้าจะเก็บเอาไปคิด แล้วบอกลูกเค้าว่าแม่เราดูถูกเค้า เช่น แม่เราเป็นครูเก่า ลูกศิษย์ให้ขนมมา ก็โทรบอกให้แม่สามีมาเอาขนมไปทาน แม่สามีก็ว่าแม่เราอวด ดูถูกแก ชวนไปทานข้าวก็ว่าร้านไม่ถูกใจ สกปรก หลายเรื่องมากจนปวดหัวค่ะ
เราปรึกษาพ่อแม่เรา พ่อเราก็เลยตัดสินใจไม่ให้แม่เราติดต่อแม่สามีเราอีก เพราะทุกครั้งที่คุย เค้าก็หาเรื่องได้ทุกครั้ง (เราสงสัยว่าแม่สามีน่าจะป่วยเหมือนคนสูงวัยอื่นๆที่กลัว ลูกรักคนอื่นมากกว่าตัวเองค่ะ ) เพราะสามีเรา ช่วงแรกเข้ากับครอบครัวเราได้ดีมาก ขนาดที่เรามารีโนเวทบ้าน เตรียมให้เค้ากลับมาอยู่บ้านเรากับพ่อแม่เราเป็นแพลนระยะยาวค่ะ แม่เราปลอบเราว่าให้อดทน ให้สงสารสามีมากๆที่เค้ามีแม่แบบนี้ เพราะทำให้ลูกตัวเองไม่สบายใจตลอด เรียกร้องตลอด แต่จริงๆแม่สามีเค้าจะพูดแบบไม่ได้ขอนะคะ แต่จะบอกเรื่องตัวเองอยู่แล้วไม่สบาย รถเสีย แมลงเข้าบ้าน โดนคนโน้นคนนี้ทำไม่ดีด้วย ไปเรื่อยๆ
แต่เรื่องมาพีค ตอนที่ สามีมาบอกดิฉันว่าขอเก็บเงินเองค่ะ เพราะจะเก็บซื้อบ้านให้พ่อแม่ (ตอนนี้สามีจบโทแล้วจากเมืองนอก หาเงินได้เยอะกว่าเดิมมาก ตอนนี้ได้เป็นหลักแสนค่ะ ซึ่งตลอดเวลาที่เค้าไปเรียน 2ปี เราก็อยู่เมืองไทยตลอด บินไปหาก็เงินเราค่ะ ไปแต่ละทีแม่เราซื้ออาหารไทยใส่กระเป๋าเดินทางใหญ่ไปให้ลูกเขยทีละ2กระเป๋าเดินทาง
เราอยู่เมืองไทยเพราะต้องหาเงินใช้หนี้ แต่เค้าส่งเงินเดือนมาทุกเดือน ซึ่งก็เหมือนเดิม ไม่พอค่ะ แต่เราไม่พูดอะไร เพราะถือว่าเป็นเงินกระเป๋าเดียวกัน )
พอเค้าขอเก็บเงินเอง เราก็โอเค แต่ขอให้จัดการค่าใช้จ่ายในบ้านด้วย เพราะไม่ได้รวมกระเป๋าเดียวกันแล้ว แรกๆเค้าจ่ายค่ะ ตอนหลังขอหาร มารู้ทีหลังว่าเอาเงินที่เหลือโอนไปให้พ่อแม่เก็บ แล้วไม่ยอมบอกเรา แล้วเค้าก็ตัดสินใจกู้เซื้อบ้านให้พ่อแม่ทันที 4 ล้านกว่าค่ะ เค้าบอกว่าพ่อแม่เค้าไม่ได้เรียกร้อง แต่เค้าเป็นคนอยากซื้อให้เอง แต่เราแอบได้ยินพ่อเค้าพูดในโทรศัพท์ว่าอยากได้บ้านเป็นหลังๆชัดมากเลยค่ะ
วันไปเซ็นสัญญากู้เราเป็นคู่สมรสก็ไปเซ็นยินยอมให้ เพรระถือว่าเป็นหนี้ร่วม (ก่อนหน้านั้น เรากลัวเค้าเครดิตไม่ผ่าน เราเอาเงินส่วนตัวตัวเองไปโป๊ะ อสังหา3 ที่ที่ขายเพื่อปิดยอดเป็นเงิน 1 ล้านค่ะ เค้าไม่ออกสักบาท -เคยถาม เค้าบอกเราเป็นคนกู้เอง ก็ต้องใช้เองค่ะ ถ้าให้ช่วยคือ เค้าให้แค่ยืม ต้องคืนเค้า ) คราวนี้พอได้บ้าน สามีพฤติกรรมเปลี่ยนค่ะ ไม่สนใจเรา กลับบ้านดึกๆ บอกทำงานหนัก แต่ก็กลับบ้านทุกวันนะคะ และเวลาแม่เค้ามา เค้าจะแอบไปกับที่บ้านเค้าบ่อยๆ โดยไม่ให้เรารู้ จากเดิมกินข้าวกับเพื่อนเอาเราไปด้วย ตอนนี้ไม่เคยชวนค่ะ เราไปที่ทำงานเค้า เค้าก็จะเดินลิ่วๆๆๆ ไม่จูงมือ ไม่ดูแลเหมือนเคยค่ะ
และแม่เค้าก็ยังป่วย ปวดหัว นอนไม่หลับ เวียนหัว ต้องมาหาหมอที่ กทม บ่อยเหมือนเดิม แต่คราวนี้บ่อยกว่าเดิมค่ะ เพราะได้นอนโรงแรมดี สบายแล้ว (สามีเราออกเงิน)
วันหยุดกลับตจว. สามีเราจะตรงเข้าบ้านแม่เค้าเลย ไม่เข้าบ้านเรา ไม่สนใจเข้ามาหาพ่อแม่เราเหมือนก่อน เราอยู่บ้านเรา เค้าไปอยู่บ้านแม่เค้า และไม่ชวนเราเข้าบ้านที่ซื้อใหม่ด้วยค่ะ (แต่ก่อนจะเข้าบ้านเรามาสวัสดีพ่อแม่เราก่อน และค้างกับเราค่ะ แต่แม่เค้าจะมาคอยรับลูกเค้าออกไปกับเค้าตลอด และถ้ากลับ 3วันต้องมีอย่างน้อย 2-3 วันค่ะที่แม่เค้าเอาลูกเค้าไปนอนด้วย ตอนนี้คือไม่ต้องรอรับค่ะ ไม่เข้าบ้านเราเลยจ้า)
วันที่พ่อแม่เค้าย้ายออกจากตึกไปเข้าบ้านที่ซื้อใหม่ พ่อเค้าเอากุญแจมาให้พ่อเรา พอพ่อแม่เราเข้าไปดู คือ ตึกโทรมมาก มีรอยหลานเค้าเอาปากกามาเขียนเล่นไปทั่ว ประตูคนเช่าเดิมทำเป็นรูเค้าก็ไม่ซ่อม ทิ้งไว้แบบเดิม และถอดปั๊มน้ำออกไปด้วยค่ะ
เราถามสามีเราว่า ถอดปั๊มน้ำออกไปแล้ว ตึกนี้บอกจะคืนให้คนมาเช่า คนจะมาเช่ายังไงเปิดน้ำไม่ไหล เค้าก็ไม่ตอบ
พ่อแม่เค้าก็ไม่รับโทรศัพท์
ก็ไม่พ้นแม่เราอีก ที่ต้องไปหาช่างมาซ่อมแซมตึก ติดปั๊มน้ำ และรีโนเวทใหม่ หมดไปเป็นแสน เราจะให้เงินแม่ไม่เอาค่ะ แม่บอกแม่ทำให้เพื่อให้มีคนมาเช่า ลูกจะได้เบาค่าผ่อน
ตอนเราเซ็นให้เค้ากู้บ้านสำเร็จ สามีเคยคุยจะขอหย่า1ครั้ง โดยเราไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เค้าบอกเราเอาแต่ทำงานไม่สนใจเค้า และเราสร้างหนี้(อสังหาที่ลงทุนไปที่เบ่าให้ฟังค่ะ และตอนนั้นเค้าก็เป็นคนเซ็นยินยอมเอง และรู้ทุกอย่าง เพราะเราเล่าให้กันฟังเสมอ แต่เค้าอ้างว่าเค้าไม่รู้เรื่องค่ะ เราเอาอะไรมาให้ก็เซ็น แต่คือเค้ารับรู้ตลอดว่าเรามีทรัพย์นี้ เพราะตอนได้รายได้ดีก็ไม่เคยบ่นค่ะ กินหรูอยู่สบาย กระทั่งเวลาพ่อแม่เค้ามา กทม. เราก็เลี้ยงข้าวนะคะ เพราะช่วงนั้นเราเก็บเงิน แต่พอสามีเก็บเงินเอง เราให้แบ่งจ่ายหนี้ เค้าบอกว่าให้เราขอยืมเงินพ่อแม่เรามาโป๊ะหนี้ทั้งหมดก่อนค่ะ แล้วรอให้เค้าและเราตั้งตัวได้ปี สองปีค่อยเริ่มทยอยใช้หนี้พ่อแม่เรา -แต่เราไม่ยอมค่ะ เพราะเราคิดว่าแล้วถ้าหย่าแล้ว หนี้ธนาคารหมด ก็เท่ากับเค้าไม่มีภาระผูกพัน เหมือนหลอกเอาเงินพ่อแม่เรามาฟรีๆ เราบอกเค้าว่าตั้งแต่เรียนจบมา เราไม่เคยขอเงินพ่อแม่ และทุกวันนี้แม้เป็นหนี้ ก็ไม่เคยลำบาก เพราะมีรายได้เกินหนี้มาทุกเดือน หนี้นี้คือระยะยาวดี ช่วงโควิดก็ดาวน์ธรรมดา แต่เค้าแย้งว่าไม่ใช่หนี้ดีค่ะ เพราะมีส่วนต่างที่ต้องจ่าย)
อีกเรื่องคือ เราอายุเยอะแล้ว อยากมีลูก ช่วงแรกที่ดีๆกันอยู่เคยไปทำด้วยค่ะ แต่ไม่ติด เพราะวันใส่ตัวอ่อนเค้าปล่อยเราไปใส่คนเดียว เพราะเค้าติดงานค่ะ และแน่นอนค่าทำก็เราจ่ายคนเดียวหลักแสน พอจะไปเรียนเมืองนอก ก็บอกเราว่า ขอไปชุบตัวให้เป็นทองก่อน พอกลับมาแล้วจะมีทันที พอกลับมาตั้งตัวได้ มาบอกเราว่าไม่อยากมีลูกค่ะ เค้าไม่ยอมมี
(ต่อในความเห็นนะคะ)