“กาลแล้วกาลเล่า บรรดาศาสดาแห่งพระเจ้าไม่เคยว่างเว้นในการเปิดเผยความรู้และปัญญามาสู่มนุษย์ ดังเช่นในกาลครั้งหนึ่งที่ปรากฏในดินแดนอินเดีย ผ่านศาสดานามว่า พระพุทธเจ้า และในดินแดนเปอร์เซีย ผ่านโซโรอัสเตอร์ และในอีกกาลหนึ่ง ในดินแดนตะวันตก ผ่าน พระเยซู หลังจากนั้น ในยุคสุดท้ายนี้ การเปิดเผยดังกล่าวได้ถูกส่งลงมาถึงตัวข้า มณี ศาสดาแห่งพระเจ้าในดินแดนบาบิโลน”
— ศาสดามณี (ราว ค.ศ. 215-272)
จาก ‘หนังสือแห่งชาปูร’( Shapuragan)ที่เขียนถวายพระเจ้าชาปูรที่ 1 แห่งจักรวรรดิซัสซานิดเปอร์เซีย
คำว่ามานิกี มาจากคำว่ามณี หรือมาเนส ซึ่งเป็นชื่อของศาสดาผู้ตั้งลัทธินี้
ศาสดามณี (Mani; 𐭬𐭠𐭭𐭩) ถือกำเนิดในราวปีค.ศ. 216 ในเมือง ๆ หนึ่งใกล้แม่น้ำไทกริส ใกล้กับเมืองแบกแดดในปัจจุบัน ซึ่งในสมัยนั้นดินแดนนี้เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิซัสซานิดเปอร์เซีย (Sassanid Persian Empire)
ข้อมูลที่นักวิชาการมีทั้งหมดเกี่ยวกับศาสนามานิกีนั้นค่อนข้างมีความกระจายตัวอยู่หลายแห่ง เราอาจจะได้อ่านถึงศาสนามานิกีจากงานเขียนของ ออกุสตินแห่งฮิปโป (นักบุญออกุสติน; Augustine of Hippo, Saint Augustine) ซึ่งถือได้ว่าเป็นนักเทววิยาของศาสนาคริสต์ยุคต้นที่โด่งดังที่สุด ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก่อนท่านจะหันมาเข้ารีตในศาสนาคริสต์นั้น ท่านได้นับถือศาสนามานิกีมาก่อน หรือในยุคต่อมาในงานเขียนของชาวมุสลิมเช่น อัล-บิรูนี (Al-Biruni; البيروني)
ราวปีค.ศ. 242 ท่านมณีซึ่งขณะนั้นอยู่ที่เปอร์เซีย ได้ประสบความสำเร็จในการเผยแพร่ศาสนาถึงขนาดที่ท่านได้รับการสนับสนุนจากจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิซัสซานิดที่ครองราชย์อยู่ในขณะนั้นคือ พระเจ้าชาปูรที่ 1 (Shapur I) ทำให้ท่านและสาวกของท่านได้เผยแผ่ศาสนาออกไปได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น เพราะการอุปถัมภ์ขององค์จักรพรรดินั้นทำให้หลาย ๆ อย่างง่ายดายขึ้น
ในยุคนั้นถือเป็นศาสนาที่แพร่หลายและเป็นที่นิยมมากศาสนาหนึ่งของโลก และเป็นศาสนาที่ถูกนักวิชาการเรียกว่าศาสนาสากลศาสนาแรกของโลก (first world religion)
แต่แล้วในเวลาต่อมาการอุปถัมภ์ของราชสำนักนั้นก็ถูกพิสูจน์ว่าเป็นเพียงสิ่งชั่วคราวเท่านั้น นั้นเพราะทันทีที่พระเจ้าชาปูรสวรรคต และหลังจากรัชสมัยอันสั้นของผู้สืบราชบัลลังก์องค์ต่อไปคือพระเจ้าออร์มิซด์ที่ 1 (Hormizd I) จักรพรรดิองค์ต่อไปนั้นคือพระเจ้าบาห์ราม (Bahram) ก็ได้ขึ้นครองราชย์และก็เป็นจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยบรรดานักบวชชั้นสูงในศาสนาโซโรอัสเตอร์ เริ่มไม่ไว้เนื้อเชื่อใจและเริ่มวิพากย์วิจารณ์ท่านมณีและการเคลื่อนไหวของท่านอย่างหนัก และได้เรียกร้องให้มีการกดดันศาสนามานิกีมากขึ้น จักรพรรดิองค์ใหม่จึงได้เลิกการอุปถัมภ์อย่างเป็นทางการต่อศาสนามานิกีและการกดขี่จึงได้เริ่มขึ้น
ศาสดามณีก็ได้ถูกจับกุมตัวและจองจำในคุก ราวปีค.ศ. 276/277 และก็ได้มีการบันทึกไว้ว่าหลังจากเวลาเพียง 26 วัน ก็ได้พ่ายแพ้ต่อการทรมานในคุกและเสียชีวิตลงในที่สุดเป็นอันปิดฉากชีวิตของท่านมณี แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าจะเป็นจุดจบของศาสนาที่ท่านได้ริเริ่มขึ้นนี้ เพราะท่านและสาวกของท่านนั้นถือได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการเผยแผ่ศาสนานี้ไปสู่ดินแดนต่าง ๆ ทั่วโลก ดังนั้นศาสนานี้จึงยังคงดำเนินต่อไปหลังจากท่านเสียชีวิตแล้วก็ตาม
ศาสดามณีนั้นสอนให้ผู้คน ต้องไม่พูดปด ไม่ฆ่าชีวิตใด ๆ ปฏิบัติตนอย่างอหิงสา ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ดื่มเหล้า และถือเพศพรหมจรรย์ ไม่ข้องเกี่ยวกับกิจกรรมทางเพศและการสืบพันธุ์ใด ๆ อย่างไรก็ตามแม้นี่จะดูเหมือนเป็นสิ่งที่เคร่งครัดอย่างมากกับชีวิตมนุษย์ แต่นั้นก็เพราะว่าชาวมานิกีนั้นไม่จำเป็นจะต้องถือกฏเหล่านี้ทุกคน เพราะศาสนิกของศาสนานี้นั้นถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่นั้นคือ กลุ่มผู้รับเลือก (The Elect; ܡܫܡܫܢܐ) และกลุ่มผู้รับฟัง (The Hearer; ܫܡܘܥܐ)
ผู้รับเลือกนั้นคือผู้รับเลือกที่จะยึดถือคำปฏิญาณของศาสนามานิกีและปฏิบัติตามกฎศาสนบัญญัติเช่นที่กล่าวไปอย่างเคร่งครัด รวมทั้งอธิษฐานและถือศีลอย่างตั้งมั่น เพราะทั้งชีวิตของพวกเขานั้นก็อุทิศไปเพื่อแบ่งแยกความสว่างออกจาความมืด ผ่านวัตรปฏิบัติของพวกเขา
ขณะที่ผู้รับฟังนั้นก็คือเป็นผู้ศรัทธาและนับถือคำสอนของท่านมณีและสาวกผู้นำศาสนาโดยไม่จำเป็นต้องรักษากฎเกณฑ์เหล่านั้นทั้งหมด พวกเขาสามารถกินเนื้อสัตว์ได้แต่จะต้องไม่ฆ่าสัตว์ด้วยตนเอง พวกเขาอาจจะมีเพศสัมพันธ์ได้ แต่จะต้องอยู่ในกฎของการแต่งงานสมรสเท่านั้น และเช่นเดียวกันพวกเขาก็สามารถมีบุตรได้ แต่แม้ว่ากฎศาสนาบัญญัติต่าง ๆ นั้นจะไม่ได้บังคับใช้กับกลุ่มผู้รับฟัง แต่พวกเขาก็ถูกเชิญชวนให้ทำตามกฎเหล่านั้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตัวอย่างเช่น การมีบุตรนั้น แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่อนุญาตสำหรับพวกเขา แต่มันก็ถือเป็นเรื่องดีที่จะไม่มีลูก เพราะตามความเชื่อของศาสนามานิกีแล้วนั้น การมีลูกก็เป็นเหมือนการทำให้วัฏจักรแห่งความมืดของโลกกายภาพยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ เป็นต้น
นอกจากกฎบัญญัติเหล่านี้แล้วนั้น ชาวมานิกีก็ยังต้องสวดมนตร์อธิษฐานประจำวัน แต่จำนวนของการสวดในแต่ละวันนั้นก็ยากที่จะชี้ชัดได้ อาจจะ 3 หรือ 4 ต่อวัน
โดยทั่วไปด้วยความที่ผู้รับเลือกจะต้องดำรงชีวิตอย่างเคร่งครัดและบริสุทธิ์ พวกเขาจึงถูกสั่งห้ามใช้กำลังใด ๆ แม้กระทั้งต่อพืชพรรณธัญญาหารต่าง ๆ ก็ด้วย จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะหาอาหารมาดำรงชีพเองได้ ดังนั้นในมื้ออาหารประจำวัน กลุ่มผู้รับฟัง ก็จะถวายภัตตาหารที่เป็นมังสวิรัติ (เพราะพวกเขาก็ไม่สามารถฆ่าสัตว์เพื่อเอาเนื้อมาได้โดยตนเอง จึงถวายอาหารมังสวิรัติเป็นหลัก) โดยมีการทำเป็นเหมือนพิธีกรรมหนึ่งซึ่งกลุ่มผู้รับเลือก ก็จะอธิษฐานและให้พรกับอาหารและผู้ถวายอาหาร และขจัดปัดเป่าบาปที่ผู้รับฟังได้ทำจากการไปใช้กำลังเอาพืชพรรณมาเป็นอาหารให้กับพวกเขา
ศาสนามานิกีนั้นได้เดินทางข้ามดินแดนตะวันออกกลางไปสู่แอฟริกาเหนือ กระทั้งแผ่ขยายไปถึงสเปน รวมทั้งยังจอร์เจีย (แถบเทือกเขาคอเคซัส) ดินแดนเอเชียกลางและอินเดีย กระทั้งถึงประเทศจีน โดยเมื่อประมาณปีค.ศ. 400 เป็นเวลา 100 กว่าปีหลังจากการเสียชีวิตของท่านมณี ก็ได้มีชุมชนชาวมานิกีอยู่ทั้งที่ซีเรีย, ปาเลสไตน์, อียิปต์, คาบสมุทรอาหรับ, อาร์มีเนีย, โรม, สเปน, เป็นต้น ภายในเวลาแค่น้อยนิดศาสนานี้ก็ได้ขยายไปเกือบทั่วทุกมุมโลกในยุคนั้นเลยก็ว่าได้ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ไม่มีศาสนาไหนในโลกทำได้ก่อนหน้านั้น นี่จึงอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่นักวิชาการเรียกศาสนามานิกีว่าเป็น “ศาสนาสากลศาสนาแรกในประวัติศาสตร์โลก” (first world religion)
โดยสองท่านที่อยู่ตรงกลาง คือ โซโรอัสเตอร์ ด้านกลางขวาคือ พระพุทธเจ้า และท่านที่อยู่ด้านขวาสุดนั้นคือ พระเยซู
ในเอกสารที่ค้นพบ ซึ่งเป็นคัมภีร์คู่มือประกอบศาสนพิธีของศาสนามานิกี ได้มีการเรียกศาสดาทั้งห้า คือ พระนารายณ์ (Naluoyan, 那羅延), ท่าน โซโรอัสเตอร์ (Suluzhi, 蘇路支), พระพุทธเจ้า (Shijiawen, 釋迦文 ), พระเยซู (Yishu, 夷數), และท่านมณี (Moni, 摩尼) ถูกเรียกรวมกันว่า “พระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์” (伍佛)
ที่มา :เพจ พินิจอิสลาม - Islam Examined
เพจ ประวัติศาสตร์ฮาเฮ
www.facebook.com/1686097691645589/posts/2794105060844841/
www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=226404842353090&id=102281271432115
คิดอย่างมณี
— ศาสดามณี (ราว ค.ศ. 215-272)
จาก ‘หนังสือแห่งชาปูร’( Shapuragan)ที่เขียนถวายพระเจ้าชาปูรที่ 1 แห่งจักรวรรดิซัสซานิดเปอร์เซีย
คำว่ามานิกี มาจากคำว่ามณี หรือมาเนส ซึ่งเป็นชื่อของศาสดาผู้ตั้งลัทธินี้
ศาสดามณี (Mani; 𐭬𐭠𐭭𐭩) ถือกำเนิดในราวปีค.ศ. 216 ในเมือง ๆ หนึ่งใกล้แม่น้ำไทกริส ใกล้กับเมืองแบกแดดในปัจจุบัน ซึ่งในสมัยนั้นดินแดนนี้เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิซัสซานิดเปอร์เซีย (Sassanid Persian Empire)
ข้อมูลที่นักวิชาการมีทั้งหมดเกี่ยวกับศาสนามานิกีนั้นค่อนข้างมีความกระจายตัวอยู่หลายแห่ง เราอาจจะได้อ่านถึงศาสนามานิกีจากงานเขียนของ ออกุสตินแห่งฮิปโป (นักบุญออกุสติน; Augustine of Hippo, Saint Augustine) ซึ่งถือได้ว่าเป็นนักเทววิยาของศาสนาคริสต์ยุคต้นที่โด่งดังที่สุด ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก่อนท่านจะหันมาเข้ารีตในศาสนาคริสต์นั้น ท่านได้นับถือศาสนามานิกีมาก่อน หรือในยุคต่อมาในงานเขียนของชาวมุสลิมเช่น อัล-บิรูนี (Al-Biruni; البيروني)
ราวปีค.ศ. 242 ท่านมณีซึ่งขณะนั้นอยู่ที่เปอร์เซีย ได้ประสบความสำเร็จในการเผยแพร่ศาสนาถึงขนาดที่ท่านได้รับการสนับสนุนจากจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิซัสซานิดที่ครองราชย์อยู่ในขณะนั้นคือ พระเจ้าชาปูรที่ 1 (Shapur I) ทำให้ท่านและสาวกของท่านได้เผยแผ่ศาสนาออกไปได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น เพราะการอุปถัมภ์ขององค์จักรพรรดินั้นทำให้หลาย ๆ อย่างง่ายดายขึ้น
ในยุคนั้นถือเป็นศาสนาที่แพร่หลายและเป็นที่นิยมมากศาสนาหนึ่งของโลก และเป็นศาสนาที่ถูกนักวิชาการเรียกว่าศาสนาสากลศาสนาแรกของโลก (first world religion)
แต่แล้วในเวลาต่อมาการอุปถัมภ์ของราชสำนักนั้นก็ถูกพิสูจน์ว่าเป็นเพียงสิ่งชั่วคราวเท่านั้น นั้นเพราะทันทีที่พระเจ้าชาปูรสวรรคต และหลังจากรัชสมัยอันสั้นของผู้สืบราชบัลลังก์องค์ต่อไปคือพระเจ้าออร์มิซด์ที่ 1 (Hormizd I) จักรพรรดิองค์ต่อไปนั้นคือพระเจ้าบาห์ราม (Bahram) ก็ได้ขึ้นครองราชย์และก็เป็นจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยบรรดานักบวชชั้นสูงในศาสนาโซโรอัสเตอร์ เริ่มไม่ไว้เนื้อเชื่อใจและเริ่มวิพากย์วิจารณ์ท่านมณีและการเคลื่อนไหวของท่านอย่างหนัก และได้เรียกร้องให้มีการกดดันศาสนามานิกีมากขึ้น จักรพรรดิองค์ใหม่จึงได้เลิกการอุปถัมภ์อย่างเป็นทางการต่อศาสนามานิกีและการกดขี่จึงได้เริ่มขึ้น
ศาสดามณีก็ได้ถูกจับกุมตัวและจองจำในคุก ราวปีค.ศ. 276/277 และก็ได้มีการบันทึกไว้ว่าหลังจากเวลาเพียง 26 วัน ก็ได้พ่ายแพ้ต่อการทรมานในคุกและเสียชีวิตลงในที่สุดเป็นอันปิดฉากชีวิตของท่านมณี แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าจะเป็นจุดจบของศาสนาที่ท่านได้ริเริ่มขึ้นนี้ เพราะท่านและสาวกของท่านนั้นถือได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการเผยแผ่ศาสนานี้ไปสู่ดินแดนต่าง ๆ ทั่วโลก ดังนั้นศาสนานี้จึงยังคงดำเนินต่อไปหลังจากท่านเสียชีวิตแล้วก็ตาม
ศาสดามณีนั้นสอนให้ผู้คน ต้องไม่พูดปด ไม่ฆ่าชีวิตใด ๆ ปฏิบัติตนอย่างอหิงสา ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ดื่มเหล้า และถือเพศพรหมจรรย์ ไม่ข้องเกี่ยวกับกิจกรรมทางเพศและการสืบพันธุ์ใด ๆ อย่างไรก็ตามแม้นี่จะดูเหมือนเป็นสิ่งที่เคร่งครัดอย่างมากกับชีวิตมนุษย์ แต่นั้นก็เพราะว่าชาวมานิกีนั้นไม่จำเป็นจะต้องถือกฏเหล่านี้ทุกคน เพราะศาสนิกของศาสนานี้นั้นถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่นั้นคือ กลุ่มผู้รับเลือก (The Elect; ܡܫܡܫܢܐ) และกลุ่มผู้รับฟัง (The Hearer; ܫܡܘܥܐ)
ผู้รับเลือกนั้นคือผู้รับเลือกที่จะยึดถือคำปฏิญาณของศาสนามานิกีและปฏิบัติตามกฎศาสนบัญญัติเช่นที่กล่าวไปอย่างเคร่งครัด รวมทั้งอธิษฐานและถือศีลอย่างตั้งมั่น เพราะทั้งชีวิตของพวกเขานั้นก็อุทิศไปเพื่อแบ่งแยกความสว่างออกจาความมืด ผ่านวัตรปฏิบัติของพวกเขา
ขณะที่ผู้รับฟังนั้นก็คือเป็นผู้ศรัทธาและนับถือคำสอนของท่านมณีและสาวกผู้นำศาสนาโดยไม่จำเป็นต้องรักษากฎเกณฑ์เหล่านั้นทั้งหมด พวกเขาสามารถกินเนื้อสัตว์ได้แต่จะต้องไม่ฆ่าสัตว์ด้วยตนเอง พวกเขาอาจจะมีเพศสัมพันธ์ได้ แต่จะต้องอยู่ในกฎของการแต่งงานสมรสเท่านั้น และเช่นเดียวกันพวกเขาก็สามารถมีบุตรได้ แต่แม้ว่ากฎศาสนาบัญญัติต่าง ๆ นั้นจะไม่ได้บังคับใช้กับกลุ่มผู้รับฟัง แต่พวกเขาก็ถูกเชิญชวนให้ทำตามกฎเหล่านั้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตัวอย่างเช่น การมีบุตรนั้น แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่อนุญาตสำหรับพวกเขา แต่มันก็ถือเป็นเรื่องดีที่จะไม่มีลูก เพราะตามความเชื่อของศาสนามานิกีแล้วนั้น การมีลูกก็เป็นเหมือนการทำให้วัฏจักรแห่งความมืดของโลกกายภาพยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ เป็นต้น
นอกจากกฎบัญญัติเหล่านี้แล้วนั้น ชาวมานิกีก็ยังต้องสวดมนตร์อธิษฐานประจำวัน แต่จำนวนของการสวดในแต่ละวันนั้นก็ยากที่จะชี้ชัดได้ อาจจะ 3 หรือ 4 ต่อวัน
โดยทั่วไปด้วยความที่ผู้รับเลือกจะต้องดำรงชีวิตอย่างเคร่งครัดและบริสุทธิ์ พวกเขาจึงถูกสั่งห้ามใช้กำลังใด ๆ แม้กระทั้งต่อพืชพรรณธัญญาหารต่าง ๆ ก็ด้วย จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะหาอาหารมาดำรงชีพเองได้ ดังนั้นในมื้ออาหารประจำวัน กลุ่มผู้รับฟัง ก็จะถวายภัตตาหารที่เป็นมังสวิรัติ (เพราะพวกเขาก็ไม่สามารถฆ่าสัตว์เพื่อเอาเนื้อมาได้โดยตนเอง จึงถวายอาหารมังสวิรัติเป็นหลัก) โดยมีการทำเป็นเหมือนพิธีกรรมหนึ่งซึ่งกลุ่มผู้รับเลือก ก็จะอธิษฐานและให้พรกับอาหารและผู้ถวายอาหาร และขจัดปัดเป่าบาปที่ผู้รับฟังได้ทำจากการไปใช้กำลังเอาพืชพรรณมาเป็นอาหารให้กับพวกเขา
ศาสนามานิกีนั้นได้เดินทางข้ามดินแดนตะวันออกกลางไปสู่แอฟริกาเหนือ กระทั้งแผ่ขยายไปถึงสเปน รวมทั้งยังจอร์เจีย (แถบเทือกเขาคอเคซัส) ดินแดนเอเชียกลางและอินเดีย กระทั้งถึงประเทศจีน โดยเมื่อประมาณปีค.ศ. 400 เป็นเวลา 100 กว่าปีหลังจากการเสียชีวิตของท่านมณี ก็ได้มีชุมชนชาวมานิกีอยู่ทั้งที่ซีเรีย, ปาเลสไตน์, อียิปต์, คาบสมุทรอาหรับ, อาร์มีเนีย, โรม, สเปน, เป็นต้น ภายในเวลาแค่น้อยนิดศาสนานี้ก็ได้ขยายไปเกือบทั่วทุกมุมโลกในยุคนั้นเลยก็ว่าได้ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ไม่มีศาสนาไหนในโลกทำได้ก่อนหน้านั้น นี่จึงอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่นักวิชาการเรียกศาสนามานิกีว่าเป็น “ศาสนาสากลศาสนาแรกในประวัติศาสตร์โลก” (first world religion)
โดยสองท่านที่อยู่ตรงกลาง คือ โซโรอัสเตอร์ ด้านกลางขวาคือ พระพุทธเจ้า และท่านที่อยู่ด้านขวาสุดนั้นคือ พระเยซู
ในเอกสารที่ค้นพบ ซึ่งเป็นคัมภีร์คู่มือประกอบศาสนพิธีของศาสนามานิกี ได้มีการเรียกศาสดาทั้งห้า คือ พระนารายณ์ (Naluoyan, 那羅延), ท่าน โซโรอัสเตอร์ (Suluzhi, 蘇路支), พระพุทธเจ้า (Shijiawen, 釋迦文 ), พระเยซู (Yishu, 夷數), และท่านมณี (Moni, 摩尼) ถูกเรียกรวมกันว่า “พระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์” (伍佛)
ที่มา :เพจ พินิจอิสลาม - Islam Examined
เพจ ประวัติศาสตร์ฮาเฮ
www.facebook.com/1686097691645589/posts/2794105060844841/
www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=226404842353090&id=102281271432115