วันนี้เป็นวันที่เราว่างมากๆอย่างที่ไม่ได้ว่างมานานแล้ว และเป็นวันที่เราอยากมาแชร์ประสบการณ์การทำงานที่แรกของตัวเองที่เพิ่งเจอมา อย่างน้อยก็เพื่อเป็นบันทึกให้ตัวเองว่าครั้งหนึ่งเราเคยผ่านเรื่องแบบนี้มา
หลังจากเรียนจบเราได้เริ่มงานแรกที่บริษัทแห่งหนึ่ง ตอนนั้นดีใจมาก เป็นอีกก้าวสำคัญของชีวิต จำได้เลยว่าไฟแรงสุดๆ อยากไปทำงาน อยากทำงานให้ดี อยากทำผลงานให้ดี อยากพิสูจน์ตัวเอง ด้วยความที่เราเพิ่งจบใหม่ยังไม่มีประสบการณ์ก็แอบมีความกังวลเล็กๆ แต่ HR บอกว่าไม่ต้องห่วง ที่นี่เราอยู่กันแบบสบายๆ มีรุ่นพี่ในทีมช่วยสอนงาน เราก็สบายใจ โชคดีที่เราเป็นคนเฮฮา คุยสนุก เลยเข้ากับคนง่าย ได้เพื่อนใหม่อย่างรวดเร็ว มีพี่ๆเพื่อนๆในทีมคอยสอนงาน ตรวจงาน เราเองก็ตั้งใจทำงานเต็มที่ พยายามเรียนรู้ให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด ช่วงแรกเราได้เจอเจ้านายแค่แวบๆ ยังไม่เคยคุยงานกันตรงๆ ทุกอย่างแฮปปี้มาก
จนถึงช่วงที่เราผ่านทดลองงาน ก็เริ่มได้ทำงานกับเจ้านายมากขึ้น ได้คุยงานกับเจ้านายโดยตรง เราก็พอทำใจไว้แล้วเพราะพี่ๆเคยบอกว่าเจ้านายเป็นคนเข้มงวด พูดตรงๆ และค่อนข้างดุ เราก็คิดแค่ว่า ถ้าเราทำหน้าที่ของเราให้ดีก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่พอมาทำงานด้วยกันจริงๆ กลายเป็นว่าเรามีเรื่องให้โดนเจ้านายบ่นเกือบทุกวัน บางทีก็เป็นเรื่องที่เราไม่เคยรู้มาก่อน บางทีก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้ผิดอะไร แค่ไม่ถูกใจ ถึงจะไม่ได้หยาบคาย แต่คำที่ด่ามีแต่คำดูถูก กดเราให้รู้สึกแย่และอาย เคยมีครั้งนึงที่เราทำตามที่เจ้านายสั่งทุกอย่าง แต่เค้าลืมว่าเค้าเป็นคนสั่งให้เราทำแบบนี้ พอถึงเวลาส่งงานไป กลับอยากให้เราทำอีกอย่างนึง พอเราบอกว่า เจ้านายเป็นคนบอกให้ทำแบบนี้ค่ะ ก็โดนหาว่าแก้ตัว ถ้าเค้าสั่งเองเค้าจะจำไม่ได้ ได้ยังไง ครั้งนั้นเค้าด่าเราเสียงดังมาก ดังแบบทุกคนในออฟฟิศได้ยิน เราก็ไม่มีหลักฐาน เลยได้แต่ก้มหน้ารับผิด
สถานการณ์เป็นแบบนี้ตลอด แต่ละวันเราแทบจะต้องสวดมนต์ขอให้ไม่โดนด่า ขอให้วันนี้ไม่มีอะไรผิดพลาด เพราะเราพยายามทุกทางแล้วก็เหมือนเค้าจะต้องหาเรื่องมาว่าเราได้ตลอดจริงๆ เราเปลี่ยนจากคนที่ไฟแรงมากๆ เหมือนกลายเป็นหมดไฟไปเลย รู้สึกว่าพยายามแค่ไหนก็ไม่ดีพอซักที จากคนเฮฮา ร่าเริง เรากลายเป็นไม่อยากจะคุยกับใคร เวลาพักกลางวันก็รีบกินข้าวแล้วมานั่งดูงาน กลายเป็นคนวิตกกังวลตลอดเวลา ยิ่งช่วงหลังๆเริ่มมีภาวะเครียด นอนไม่หลับ ในหัวคิดแต่เรื่องงาน กลัวจะมีอะไรพลาด คืนนึงเรานอนน้อยมากๆ ประมาณ 3-4 ชั่วโมง เกือบทุกวัน กว่าจะหลับก็ยาก หลับแล้วก็หลับไม่สนิท มันเครียดตลอดเวลา เริ่มหมดใจกับการไปทำงาน ทุกเช้าไม่อยากตื่น ไม่อยากลุกไปทำงาน เครียดจนคลื่นไส้ อยากอ้วกทุกเช้า รู้สึกว่ามันพังไปหมด ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต ที่เค้าบอกว่าใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว เราเข้าใจก็ตอนนี้ คือพอเครียดมากๆ ร่างกายมันรวนไปหมดเลย เราเป็นแบบนั้นตลอดประมาณ 7-8 เดือน เราเครียดจนร้องไห้แทบทุกวัน อยากลาออกทุกวัน แต่ก็กลัวพ่อแม่จะผิดหวัง เราไม่เคยเล่าเรื่องที่ทำงานในมุมแย่ๆให้พ่อแม่ฟังเลยค่ะ ไม่อยากให้เค้าเป็นห่วง ไหนจะภาระที่ยังต้องรับผิดชอบ กลัวว่าลาออกไปจะหางานยากมั้ย ได้แต่โทษตัวเองซ้ำๆ ทบทวนตัวเองทุกวันว่าเราผิดอะไร บางเรื่องเราควรต้องโดนด่าขนาดนี้เลยหรอ
จนวันนึงที่เรารู้สึกว่าเริ่มจะไม่ไหวแล้ว เรากำลังขับรถกลับบ้านหลังจากเลิกงาน ตอนนั้นประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ อยู่ดีๆก็วูบไปเลย โชคดีมากๆที่ไม่เป็นอะไร เพราะวูบตอนรถติดไฟแดง รู้ตัวอีกทีคือมีคนมาเคาะกระจก เราตกใจมากรีบขอโทษแล้วขับไปแบบงงๆ ไม่คิดว่าชีวิตตัวเองจะมาถึงจุดนี้ ความรู้สึกก่อนที่จะวูบคือ เราเหนื่อยมาก ง่วง แล้วอยู่ดีๆร่างกายก็ชัดดาวน์ไปเลย ตอนขับรถออกมาจากตรงนั้นเราร้องไห้เลย มันพรั่งพรูไปหมด อีกใจก็รู้สึกว่าครั้งนี้ยังโชคดีมากๆ ถ้าไปวูบตอนกำลังขับรถอยู่คงไม่โชคดีแบบนี้แน่ๆ วันรุ่งขึ้นเราเลยลองไปแหย่ๆปรึกษาพ่อแม่ดูเรื่องจะลาออก เล่าเรื่องที่โดนด่าทุกวันจนเครียด แต่ไม่ได้เล่าเรื่องที่วูบตอนขับรถ วันนั้นพ่อแม่ก็ให้กำลังใจ แล้วบอกว่า “ให้ลองสู้อีกหน่อย อดทนอีกสักครั้ง ถ้าไม่ไหวก็ออกมา”
หลังจากตัดสินใจจะอดทนทำงานต่อ เลยกลับมาหาวิธีแก้ปัญหาเรื่องอาการนอนไม่หลับก่อนเป็นอย่างแรกเลย เพราะเรารู้สึกว่าการที่เรานอนไม่พอมันส่งผลกระทบเยอะมาก ที่เห็นชัดๆคือง่วงตลอดเวลา การทำงานของสมองการคิดการตัดสินใจหลายอย่างของเรามันไม่มีประสิทธิภาพ การควบคุมอารมณ์แย่ลงมากๆ หงุดหงิดง่าย อ่อนไหวกว่าปกติ ทำให้การใช้ชีวิตของเรามันแย่ลงไปอีกจากเดิมที่เครียดเรื่องงาน เรื่องเจ้านายอยู่แล้ว ยิ่งพาลทำให้รู้สึกไม่มีความสุขในการมีชีวิตอยู่แต่ละวันเข้าไปใหญ่ เลยคิดว่าต้องรีบแก้เรื่องนี้ก่อนเลย
เราไปปรึกษาที่ร้านขายยาแถวบ้าน เค้าแนะนำให้กินเมลาโทนิน จะช่วยปรับวงจรการนอนหลับของเราให้กลับมามีคุณภาพอย่างที่ควรเป็น แต่ร้านเค้าไม่ได้ขาย เลยแนะนำให้เราไปหาซื้อในเน็ตดูเดี๋ยวนี้มีขายเยอะมาก เราลองกินเมลาโทนินยี่ห้อนึงของต่างประเทศ ก็เห็นผลนะ หลับง่ายขึ้น นอนได้เยอะขึ้น แต่สังเกตว่าตอนเช้าตื่นมาแล้วไม่สดชื่น เหมือนอยากนอนต่อ ตอนกลางวันก็ยังรู้สึกง่วงเหมือนเดิม ไม่สบายตัว มันซึมๆหงุดหงิดๆ บอกไม่ถูก รู้สึกว่าแย่ลงมีอาการคล้ายซึมเศร้าด้วย เราไม่รู้ว่าเกี่ยวมั้ยแต่เท่าที่สังเกตตัวเองมันเป็นแบบนั้น ช่วงนั้นกลางคืนหลับได้มากขึ้นจริง แต่มันกระทบกับการทำงานตอนกลางวันด้วย เลยเปลี่ยนยี่ห้อ ก็มานั่งหาข้อมูลเพิ่ม ถึงรู้ว่าเมลาโทนินส่วนใหญ่ที่ขายกันรวมถึงยี่ห้อที่เรากินเป็นแบบสังเคราะห์ ถ้ากินแบบธรรมชาติก็จะดีกว่า เราเลยเปลี่ยนมากินของ GN9 เพราะมันมีส่วนผสมที่ช่วยเรื่องลดความเครียดด้วย ก็เลยดีขึ้น หลับง่ายหลับสนิทขึ้น ตอนเช้าตื่นมาไม่งัวเงีย รู้สึกว่าระหว่างวันสดชื่นขึ้นมาก
เรื่องความเครียดเราปรับโดยการหาอะไรที่ช่วยผ่อนคลายทำก่อนนอนเช่น ดูหนังที่เนื้อหาเบาๆ การ์ตูนสบายๆ ฟังเพลงเบาๆ อ่านหนังสือที่ช่วยฮีลใจ แล้วก็ให้แง่คิดดีๆ นอกจากทำให้ความเครียดค่อยๆเบาลง (อย่างน้อยก็ช่วงที่ไม่ได้ทำงาน) แล้วยังทำให้เราได้มองอะไรหลายมุมมากขึ้น คิดอะไรได้มากขึ้น ใครอยากหาหนังสืออ่านเราแนะนำเลยค่ะ อันนี้คือหนังสือที่เราอ่านแล้วรู้สึกว่าดีต่อใจนะคะ
หลังจากลองปรับเปลี่ยนที่ตัวเองมาได้ประมาณเดือนนึงก็เริ่มดีขึ้นค่ะ ทั้งเรื่องฮีลความเครียด การนอนต่างๆดีขึ้นมาก ร่างกายดีขึ้น ไม่รู้สึกอยากอ้วกก่อนไปทำงานแล้ว แต่ก็ยังโดนเจ้านายด่าเกือบทุกวันเหมือนเดิมนั่นแหละค่ะ ถามว่ารู้สึกดีขึ้นมั้ยมันก็ไม่หรอก คนเราไม่มีใครอยากโดนพูดจาแย่ๆใส่อยู่แล้ว แต่ในเมื่อเราเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ ก็ต้องมาเปลี่ยนที่ตัวเองแทนดีที่สุด ในส่วนไหนที่เราผิดจริง พลาดจริง เรายอมรับและแก้ไขตลอด เพราะไม่อยากพลาดซ้ำๆ อยากพิสูจน์ตัวเองด้วยว่าเราทำได้ และจะทำให้ดีด้วย เราก็คิดว่าตัวเองทำงานอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว จนเราตั้งสติ ถอยหลังมามองภาพรวมดีๆ เรารู้สึกว่า มันเป็นที่ตัวเจ้านายแล้วแหละ ที่ไม่มีวาทะศิลป์ในการพูด ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ และวันนึงเราก็คิดได้ว่าเราไม่จำเป็นต้องมาทนอยู่กับคนที่ toxic แบบนี้ เราอยากเป็นคนเดิมที่มีไฟในการทำงาน มีไฟในการพัฒนาตัวเอง เราไม่อยากให้เรื่องแย่ๆนี้มาบั่นทอนกำลังใจในชีวิตการทำงานของเราอีกต่อไปแล้ว ในส่วนที่ผิดพลาดในการทำงานเราจะจดจำไว้และแก้ไขแน่นอน แต่กับที่อื่นนะ …
ใช่ค่ะ ตอนนี้เราลาออกจากที่นั่นแล้ว เมื่อวานเป็นวันทำงานวันสุดท้าย เราสัมผัสได้เลยว่า ตั้งแต่วันที่เรายื่นใบลาออก เหมือนเราได้ยกภูเขาออกจากอก ไม่เครียดเท่าที่ผ่านมาทั้งที่ยังต้องทำงานส่วนที่เหลืออยู่ แล้วพอเรานอนหลับเป็นปกติแล้วเราก็ไม่ต้องกิน GN9 อีก ร่างกายมันเหมือนรู้เลยค่ะ ทุกอย่างดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวันนี้เป็นวันที่เรารู้สึกสบายใจมากจริงๆ วันนี้เราเลยว่างแบบสุดๆ ได้มีเวลากลับมาทบทวนเรื่องราวอีกครั้ง รู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจถูกแล้ว สุขภาพจิตและร่างกายของเราสำคัญที่สุดจริงๆ เราได้ออกมาพักใจ รีเฟรชตัวเอง เพื่อจะได้กลับไปเป็นสาวออฟฟิศไฟแรงสูงอีกครั้ง ดีกว่าไปจมอยู่กับอะไรที่บั่นทอนตัวเอง
เราอยากเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังเหนื่อย ท้อ กับการทำงาน กับเพื่อนร่วมงาน กับเจ้านาย หรือกับอะไรก็ตามนะคะ พวกคุณเก่งมากๆ พวกคุณทำดีที่สุดแล้ว แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ถ้าทนแล้วทำให้ความภูมิใจในตัวเองของเรามันหายไป ถ้าทนแล้วมันทำร้ายจิตใจตัวเองมากเกินไป ลองหยุด แล้วทบทวนอีกทีนะคะ ว่าควรทำยังไงต่อไปดี แต่ละคนมีเงื่อนไขในชีวิตไม่เหมือนกัน ความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน มีภาระไม่เท่ากัน มีเรื่องที่ต้องพยายามเพื่อปกป้องต่างกันไป เราจะไม่บอกให้ทุกคนตัดสินใจเหมือนเรา แต่เราอยากให้ทุกคนรักตัวเองให้มากๆ และตัดสินใจเลือกทำในสิ่งที่ดีกับตัวเองที่สุดจริงๆ และไม่ว่าจะเลือกทางไหน จะถอยมาตั้งหลัก หรือจะทนสู้ต่อ เราขอให้ทุกคนมีความสุขกับการตัดสินใจนั้นนะคะ เราเองจากนี้ก็จะเลือกเส้นทางใหม่ให้ตัวเองเช่นกัน
ขอบคุณที่อ่านจนจบ
สวัสดีค่ะ
ทำงานที่แรก โดนเจ้านายด่าจนกลายเป็นคนวิตกจริตเครียดอ้วกก่อนไปทำงานทุกวัน
หลังจากเรียนจบเราได้เริ่มงานแรกที่บริษัทแห่งหนึ่ง ตอนนั้นดีใจมาก เป็นอีกก้าวสำคัญของชีวิต จำได้เลยว่าไฟแรงสุดๆ อยากไปทำงาน อยากทำงานให้ดี อยากทำผลงานให้ดี อยากพิสูจน์ตัวเอง ด้วยความที่เราเพิ่งจบใหม่ยังไม่มีประสบการณ์ก็แอบมีความกังวลเล็กๆ แต่ HR บอกว่าไม่ต้องห่วง ที่นี่เราอยู่กันแบบสบายๆ มีรุ่นพี่ในทีมช่วยสอนงาน เราก็สบายใจ โชคดีที่เราเป็นคนเฮฮา คุยสนุก เลยเข้ากับคนง่าย ได้เพื่อนใหม่อย่างรวดเร็ว มีพี่ๆเพื่อนๆในทีมคอยสอนงาน ตรวจงาน เราเองก็ตั้งใจทำงานเต็มที่ พยายามเรียนรู้ให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด ช่วงแรกเราได้เจอเจ้านายแค่แวบๆ ยังไม่เคยคุยงานกันตรงๆ ทุกอย่างแฮปปี้มาก
จนถึงช่วงที่เราผ่านทดลองงาน ก็เริ่มได้ทำงานกับเจ้านายมากขึ้น ได้คุยงานกับเจ้านายโดยตรง เราก็พอทำใจไว้แล้วเพราะพี่ๆเคยบอกว่าเจ้านายเป็นคนเข้มงวด พูดตรงๆ และค่อนข้างดุ เราก็คิดแค่ว่า ถ้าเราทำหน้าที่ของเราให้ดีก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่พอมาทำงานด้วยกันจริงๆ กลายเป็นว่าเรามีเรื่องให้โดนเจ้านายบ่นเกือบทุกวัน บางทีก็เป็นเรื่องที่เราไม่เคยรู้มาก่อน บางทีก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้ผิดอะไร แค่ไม่ถูกใจ ถึงจะไม่ได้หยาบคาย แต่คำที่ด่ามีแต่คำดูถูก กดเราให้รู้สึกแย่และอาย เคยมีครั้งนึงที่เราทำตามที่เจ้านายสั่งทุกอย่าง แต่เค้าลืมว่าเค้าเป็นคนสั่งให้เราทำแบบนี้ พอถึงเวลาส่งงานไป กลับอยากให้เราทำอีกอย่างนึง พอเราบอกว่า เจ้านายเป็นคนบอกให้ทำแบบนี้ค่ะ ก็โดนหาว่าแก้ตัว ถ้าเค้าสั่งเองเค้าจะจำไม่ได้ ได้ยังไง ครั้งนั้นเค้าด่าเราเสียงดังมาก ดังแบบทุกคนในออฟฟิศได้ยิน เราก็ไม่มีหลักฐาน เลยได้แต่ก้มหน้ารับผิด
สถานการณ์เป็นแบบนี้ตลอด แต่ละวันเราแทบจะต้องสวดมนต์ขอให้ไม่โดนด่า ขอให้วันนี้ไม่มีอะไรผิดพลาด เพราะเราพยายามทุกทางแล้วก็เหมือนเค้าจะต้องหาเรื่องมาว่าเราได้ตลอดจริงๆ เราเปลี่ยนจากคนที่ไฟแรงมากๆ เหมือนกลายเป็นหมดไฟไปเลย รู้สึกว่าพยายามแค่ไหนก็ไม่ดีพอซักที จากคนเฮฮา ร่าเริง เรากลายเป็นไม่อยากจะคุยกับใคร เวลาพักกลางวันก็รีบกินข้าวแล้วมานั่งดูงาน กลายเป็นคนวิตกกังวลตลอดเวลา ยิ่งช่วงหลังๆเริ่มมีภาวะเครียด นอนไม่หลับ ในหัวคิดแต่เรื่องงาน กลัวจะมีอะไรพลาด คืนนึงเรานอนน้อยมากๆ ประมาณ 3-4 ชั่วโมง เกือบทุกวัน กว่าจะหลับก็ยาก หลับแล้วก็หลับไม่สนิท มันเครียดตลอดเวลา เริ่มหมดใจกับการไปทำงาน ทุกเช้าไม่อยากตื่น ไม่อยากลุกไปทำงาน เครียดจนคลื่นไส้ อยากอ้วกทุกเช้า รู้สึกว่ามันพังไปหมด ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต ที่เค้าบอกว่าใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว เราเข้าใจก็ตอนนี้ คือพอเครียดมากๆ ร่างกายมันรวนไปหมดเลย เราเป็นแบบนั้นตลอดประมาณ 7-8 เดือน เราเครียดจนร้องไห้แทบทุกวัน อยากลาออกทุกวัน แต่ก็กลัวพ่อแม่จะผิดหวัง เราไม่เคยเล่าเรื่องที่ทำงานในมุมแย่ๆให้พ่อแม่ฟังเลยค่ะ ไม่อยากให้เค้าเป็นห่วง ไหนจะภาระที่ยังต้องรับผิดชอบ กลัวว่าลาออกไปจะหางานยากมั้ย ได้แต่โทษตัวเองซ้ำๆ ทบทวนตัวเองทุกวันว่าเราผิดอะไร บางเรื่องเราควรต้องโดนด่าขนาดนี้เลยหรอ
จนวันนึงที่เรารู้สึกว่าเริ่มจะไม่ไหวแล้ว เรากำลังขับรถกลับบ้านหลังจากเลิกงาน ตอนนั้นประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ อยู่ดีๆก็วูบไปเลย โชคดีมากๆที่ไม่เป็นอะไร เพราะวูบตอนรถติดไฟแดง รู้ตัวอีกทีคือมีคนมาเคาะกระจก เราตกใจมากรีบขอโทษแล้วขับไปแบบงงๆ ไม่คิดว่าชีวิตตัวเองจะมาถึงจุดนี้ ความรู้สึกก่อนที่จะวูบคือ เราเหนื่อยมาก ง่วง แล้วอยู่ดีๆร่างกายก็ชัดดาวน์ไปเลย ตอนขับรถออกมาจากตรงนั้นเราร้องไห้เลย มันพรั่งพรูไปหมด อีกใจก็รู้สึกว่าครั้งนี้ยังโชคดีมากๆ ถ้าไปวูบตอนกำลังขับรถอยู่คงไม่โชคดีแบบนี้แน่ๆ วันรุ่งขึ้นเราเลยลองไปแหย่ๆปรึกษาพ่อแม่ดูเรื่องจะลาออก เล่าเรื่องที่โดนด่าทุกวันจนเครียด แต่ไม่ได้เล่าเรื่องที่วูบตอนขับรถ วันนั้นพ่อแม่ก็ให้กำลังใจ แล้วบอกว่า “ให้ลองสู้อีกหน่อย อดทนอีกสักครั้ง ถ้าไม่ไหวก็ออกมา”
หลังจากตัดสินใจจะอดทนทำงานต่อ เลยกลับมาหาวิธีแก้ปัญหาเรื่องอาการนอนไม่หลับก่อนเป็นอย่างแรกเลย เพราะเรารู้สึกว่าการที่เรานอนไม่พอมันส่งผลกระทบเยอะมาก ที่เห็นชัดๆคือง่วงตลอดเวลา การทำงานของสมองการคิดการตัดสินใจหลายอย่างของเรามันไม่มีประสิทธิภาพ การควบคุมอารมณ์แย่ลงมากๆ หงุดหงิดง่าย อ่อนไหวกว่าปกติ ทำให้การใช้ชีวิตของเรามันแย่ลงไปอีกจากเดิมที่เครียดเรื่องงาน เรื่องเจ้านายอยู่แล้ว ยิ่งพาลทำให้รู้สึกไม่มีความสุขในการมีชีวิตอยู่แต่ละวันเข้าไปใหญ่ เลยคิดว่าต้องรีบแก้เรื่องนี้ก่อนเลย
เราไปปรึกษาที่ร้านขายยาแถวบ้าน เค้าแนะนำให้กินเมลาโทนิน จะช่วยปรับวงจรการนอนหลับของเราให้กลับมามีคุณภาพอย่างที่ควรเป็น แต่ร้านเค้าไม่ได้ขาย เลยแนะนำให้เราไปหาซื้อในเน็ตดูเดี๋ยวนี้มีขายเยอะมาก เราลองกินเมลาโทนินยี่ห้อนึงของต่างประเทศ ก็เห็นผลนะ หลับง่ายขึ้น นอนได้เยอะขึ้น แต่สังเกตว่าตอนเช้าตื่นมาแล้วไม่สดชื่น เหมือนอยากนอนต่อ ตอนกลางวันก็ยังรู้สึกง่วงเหมือนเดิม ไม่สบายตัว มันซึมๆหงุดหงิดๆ บอกไม่ถูก รู้สึกว่าแย่ลงมีอาการคล้ายซึมเศร้าด้วย เราไม่รู้ว่าเกี่ยวมั้ยแต่เท่าที่สังเกตตัวเองมันเป็นแบบนั้น ช่วงนั้นกลางคืนหลับได้มากขึ้นจริง แต่มันกระทบกับการทำงานตอนกลางวันด้วย เลยเปลี่ยนยี่ห้อ ก็มานั่งหาข้อมูลเพิ่ม ถึงรู้ว่าเมลาโทนินส่วนใหญ่ที่ขายกันรวมถึงยี่ห้อที่เรากินเป็นแบบสังเคราะห์ ถ้ากินแบบธรรมชาติก็จะดีกว่า เราเลยเปลี่ยนมากินของ GN9 เพราะมันมีส่วนผสมที่ช่วยเรื่องลดความเครียดด้วย ก็เลยดีขึ้น หลับง่ายหลับสนิทขึ้น ตอนเช้าตื่นมาไม่งัวเงีย รู้สึกว่าระหว่างวันสดชื่นขึ้นมาก
เรื่องความเครียดเราปรับโดยการหาอะไรที่ช่วยผ่อนคลายทำก่อนนอนเช่น ดูหนังที่เนื้อหาเบาๆ การ์ตูนสบายๆ ฟังเพลงเบาๆ อ่านหนังสือที่ช่วยฮีลใจ แล้วก็ให้แง่คิดดีๆ นอกจากทำให้ความเครียดค่อยๆเบาลง (อย่างน้อยก็ช่วงที่ไม่ได้ทำงาน) แล้วยังทำให้เราได้มองอะไรหลายมุมมากขึ้น คิดอะไรได้มากขึ้น ใครอยากหาหนังสืออ่านเราแนะนำเลยค่ะ อันนี้คือหนังสือที่เราอ่านแล้วรู้สึกว่าดีต่อใจนะคะ
หลังจากลองปรับเปลี่ยนที่ตัวเองมาได้ประมาณเดือนนึงก็เริ่มดีขึ้นค่ะ ทั้งเรื่องฮีลความเครียด การนอนต่างๆดีขึ้นมาก ร่างกายดีขึ้น ไม่รู้สึกอยากอ้วกก่อนไปทำงานแล้ว แต่ก็ยังโดนเจ้านายด่าเกือบทุกวันเหมือนเดิมนั่นแหละค่ะ ถามว่ารู้สึกดีขึ้นมั้ยมันก็ไม่หรอก คนเราไม่มีใครอยากโดนพูดจาแย่ๆใส่อยู่แล้ว แต่ในเมื่อเราเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ ก็ต้องมาเปลี่ยนที่ตัวเองแทนดีที่สุด ในส่วนไหนที่เราผิดจริง พลาดจริง เรายอมรับและแก้ไขตลอด เพราะไม่อยากพลาดซ้ำๆ อยากพิสูจน์ตัวเองด้วยว่าเราทำได้ และจะทำให้ดีด้วย เราก็คิดว่าตัวเองทำงานอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว จนเราตั้งสติ ถอยหลังมามองภาพรวมดีๆ เรารู้สึกว่า มันเป็นที่ตัวเจ้านายแล้วแหละ ที่ไม่มีวาทะศิลป์ในการพูด ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ และวันนึงเราก็คิดได้ว่าเราไม่จำเป็นต้องมาทนอยู่กับคนที่ toxic แบบนี้ เราอยากเป็นคนเดิมที่มีไฟในการทำงาน มีไฟในการพัฒนาตัวเอง เราไม่อยากให้เรื่องแย่ๆนี้มาบั่นทอนกำลังใจในชีวิตการทำงานของเราอีกต่อไปแล้ว ในส่วนที่ผิดพลาดในการทำงานเราจะจดจำไว้และแก้ไขแน่นอน แต่กับที่อื่นนะ …
ใช่ค่ะ ตอนนี้เราลาออกจากที่นั่นแล้ว เมื่อวานเป็นวันทำงานวันสุดท้าย เราสัมผัสได้เลยว่า ตั้งแต่วันที่เรายื่นใบลาออก เหมือนเราได้ยกภูเขาออกจากอก ไม่เครียดเท่าที่ผ่านมาทั้งที่ยังต้องทำงานส่วนที่เหลืออยู่ แล้วพอเรานอนหลับเป็นปกติแล้วเราก็ไม่ต้องกิน GN9 อีก ร่างกายมันเหมือนรู้เลยค่ะ ทุกอย่างดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวันนี้เป็นวันที่เรารู้สึกสบายใจมากจริงๆ วันนี้เราเลยว่างแบบสุดๆ ได้มีเวลากลับมาทบทวนเรื่องราวอีกครั้ง รู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจถูกแล้ว สุขภาพจิตและร่างกายของเราสำคัญที่สุดจริงๆ เราได้ออกมาพักใจ รีเฟรชตัวเอง เพื่อจะได้กลับไปเป็นสาวออฟฟิศไฟแรงสูงอีกครั้ง ดีกว่าไปจมอยู่กับอะไรที่บั่นทอนตัวเอง
เราอยากเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังเหนื่อย ท้อ กับการทำงาน กับเพื่อนร่วมงาน กับเจ้านาย หรือกับอะไรก็ตามนะคะ พวกคุณเก่งมากๆ พวกคุณทำดีที่สุดแล้ว แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ถ้าทนแล้วทำให้ความภูมิใจในตัวเองของเรามันหายไป ถ้าทนแล้วมันทำร้ายจิตใจตัวเองมากเกินไป ลองหยุด แล้วทบทวนอีกทีนะคะ ว่าควรทำยังไงต่อไปดี แต่ละคนมีเงื่อนไขในชีวิตไม่เหมือนกัน ความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน มีภาระไม่เท่ากัน มีเรื่องที่ต้องพยายามเพื่อปกป้องต่างกันไป เราจะไม่บอกให้ทุกคนตัดสินใจเหมือนเรา แต่เราอยากให้ทุกคนรักตัวเองให้มากๆ และตัดสินใจเลือกทำในสิ่งที่ดีกับตัวเองที่สุดจริงๆ และไม่ว่าจะเลือกทางไหน จะถอยมาตั้งหลัก หรือจะทนสู้ต่อ เราขอให้ทุกคนมีความสุขกับการตัดสินใจนั้นนะคะ เราเองจากนี้ก็จะเลือกเส้นทางใหม่ให้ตัวเองเช่นกัน
ขอบคุณที่อ่านจนจบ
สวัสดีค่ะ