ขอถามวิธีคิดในกรณีของเราหน่อยคะ
ที่บ้านเรา คุณแม่มีคอนโดอยู่ห้องนึง ให้เราอาศัยอยู่ฟรีมากลายปี จนวันนี้เราซื้อบ้าน ย้ายออกจึงปล่อยให้เช่า
ด้วยความที่ ปล่อยห้องให้เช่า ตามความคิดของคุณแม่ ราคามันค่อนข้างสูงไปสักหน่อย (บอกราคาเผื่อต่อ) และไม่ได้ลงทุนในการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้ามาเพิ่มเติม (คือเราย้ายออก เราก็เอาของเราออกมาด้วยน่ะนะคะ)
หลังจากปรึกษากับเพื่อนๆ พี่ๆ เราก็เลยเสนอตัวเข้าไปจัเการ โดยที่คำแนะนำในตอนแรกคือให้เราขอส่วนของค่าเช่าไว้ (เพราะช่วงนี้เราค่อนข้างมีปัญหาเรื่องเงินเหมือนกัน) ซึ่งคุณแม่ก็โอเคคะ
เราซื้อของเข้าห้อง จนกระทั่งหาคนเช่ามาได้
แล้วเราก็รู้สึกไม่ดีคะ เราเลยเอาเงินประกัน และบอกคุณแม่ว่าเราจะคืนค่าเช่าให้ ซึ่งก็คือขอไว้ส่วนที่เราลงทุนซื้อข้าวของเข้าห้องมาเพิ่มในส่วนนั้น (คุณแม่ก็บวกให้เดือนสองเดือนจากยอดนั้น)
หลังตกลงกัน....
วันถัดมา ผู้เช่าไม่พอใจฟูกที่นอนที่เราซื้อเข้าไป จึงต้องการเปลี่ยน ซึ่งปัญหาในการเปลี่ยน ก็มีทั้งค่าขนย้ายและ สถานที่เก็บ (คือตอนนี้เราก็ยังเช่าบ้านอยู่ ยังไม่ได้ย้ายไปที่บ้านใหม่) เราก็ทักไปหาคุณแม่ (ในช่วงที่เรากำลังวุ่นวายอยู่กับงานตัวเอง)
คุณแม่เราพูดกลับมาว่า เราซื้อของถูกก็แบบนั้น มันถึงต้องซื้อของแพง จะได้นอนสบาย แล้วก็โทรนัดมูลนิธิ เรียบร้อย บอกเราแค่ว่าเขาจะมารับเมื่อไรแล้วจะโทรบอก
ตามตรง เราเสียดายเงินคะ เราไม่ได้มีเงินมากขนาด ไม่พอใจ ใช้ครั้งเดียวก็บริจาค (คือก็ไม่ได้ตั้งแง่กีบการทำบุญนะคะ) แต่ถ้าผู้เช่าย้ายออกก็ต้องซื้ออีกไหม
พอเราพูดประเด็นนี้ เขาก็บอกว่า เดี๋ยวเขาซื้อเอง
ตอนนี้เรารู้สึกเหนื่อยคะ รู้สึกไม่ดีเลย
คำถามเราคือ...
เราควร
1) ปล่อยให้เขาบริจาคไปไหมคะ ค่าขนย้ายเราก็ไม่ต้องเสีย แล้วสุดท้ายถ้าผู้เช่าย้ายออก ก็ต้องปล่อยวาง อยากทำอะไรก็สุดแล้วแต่ (ถึงเวลาจะทำได้ไหมก็ไม่รู้)
หรือ
2) ไปขนกลับมา แล้วเก็บไว้ ผู้เช่าย้ายออกก็ค่อยขนกลับไป (ซึ่งค่าขนย้าย สุดท้ายเราก็คงเป็นคนจ่ายอีก เพราะคงไปเก็บเงินเขาไม่ลง)
ควรคิดแบบไหนดีคะ...
ขอวิธีคิด ถ้าเรารู้สึกว่าคนที่บ้านไม่ค่อยคิดถึงเราเท่าไร
ที่บ้านเรา คุณแม่มีคอนโดอยู่ห้องนึง ให้เราอาศัยอยู่ฟรีมากลายปี จนวันนี้เราซื้อบ้าน ย้ายออกจึงปล่อยให้เช่า
ด้วยความที่ ปล่อยห้องให้เช่า ตามความคิดของคุณแม่ ราคามันค่อนข้างสูงไปสักหน่อย (บอกราคาเผื่อต่อ) และไม่ได้ลงทุนในการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้ามาเพิ่มเติม (คือเราย้ายออก เราก็เอาของเราออกมาด้วยน่ะนะคะ)
หลังจากปรึกษากับเพื่อนๆ พี่ๆ เราก็เลยเสนอตัวเข้าไปจัเการ โดยที่คำแนะนำในตอนแรกคือให้เราขอส่วนของค่าเช่าไว้ (เพราะช่วงนี้เราค่อนข้างมีปัญหาเรื่องเงินเหมือนกัน) ซึ่งคุณแม่ก็โอเคคะ
เราซื้อของเข้าห้อง จนกระทั่งหาคนเช่ามาได้
แล้วเราก็รู้สึกไม่ดีคะ เราเลยเอาเงินประกัน และบอกคุณแม่ว่าเราจะคืนค่าเช่าให้ ซึ่งก็คือขอไว้ส่วนที่เราลงทุนซื้อข้าวของเข้าห้องมาเพิ่มในส่วนนั้น (คุณแม่ก็บวกให้เดือนสองเดือนจากยอดนั้น)
หลังตกลงกัน....
วันถัดมา ผู้เช่าไม่พอใจฟูกที่นอนที่เราซื้อเข้าไป จึงต้องการเปลี่ยน ซึ่งปัญหาในการเปลี่ยน ก็มีทั้งค่าขนย้ายและ สถานที่เก็บ (คือตอนนี้เราก็ยังเช่าบ้านอยู่ ยังไม่ได้ย้ายไปที่บ้านใหม่) เราก็ทักไปหาคุณแม่ (ในช่วงที่เรากำลังวุ่นวายอยู่กับงานตัวเอง)
คุณแม่เราพูดกลับมาว่า เราซื้อของถูกก็แบบนั้น มันถึงต้องซื้อของแพง จะได้นอนสบาย แล้วก็โทรนัดมูลนิธิ เรียบร้อย บอกเราแค่ว่าเขาจะมารับเมื่อไรแล้วจะโทรบอก
ตามตรง เราเสียดายเงินคะ เราไม่ได้มีเงินมากขนาด ไม่พอใจ ใช้ครั้งเดียวก็บริจาค (คือก็ไม่ได้ตั้งแง่กีบการทำบุญนะคะ) แต่ถ้าผู้เช่าย้ายออกก็ต้องซื้ออีกไหม
พอเราพูดประเด็นนี้ เขาก็บอกว่า เดี๋ยวเขาซื้อเอง
ตอนนี้เรารู้สึกเหนื่อยคะ รู้สึกไม่ดีเลย
คำถามเราคือ...
เราควร
1) ปล่อยให้เขาบริจาคไปไหมคะ ค่าขนย้ายเราก็ไม่ต้องเสีย แล้วสุดท้ายถ้าผู้เช่าย้ายออก ก็ต้องปล่อยวาง อยากทำอะไรก็สุดแล้วแต่ (ถึงเวลาจะทำได้ไหมก็ไม่รู้)
หรือ
2) ไปขนกลับมา แล้วเก็บไว้ ผู้เช่าย้ายออกก็ค่อยขนกลับไป (ซึ่งค่าขนย้าย สุดท้ายเราก็คงเป็นคนจ่ายอีก เพราะคงไปเก็บเงินเขาไม่ลง)
ควรคิดแบบไหนดีคะ...