One for the Road (2021): วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ
" ความรัก อารมณ์ และมิตรภาพ... ทั้งสามอย่างถูกถ่ายทอดอย่างน่าประทับใจ ผ่านการเดินทางครั้งสุดท้ายของชีวิต "
สวัสดีครับ จากภาพยนตร์ที่เข้าโรงในช่วงเดือนนี้ เรื่องที่ทุกคนจับตามองและเป็นกระแส คงเป็นเรื่องไหนไปไม่ได้นอกจาก
One for the Road (2021) ที่ทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยมใน
Sundance Film Festival ผ่านการคว้ารางวัล
World Dramatic Special Jury Award for Creative Vision และเข้าชิง
Grand Jury Prize ในสาขา
World Cinema - Dramatic
หลังจากที่ผมได้ชมภาพยนตร์ ก็เลยอยากจะมาแชร์มุมมองให้กับทุกคน เผื่อว่าใครสนใจในเรื่องนี้นะครับ
เรื่องย่อ
“One for the Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ” [Official Trailer]
One for the Road (2021) หนังดราม่า / Road movie ได้รับการกำกับโดย
บาส นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ที่มีผลงานที่มีชื่อเสียงอย่าง
เคาท์ดาวน์ (2012) และ
ฉลาดเกมส์โกง (2017) รวมถึงได้ผู้กำกับฮ่องกงระดับตำนานอย่าง
หว่อง กาไว (Wong Kar-wai) มาเป็น Producer ภาพยนตร์
เนื้อเรื่องหลักในภาพยนตร์กล่าวถึง การเดินทางระหว่าง
อู๊ด (ไอซ์ซึ ณัฐรัตน์) และ
บอส (ต่อ ธนภพ) เพื่อทำภารกิจสะสางทุกอย่างก่อนที่อู๊ดจะจากโลกนี้ไปด้วยโรคมะเร็ง... หนึ่งในภารกิจที่สำคัญนั้น ก็คือ
"การเดินทางเพื่อบอกลาแฟนเก่า" และจากภารกิจนี้เอง เรื่องราวทุกอย่างก็ค่อยๆ ถูกบอกเล่าให้ทุกคนได้เห็นถึงความสัมพันธ์ของของแต่ละคนที่ต่างมีปัญหาระหว่างกัน
ความรู้สึกหลังชม
- ความรู้สึกแรกหลังจากที่ได้ชม One for the Road... รู้สึกว่าหนังให้อารมณ์บางอย่างคล้ายกับสิ่งที่
ฮาวทูทิ้ง..ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ (2019) นำเสนอ... มันเป็นหนังที่เต็มไปด้วยมวลของอารมณ์อันซับซ้อน และความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร ซึ่งความรู้สึกและแนวเรื่องแบบนี้ค่อนข้างใกล้เคียงกับสไตล์หนังของหว่อง กาไว ที่มักมีประเด็นเกี่ยวกับเรื่อง
"ความรัก อารมณ์ และความสัมพันธ์ระหว่างคน" (อย่างน้อยก็
In the Mood for Love (2000) ที่มีบรรยากาศแบบนี้)
นี่อาจจะพอบอกได้ถึงความเชื่อมโยงระหว่างหว่องกาไวกับ One for the Road... กล่าวโดยกว้างๆ One for the Road มีส่วนผสมของความนามธรรมเหล่านี้แฝงอยู่มาก
In the Mood for Love (2000) - หนึ่งในภาพยนตร์ที่โด่งดังที่สุดของ หว่อง กาไว
- ทว่าพอตัดมาดูที่วิธีการเล่าเรื่อง / การดำเนินเรื่อง สไตล์ของภาพยนตร์โดยรวมยังคงเป็นลายเซ็นต์ของคุณบาส นัฐวุฒิ อย่างชัดเจน วิธีดำเนินเรื่องอันฉับไว เทคนิคมุมกล้องและการตัดต่อที่มีลูกเล่นแพรวพราว การเซ็ตอัพซีนต่างๆ เพื่อบิ้วอารมณ์ (ที่แม้จะดูไม่เป็นธรรมชาติ - ดูพยายามเกินไปบ้าง) แต่ทุกอย่างมาในจังหวะที่ถูกที่ถูกเวลาเสมอ Touch ผู้ชมได้ดี
ที่สำคัญจุดที่เคยเป็นข้อเสียในฉลาดเกมส์โกง เช่น การเร่งเครื่องมากเกินไป / เร่งตลอดเวลาแบบหนักๆ... เหมือนทางพี่บาสจะ Control ได้ดีขึ้น พร้อมกับเพิ่ม Detail ที่ละเอียดขึ้น มี Emotion ที่ลึก และหลากหลายขึ้น ทำให้งานที่ออกมาดูสมบูรณ์ และอาร์ตกว่าเรื่องก่อนๆ เดินเรื่องได้น่าติดตามแบบไม่มีจังหวะแผ่วเลย
ดังนั้นจากคาแรคเตอร์เรื่องที่มันออกจะไปทางหนังอาร์ต (อย่างหว่องกาไว) เมื่อมาผสมกับผู้กำกับที่ใส่ความ Commercial เก่ง... ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นส่วนผสมที่น่าสนใจ ดูสร้างสรรค์ เป็นศิลปะ และแข่งขันในเวทีนานาชาติได้ (โมเดลแบบนี้ที่เห็นบ่อยๆ ก็เกาหลีนี่แหละที่ชอบทำ 😀)
- ในเรื่องของงานภาพ หนังนำเสนอภาพได้สวยงาม มีกลิ่นอาย / Mood ของหว่องกาไวแฝงไว้ เช่น การใส่ Grain ลงในภาพบางช่วงที่ช่วยเพิ่ม Emotion และบรรยากาศแบบกล้องฟิลม์... หลายๆ อย่างใส่มา Tribute ถึงหว่องกาไวได้เข้ากับบริบทเรื่อง
- สำหรับพาร์ทนักแสดง โดยรวมทุกคนแสดงได้อย่างสมบทบาท ที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ผมขอยกให้
ไอซ์ซึ ณัฐรัตน์, พลอย หอวัง และ
วี วิโอเลต คนแรกที่ขอพูดถึงคือ
"ไอซ์ซึ ณัฐรัตน์" ซึ่งยอมรับว่าแสดงได้น่าประทับใจเป็นพิเศษ เพราะดูจากสภาพหน้าและร่างกายแล้ว คล้ายกับคนป่วยใกล้สิ้นใจจริงๆ แถมยังสามารถแสดงอารมณ์ได้ลึก จนทำให้เราเชื่อได้ว่าไอซ์เป็นตัวละครนั้นจริงๆ
ไอซ์ ณัฐรัตน์ ในบท "อู๊ด"
ส่วน
"พลอย หอวัง" แม้ว่าจะมีซีนไม่มาก แต่ว่าเมื่อโผล่มาก็สร้างความประทับใจได้ สำหรับ
"วี วิโอเล็ต" จากที่เคยเห็นในเรื่อง
ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ (2015) ถือว่าเป็นนักแสดงที่มีมาตรฐานสูงอยู่แล้ว มาในครั้งนี้ก็ยังคงแสดงได้น่าประทับใจเหมือนเดิม จะมีที่ผมรู้สึกว่าแสดงได้ดี แต่อาจจะยังติดคาแรคเตอร์เดิมอยู่บ้าง ก็คือ
"ต่อ ธนภพ" ที่ยังไม่ได้รู้สึกว่าเนียนตาแบบ 100% (แต่ก็ถือว่าสอบผ่าน)
- จุดประทับใจสุดท้ายคือ
"เพลงประกอบภาพยนตร์" ขอชื่นชมว่า STAMP แต่งได้กินใจจริงๆ กับเพลง
"Nobody Knows / ถ้าเธอ" ทำนองแนว Groove กับธีมเรื่องที่เปรียบเปรยชีวิตเหมือนรสชาติของเหล้า... จะมีอะไรที่ผสานกันลงตัวไปมากกว่านี้
Nobody knows - STAMP & Christopher Chu
‘ถ้าเธอ’ STAMP & Violette Wautier | OST. ‘One for the Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ’
สรุป
One for the Road (2021) ถือเป็นหนังไทยจากค่าย GDH ที่น่าประทับในปีนี้ หนังมีความกว้าง และลึกที่พอดิบพอดี มีความเป็นศิลปะในระดับที่ทุกคนสนุกแบบเคี้ยวได้ไม่ยาก (แต่ก็ไม่ได้ง่ายแบบไม่ต้องคิดอะไรเลย)
ดังนั้นไม่ว่าจะกลุ่มผู้ที่ชอบหนังเดินเรื่องไว หรือผู้ชอบหนังรางวัล ก็สามารถอิ่มเอมไปกับหนังได้ นอกจากนี้ คุณภาพหนังยังอยู่ในระดับที่แข่งในระดับนานาชาติได้สบาย
หลังจากดูจบก็ต้องขอยกนิ้วชมว่า เยี่ยมสมกับที่คว้ารางวัลจาก Sundance Film Festival จริงๆ ขอซูฮก ! 👍
_________________________________
(เพิ่มเติม 1) การทำงานระหว่าง "หว่องกาไว" กับ "บาส นัฐวุฒิ" ใน One for the Road (2021)
สำหรับใครที่สงสัยว่า
คุณบาส กับ
หว่องกาไว พัฒนาโปรเจค
One for the Road ร่วมกันอย่างไร แนะนำคลิปนี้ เล่าถึงการทำงานระหว่างคุณบาสกับหว่องไว้ละเอียด
การทำงานของบาสกับหว่องกาไว จนคาแรกเตอร์ทั้งคู่กลายเป็นตัวละครใน One for the Road | Talk of The Cloud
[ สรุปใจความสำคัญ ]
หลักๆ ทางหว่องกาไว แกทำงานหลักแค่ในช่วงการพัฒนาบท และวาง Concept เรื่อง หลังจากที่ได้บทที่สมบูรณ์แล้ว แกก็ปล่อยจอยเลย งานทุกอย่างในส่วนการกำกับและการถ่ายทำ คุณบาสรับผิดชอบหมด แถมยังทิ้งท้ายก่อนปล่อยงานให้คุณบาสด้วยว่า
"อย่าให้เข้าไปดูเลย เดี๋ยวจะเกลียดกันมากกว่านี้อีก 😂"
ดังนั้น ก็จะสังเกตุเห็นว่า สไตล์ของ
One for the Road มีลายเซ็นต์ของคุณบาสที่อย่างชัดเจน อันเนื่องมาจากหว่องแกไม่ได้เข้ามาดูส่วนนี้ด้วยแล้ว ซึ่งตัวคุณบาสก็มี Tribute ถึงบรรยากาศของหนังของคุณหว่องบ้าง ในฐานะที่แกเป็นตำนานของวงการภาพยนตร์ฮ่องกง
ส่วนสิ่งที่ผมว่าสะท้อนความเป็นหว่องกาไวมากที่สุดในเรื่อง ผมว่าคือ ตัวหนังที่เน้นถึง
“ความรัก อารมณ์ และความสัมพันธ์ระหว่างคน” อย่างที่ผมเกริ่นไปในบทความด้านบน หนังสร้างชื่อของแกจะมี Concept แถวๆ นี้แหละ ซึ่งก็ความรู้สึกหลายอย่างคล้ายกับ Concept หลักของ One for the Road นั่นเอง
หว่องกาไว (Producer) และ คุณบาส นัฐวุฒิ (ผู้กำกับ)
_________________________________
(เพิ่มเติม 2) รีวิว One for the Road จาก
คุณประวิทย์ แต่งอักษร กูรูนักวิจารณ์ภาพยนตร์... รีวิวน่าสนใจมาก แต่เหมือนจะมีเปิดเผยเนื้อหาด้วยประมาณนึง ใครยังไม่ได้ดูก็อ่านข้ามๆ นะครับ
_________________________________
ป.ล. ปีนี้ยังมีหนัง GDH อีกเรื่องที่น่าสนใจ ก็คือเรื่อง
Fast and Feel Love ของ
คุณเต๋อ นวพล... มารอดูกันได้เลยว่าเรื่องไหนจะเป็นหนังท็อปฟอร์มแห่งปี 🤣
ป.ล.2 อีกหนึ่งช่องทางการติดต่อทาง Facebook เผื่อสนใจอยากคุยหรือติดต่อกับผมนะครับ
[CR] One for the Road (2021) - การเดินทางก่อนวันสุดท้ายของชีวิตที่อบอวลไปด้วยอารมณ์ ความสัมพันธ์ และมิตรภาพ
หลังจากที่ผมได้ชมภาพยนตร์ ก็เลยอยากจะมาแชร์มุมมองให้กับทุกคน เผื่อว่าใครสนใจในเรื่องนี้นะครับ
เรื่องย่อ
เนื้อเรื่องหลักในภาพยนตร์กล่าวถึง การเดินทางระหว่าง อู๊ด (ไอซ์ซึ ณัฐรัตน์) และ บอส (ต่อ ธนภพ) เพื่อทำภารกิจสะสางทุกอย่างก่อนที่อู๊ดจะจากโลกนี้ไปด้วยโรคมะเร็ง... หนึ่งในภารกิจที่สำคัญนั้น ก็คือ "การเดินทางเพื่อบอกลาแฟนเก่า" และจากภารกิจนี้เอง เรื่องราวทุกอย่างก็ค่อยๆ ถูกบอกเล่าให้ทุกคนได้เห็นถึงความสัมพันธ์ของของแต่ละคนที่ต่างมีปัญหาระหว่างกัน
ความรู้สึกหลังชม
นี่อาจจะพอบอกได้ถึงความเชื่อมโยงระหว่างหว่องกาไวกับ One for the Road... กล่าวโดยกว้างๆ One for the Road มีส่วนผสมของความนามธรรมเหล่านี้แฝงอยู่มาก
ที่สำคัญจุดที่เคยเป็นข้อเสียในฉลาดเกมส์โกง เช่น การเร่งเครื่องมากเกินไป / เร่งตลอดเวลาแบบหนักๆ... เหมือนทางพี่บาสจะ Control ได้ดีขึ้น พร้อมกับเพิ่ม Detail ที่ละเอียดขึ้น มี Emotion ที่ลึก และหลากหลายขึ้น ทำให้งานที่ออกมาดูสมบูรณ์ และอาร์ตกว่าเรื่องก่อนๆ เดินเรื่องได้น่าติดตามแบบไม่มีจังหวะแผ่วเลย
ดังนั้นจากคาแรคเตอร์เรื่องที่มันออกจะไปทางหนังอาร์ต (อย่างหว่องกาไว) เมื่อมาผสมกับผู้กำกับที่ใส่ความ Commercial เก่ง... ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นส่วนผสมที่น่าสนใจ ดูสร้างสรรค์ เป็นศิลปะ และแข่งขันในเวทีนานาชาติได้ (โมเดลแบบนี้ที่เห็นบ่อยๆ ก็เกาหลีนี่แหละที่ชอบทำ 😀)
- สำหรับพาร์ทนักแสดง โดยรวมทุกคนแสดงได้อย่างสมบทบาท ที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ผมขอยกให้ ไอซ์ซึ ณัฐรัตน์, พลอย หอวัง และ วี วิโอเลต คนแรกที่ขอพูดถึงคือ "ไอซ์ซึ ณัฐรัตน์" ซึ่งยอมรับว่าแสดงได้น่าประทับใจเป็นพิเศษ เพราะดูจากสภาพหน้าและร่างกายแล้ว คล้ายกับคนป่วยใกล้สิ้นใจจริงๆ แถมยังสามารถแสดงอารมณ์ได้ลึก จนทำให้เราเชื่อได้ว่าไอซ์เป็นตัวละครนั้นจริงๆ
- จุดประทับใจสุดท้ายคือ "เพลงประกอบภาพยนตร์" ขอชื่นชมว่า STAMP แต่งได้กินใจจริงๆ กับเพลง "Nobody Knows / ถ้าเธอ" ทำนองแนว Groove กับธีมเรื่องที่เปรียบเปรยชีวิตเหมือนรสชาติของเหล้า... จะมีอะไรที่ผสานกันลงตัวไปมากกว่านี้
ดังนั้นไม่ว่าจะกลุ่มผู้ที่ชอบหนังเดินเรื่องไว หรือผู้ชอบหนังรางวัล ก็สามารถอิ่มเอมไปกับหนังได้ นอกจากนี้ คุณภาพหนังยังอยู่ในระดับที่แข่งในระดับนานาชาติได้สบาย
หลังจากดูจบก็ต้องขอยกนิ้วชมว่า เยี่ยมสมกับที่คว้ารางวัลจาก Sundance Film Festival จริงๆ ขอซูฮก ! 👍
สำหรับใครที่สงสัยว่า คุณบาส กับ หว่องกาไว พัฒนาโปรเจค One for the Road ร่วมกันอย่างไร แนะนำคลิปนี้ เล่าถึงการทำงานระหว่างคุณบาสกับหว่องไว้ละเอียด
หลักๆ ทางหว่องกาไว แกทำงานหลักแค่ในช่วงการพัฒนาบท และวาง Concept เรื่อง หลังจากที่ได้บทที่สมบูรณ์แล้ว แกก็ปล่อยจอยเลย งานทุกอย่างในส่วนการกำกับและการถ่ายทำ คุณบาสรับผิดชอบหมด แถมยังทิ้งท้ายก่อนปล่อยงานให้คุณบาสด้วยว่า "อย่าให้เข้าไปดูเลย เดี๋ยวจะเกลียดกันมากกว่านี้อีก 😂"
ดังนั้น ก็จะสังเกตุเห็นว่า สไตล์ของ One for the Road มีลายเซ็นต์ของคุณบาสที่อย่างชัดเจน อันเนื่องมาจากหว่องแกไม่ได้เข้ามาดูส่วนนี้ด้วยแล้ว ซึ่งตัวคุณบาสก็มี Tribute ถึงบรรยากาศของหนังของคุณหว่องบ้าง ในฐานะที่แกเป็นตำนานของวงการภาพยนตร์ฮ่องกง
ส่วนสิ่งที่ผมว่าสะท้อนความเป็นหว่องกาไวมากที่สุดในเรื่อง ผมว่าคือ ตัวหนังที่เน้นถึง “ความรัก อารมณ์ และความสัมพันธ์ระหว่างคน” อย่างที่ผมเกริ่นไปในบทความด้านบน หนังสร้างชื่อของแกจะมี Concept แถวๆ นี้แหละ ซึ่งก็ความรู้สึกหลายอย่างคล้ายกับ Concept หลักของ One for the Road นั่นเอง
ป.ล.2 อีกหนึ่งช่องทางการติดต่อทาง Facebook เผื่อสนใจอยากคุยหรือติดต่อกับผมนะครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้