พุ่งไม่หยุดใกล้ทะลุหมื่น โควิดวันนี้ ติดเชื้อเพิ่มอีก 9,909 ราย ดับ 22 ศพ
https://www.khaosod.co.th/covid-19/news_6870570
ใกล้ทะลุหมื่นอีก พุ่งไม่หยุด โควิดวันนี้ ติดเชื้ออีก 9,909 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 188 ราย เสียชีวิต 22 ศพ ผู้ป่วยสะสม 252,197 ราย
วันที่ 4 ก.พ.65 กระทรวงสาธารณสุข รายงาน ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 รวม 9,909 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากในประเทศ 9,721 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 188 ราย
ผู้ป่วยสะสม 252,197 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) หายป่วยกลับบ้าน 7,827 ราย หายป่วยสะสม 198,415 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกำลังรักษา 86,473 ราย เสียชีวิต 22 ราย
“กรุงเทพประกันภัย” ยอดเคลมโควิดพุ่งเป็น 2 เท่า ชี้สภาพคล่องเพียงพอจ่าย
https://www.prachachat.net/finance/news-857589
กรุงเทพประกันภัย ประชุมร่วม คปภ.เตรียมพร้อมจัดการสินไหมประกันโควิด เหลือคุ้มครองกว่า 1.4 ล้านกรมธรรม์ พบเดือน ม.ค.65 ยอดเคลมพุ่งเป็น 2 เท่าจากเดือน ธ.ค.64 หรือกว่า 360 เคลมต่อวัน
วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2565 ดร.
อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เปิดเผยถึงการประเมินสถานการณ์ของการประกันภัยโควิดในปัจจุบันว่า กรมธรรม์ประกันภัยโควิดของบริษัทที่ยังมีผลบังคับและให้ความคุ้มครองอยู่ในขณะนี้มีอยู่จำนวนกว่า 1.4 ล้านกรมธรรม์ เป็นกรมธรรม์แบบเจอจ่ายจบ รวมจำนวน 1.1 ล้านกรมธรรม์
ซึ่งกรมธรรม์ส่วนใหญ่ประมาณ 70% จะสิ้นสุดระยะเวลาคุ้มครองในเดือนเมษายน 2565 และจะทยอยสิ้นสุดความคุ้มครองครบ 100% ในเดือนมิถุนายน 2565 โดยมีวงเงินค่าสินไหมทดแทนเฉลี่ยต่อรายประมาณ 43,000 บาท
และตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 ถึงปัจจุบันที่การระบาดจากการติดเชื้อโควิดของไทยพบว่าเป็นสายพันธุ์โอมิครอนในวงกว้าง ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อโดยเฉลี่ยของเดือนมกราคม 2565 เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าเมื่อเทียบกับอัตราเฉลี่ยของผู้ติดเชื้อในเดือนธันวาคม 2564 ซึ่งสะท้อนถึงจำนวนการเคลมสินไหมทดแทนประกันภัยโควิดของบริษัท ที่สอดคล้องกับอัตราการติดเชื้อในภาพรวมเช่นเดียวกัน
กล่าวคือ ยอดการเคลมสินไหมทดแทนในเดือนมกราคม 2565 เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากค่าเฉลี่ยของยอดเคลมในเดือนธันวาคม 2564 หรือจากยอดเคลมเฉลี่ย 160 เคลมต่อวัน ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ยกว่า 360 เคลมต่อวัน ขณะที่ผู้ป่วยที่ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนส่วนใหญ่จะมีอาการที่ไม่รุนแรง สามารถแยกกักตัวที่บ้านและดูแลแบบ Home Isolation ได้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแบบผู้ป่วยในหรือรักษาตัวในฮอลพิเทล
โดยโรงพยาบาลจะมีการพิจารณาอย่างเหมาะสมในการรักษาแบบผู้ป่วยในตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดไว้ ได้แก่
– มีไข้สูงกว่า 39 องศาเซลเซียส ระยะเวลานานกว่า 24 ชั่วโมง
– หายใจเร็วกว่า 25 ครั้งต่อนาที (ในผู้ใหญ่)
-Oxygen Saturation น้อยกว่า 94%
– โรคประจำตัวที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือจำเป็นต้องติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ตามดุลยพินิจของแพทย์
– สำหรับในเด็ก หากมีอาการหายใจลำบาก ซึมลง ดื่มนมหรือทานอาหารน้อยลง
จากเหตุผลดังกล่าว ส่งผลให้สัดส่วนการจ่ายค่าสินไหมทดแทนประกันภัยโควิดสำหรับค่ารักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วยในของโรงพยาบาลลดลง รวมถึงการเคลมสินไหมทดแทนจากภาวะอาการโคม่าลดลงด้วยเช่นกัน จากจำนวนผู้เสียชีวิตที่ลดลง ทำให้ในภาพรวมมีจำนวนการเคลมต่อคนลดลง
อย่างไรก็ตาม เพื่อเตรียมความพร้อมในการบริหารจัดการด้านสินไหมทดแทนประกันภัยโควิด บริษัทได้ประชุมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)
ในการประเมินสถานการณ์ของผู้ติดเชื้อในประเทศสำหรับปี 2565 จากสถานการณ์ต่างๆ ไว้ 3 ระดับ คือ
– กรณีที่มีผู้ติดเชื้อโควิด 16,000 คนต่อวัน บริษัทฯ จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนสูงสุด 3,000 ล้านบาท
– กรณีที่มีผู้ติดเชื้อโควิด 26,000 คนต่อวัน บริษัทฯ จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนสูงสุด 6,000 ล้านบาท
– กรณีที่มีผู้ติดเชื้อโควิด 34,000 คนต่อวัน บริษัทฯ จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนสูงสุด 7,000 ล้านบาท
แม้ขณะนี้จะมีลูกค้าที่แจ้งเคลมสินไหมประกันภัยโควิดเฉลี่ยปริมาณกว่า 360 เคลมต่อวัน แต่บริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้ภายในเวลาที่กำหนด นอกจากนี้ บริษัทยังได้ตรวจสอบพบว่า เอกสารที่ส่งมาเบิกเคลมค่าสินไหมทดแทนบางส่วนเป็นเอกสารที่มีการปลอมแปลงหรือแก้ไขข้อมูลเพื่อให้เกิดประโยชน์ในการเคลมประกันภัย เช่น ใบรับรองผลการตรวจ RT-PCR
ดังนั้นเจ้าหน้าที่ของบริษัท จึงต้องมีความระมัดระวังและมีการตรวจสอบละเอียดมากขึ้นจากการเคลมฉ้อฉลที่เพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทจะดำเนินคดีอาญาตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ขอสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าว่า บริษัทมีความพร้อมสูงในการบริหารจัดการความเสี่ยง
โดยมีสินทรัพย์สภาพคล่องเพียงพอสามารถรองรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่อาจเกิดขึ้นในกรณีที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อจากสถานการณ์ต่างๆ ที่ประเมินไว้ข้างต้น ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 บริษัทมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนมากกว่า 200% เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยเงินกองทุนที่สามารถนำมาใช้ได้ทั้งหมด (Total Capital Available) มีจำนวนกว่า 31,700 ล้านบาท
หัวอกแม่สุดช้ำครูตีลูกป.4น่องแตก แถมบุกบ้านให้ลบโพสต์-ไล่ลาออกจากโรงเรียน
https://www.dailynews.co.th/news/731098/
ผู้ปกครองโวยครูใช้ไม้เรียวตีลูกสาวนักเรียน ป.4 จนน่องแตกขาเป็นแผลหนองพุพอง รับลูกอาจจะดื้อ แต่ไม่สมควรลงโทษด้วยการตี น่าจะใช้วิธีอื่น ที่ช้ำใจกว่านี้เจอครูกับผู้ใหญ่บ้าน บุกบ้านบอกให้ลบโพสต์ทิ้ง ลั่นถ้าโรงเรียนไม่ดีให้ลาออกไป
เมื่อวันที่ 4 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้โพสต์รูปภาพร่องรอยบาดแผลที่บริเวณขาด้านหลังของเด็กนักเรียนหญิง ชั้น ป.4 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.เพชรบูรณ์ ที่ถูกครูตีด้วยไม้เรียวจนหัก พร้อมระบุข้อความว่า
“มีสิทธิ์อะไรให้ลบรูปคะย่านโรงเรียนเสียชื่อเสียงเว้ามาได้ไงตอนคุณทำคุณคือบ่คิดตอนนี้จะมาโอดโอย ลูกหนูเจ็บตัวใครรับผิดชอบค่ะคำขอโทษกองไว้ตรงนั้นค่ะ ขออนุญาติบ่รับค่ะ แล้วคนเป็นผู้ใหญ่บ้านนี่ควรเว้าแบบนี้ติเว้ามาได้ไงว่าถ้าโรงเรียนนี่บ่ดีกะพาลูกลาออกไปป้าดโธ้ เว้าแล้วมาสูนแท้ บอกเลยค่ะเรื่องนี้บ่จบง่ายๆดอก#ฝากแชร์ด้วยนะคะเห็นบ้านฉันบ่รุ้เรื่องกะอย่ามาข่มเหงกันคักปานนั้นจิตรใจคุณทำด้วยอะไรกัน”
ภายหลังจากที่ภาพและข้อความดังกล่าวถูกแพร่ออกไป ได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กเข้ามากดไลด์ กดแชร์ และแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนัก ถึงพฤติกรรมครูคนดังกล่าวว่า ทำเกินกว่าเหตุ เช่น “เกินไปอะ ค่อยๆสอนค่อยๆบอกก็ได้ ไม่เห็นต้องตีขนาดนี้เลย อย่ายอมนะแม่เอาเรื่องให้ถึงที่สุด, ทำโทษได้ แต่บ่ใช่ขนาดนี้ ยอมได้ที่ไหนเป็นฉันถึงโรงเรียนละ เกินกว่าเหตุ พ่อแม่เลี้ยงมายังบตีขนาดนี้เลย , ถ้าที่นี่แจ้งความเป็นคดีเลยนะ..ทุกวันนี้เขาไม่ตีเด็กแล้ว..ครูไปอยู่ไหนมา กลับชาติมาเกิดบ่..ถ้าเป็นสมัยเรามันเรื่องปกติ แต่สมัยนี้..ตีแบบนี้โดนคดีนะครู , ดูแม่พิมพ์ของชาติทำกะเด็กๆ, ทุกวันนี้เขาไม่ตีกันแล้วคะ , รัฐบาลเขาออกกฎหมายห้ามตี” เป็นต้น
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยังเจ้าของเฟซบุ๊กดังกล่าว ซึ่งเป็นผู้ปกครองของเด็กหญิงบี (นามสมมุติ) นักเรียนชั้น ป.4 โรงเรียนแห่งหนึ่ง ใน อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ เปิดเผยว่า เด็กหญิงบี ที่โดนครูตี เป็นลูกสาวของตน แต่ตนทำงานอยู่ต่างจังหวัด เลยให้ลูกสาวอยู่กับยายและตาที่บ้าน และให้เรียนหนังสือที่โรงเรียนใกล้บ้าน ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร แต่วานนี้ (3 ก.พ.) ยายบอกว่า เด็กหญิงบี ได้แสดงกริยากระทืบเท้าเสียงดังใส่ครู จึงถูกครูลงโทษด้วยการใช้ไม้เรียวตีที่บริเวณน่องขา จำนวน 5 ครั้ง จนไม้เรียวหัก จากนั้นยายก็ได้ส่งรูปภาพให้ตนดู วินาทีแรกที่ตนเห็นภาพที่ลูกโดนครูตี ตนแทบร้องไห้ เพราะสงสารลูกมาก และรับไม่ได้กับการกระทำของครู เพราะถึงเด็กจะดื้อจะเกเรขนาดไหน คนเป็นครูก็ไม่สมควรลงโทษด้วยการตี มันมีวิธีลงโทษอย่างอื่นมากมาย นี่อะไร ตีถึงขั้นน่องเป็นแผล มีเลือดซึมออกมา และเป็นแผลหนองพุพอง และที่แย่ไปกว่านั้น ทางครู และทางผู้ใหญ่บ้าน เดินทางไปที่บ้านบอกให้ยายลบโพสต์ทิ้ง นอกจากนี้ทางผู้ใหญ่บ้านยังบอกอีกว่า ถ้าโรงเรียนไม่ดีก็ให้ลูกสาวลาออกจากโรงเรียนไป.
JJNY : ติดเชื้อ9,909 ดับ22│“กรุงเทพประกันภัย”ยอดเคลมโควิดพุ่งเป็น2เท่า│ครูตีป.4น่องแตกแถมบุกบ้าน│ส.ส.พท.ชงลดค่าเทอมอีก
https://www.khaosod.co.th/covid-19/news_6870570
ใกล้ทะลุหมื่นอีก พุ่งไม่หยุด โควิดวันนี้ ติดเชื้ออีก 9,909 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 188 ราย เสียชีวิต 22 ศพ ผู้ป่วยสะสม 252,197 ราย
วันที่ 4 ก.พ.65 กระทรวงสาธารณสุข รายงาน ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 รวม 9,909 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากในประเทศ 9,721 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 188 ราย
ผู้ป่วยสะสม 252,197 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) หายป่วยกลับบ้าน 7,827 ราย หายป่วยสะสม 198,415 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกำลังรักษา 86,473 ราย เสียชีวิต 22 ราย
“กรุงเทพประกันภัย” ยอดเคลมโควิดพุ่งเป็น 2 เท่า ชี้สภาพคล่องเพียงพอจ่าย
https://www.prachachat.net/finance/news-857589
กรุงเทพประกันภัย ประชุมร่วม คปภ.เตรียมพร้อมจัดการสินไหมประกันโควิด เหลือคุ้มครองกว่า 1.4 ล้านกรมธรรม์ พบเดือน ม.ค.65 ยอดเคลมพุ่งเป็น 2 เท่าจากเดือน ธ.ค.64 หรือกว่า 360 เคลมต่อวัน
วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2565 ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เปิดเผยถึงการประเมินสถานการณ์ของการประกันภัยโควิดในปัจจุบันว่า กรมธรรม์ประกันภัยโควิดของบริษัทที่ยังมีผลบังคับและให้ความคุ้มครองอยู่ในขณะนี้มีอยู่จำนวนกว่า 1.4 ล้านกรมธรรม์ เป็นกรมธรรม์แบบเจอจ่ายจบ รวมจำนวน 1.1 ล้านกรมธรรม์
ซึ่งกรมธรรม์ส่วนใหญ่ประมาณ 70% จะสิ้นสุดระยะเวลาคุ้มครองในเดือนเมษายน 2565 และจะทยอยสิ้นสุดความคุ้มครองครบ 100% ในเดือนมิถุนายน 2565 โดยมีวงเงินค่าสินไหมทดแทนเฉลี่ยต่อรายประมาณ 43,000 บาท
และตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 ถึงปัจจุบันที่การระบาดจากการติดเชื้อโควิดของไทยพบว่าเป็นสายพันธุ์โอมิครอนในวงกว้าง ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อโดยเฉลี่ยของเดือนมกราคม 2565 เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าเมื่อเทียบกับอัตราเฉลี่ยของผู้ติดเชื้อในเดือนธันวาคม 2564 ซึ่งสะท้อนถึงจำนวนการเคลมสินไหมทดแทนประกันภัยโควิดของบริษัท ที่สอดคล้องกับอัตราการติดเชื้อในภาพรวมเช่นเดียวกัน
กล่าวคือ ยอดการเคลมสินไหมทดแทนในเดือนมกราคม 2565 เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากค่าเฉลี่ยของยอดเคลมในเดือนธันวาคม 2564 หรือจากยอดเคลมเฉลี่ย 160 เคลมต่อวัน ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ยกว่า 360 เคลมต่อวัน ขณะที่ผู้ป่วยที่ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนส่วนใหญ่จะมีอาการที่ไม่รุนแรง สามารถแยกกักตัวที่บ้านและดูแลแบบ Home Isolation ได้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแบบผู้ป่วยในหรือรักษาตัวในฮอลพิเทล
โดยโรงพยาบาลจะมีการพิจารณาอย่างเหมาะสมในการรักษาแบบผู้ป่วยในตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดไว้ ได้แก่
– มีไข้สูงกว่า 39 องศาเซลเซียส ระยะเวลานานกว่า 24 ชั่วโมง
– หายใจเร็วกว่า 25 ครั้งต่อนาที (ในผู้ใหญ่)
-Oxygen Saturation น้อยกว่า 94%
– โรคประจำตัวที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือจำเป็นต้องติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ตามดุลยพินิจของแพทย์
– สำหรับในเด็ก หากมีอาการหายใจลำบาก ซึมลง ดื่มนมหรือทานอาหารน้อยลง
จากเหตุผลดังกล่าว ส่งผลให้สัดส่วนการจ่ายค่าสินไหมทดแทนประกันภัยโควิดสำหรับค่ารักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วยในของโรงพยาบาลลดลง รวมถึงการเคลมสินไหมทดแทนจากภาวะอาการโคม่าลดลงด้วยเช่นกัน จากจำนวนผู้เสียชีวิตที่ลดลง ทำให้ในภาพรวมมีจำนวนการเคลมต่อคนลดลง
อย่างไรก็ตาม เพื่อเตรียมความพร้อมในการบริหารจัดการด้านสินไหมทดแทนประกันภัยโควิด บริษัทได้ประชุมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)
ในการประเมินสถานการณ์ของผู้ติดเชื้อในประเทศสำหรับปี 2565 จากสถานการณ์ต่างๆ ไว้ 3 ระดับ คือ
– กรณีที่มีผู้ติดเชื้อโควิด 16,000 คนต่อวัน บริษัทฯ จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนสูงสุด 3,000 ล้านบาท
– กรณีที่มีผู้ติดเชื้อโควิด 26,000 คนต่อวัน บริษัทฯ จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนสูงสุด 6,000 ล้านบาท
– กรณีที่มีผู้ติดเชื้อโควิด 34,000 คนต่อวัน บริษัทฯ จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนสูงสุด 7,000 ล้านบาท
แม้ขณะนี้จะมีลูกค้าที่แจ้งเคลมสินไหมประกันภัยโควิดเฉลี่ยปริมาณกว่า 360 เคลมต่อวัน แต่บริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้ภายในเวลาที่กำหนด นอกจากนี้ บริษัทยังได้ตรวจสอบพบว่า เอกสารที่ส่งมาเบิกเคลมค่าสินไหมทดแทนบางส่วนเป็นเอกสารที่มีการปลอมแปลงหรือแก้ไขข้อมูลเพื่อให้เกิดประโยชน์ในการเคลมประกันภัย เช่น ใบรับรองผลการตรวจ RT-PCR
ดังนั้นเจ้าหน้าที่ของบริษัท จึงต้องมีความระมัดระวังและมีการตรวจสอบละเอียดมากขึ้นจากการเคลมฉ้อฉลที่เพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทจะดำเนินคดีอาญาตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ขอสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าว่า บริษัทมีความพร้อมสูงในการบริหารจัดการความเสี่ยง
โดยมีสินทรัพย์สภาพคล่องเพียงพอสามารถรองรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่อาจเกิดขึ้นในกรณีที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อจากสถานการณ์ต่างๆ ที่ประเมินไว้ข้างต้น ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 บริษัทมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนมากกว่า 200% เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยเงินกองทุนที่สามารถนำมาใช้ได้ทั้งหมด (Total Capital Available) มีจำนวนกว่า 31,700 ล้านบาท
หัวอกแม่สุดช้ำครูตีลูกป.4น่องแตก แถมบุกบ้านให้ลบโพสต์-ไล่ลาออกจากโรงเรียน
https://www.dailynews.co.th/news/731098/
ผู้ปกครองโวยครูใช้ไม้เรียวตีลูกสาวนักเรียน ป.4 จนน่องแตกขาเป็นแผลหนองพุพอง รับลูกอาจจะดื้อ แต่ไม่สมควรลงโทษด้วยการตี น่าจะใช้วิธีอื่น ที่ช้ำใจกว่านี้เจอครูกับผู้ใหญ่บ้าน บุกบ้านบอกให้ลบโพสต์ทิ้ง ลั่นถ้าโรงเรียนไม่ดีให้ลาออกไป
เมื่อวันที่ 4 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้โพสต์รูปภาพร่องรอยบาดแผลที่บริเวณขาด้านหลังของเด็กนักเรียนหญิง ชั้น ป.4 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.เพชรบูรณ์ ที่ถูกครูตีด้วยไม้เรียวจนหัก พร้อมระบุข้อความว่า
“มีสิทธิ์อะไรให้ลบรูปคะย่านโรงเรียนเสียชื่อเสียงเว้ามาได้ไงตอนคุณทำคุณคือบ่คิดตอนนี้จะมาโอดโอย ลูกหนูเจ็บตัวใครรับผิดชอบค่ะคำขอโทษกองไว้ตรงนั้นค่ะ ขออนุญาติบ่รับค่ะ แล้วคนเป็นผู้ใหญ่บ้านนี่ควรเว้าแบบนี้ติเว้ามาได้ไงว่าถ้าโรงเรียนนี่บ่ดีกะพาลูกลาออกไปป้าดโธ้ เว้าแล้วมาสูนแท้ บอกเลยค่ะเรื่องนี้บ่จบง่ายๆดอก#ฝากแชร์ด้วยนะคะเห็นบ้านฉันบ่รุ้เรื่องกะอย่ามาข่มเหงกันคักปานนั้นจิตรใจคุณทำด้วยอะไรกัน”
ภายหลังจากที่ภาพและข้อความดังกล่าวถูกแพร่ออกไป ได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กเข้ามากดไลด์ กดแชร์ และแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนัก ถึงพฤติกรรมครูคนดังกล่าวว่า ทำเกินกว่าเหตุ เช่น “เกินไปอะ ค่อยๆสอนค่อยๆบอกก็ได้ ไม่เห็นต้องตีขนาดนี้เลย อย่ายอมนะแม่เอาเรื่องให้ถึงที่สุด, ทำโทษได้ แต่บ่ใช่ขนาดนี้ ยอมได้ที่ไหนเป็นฉันถึงโรงเรียนละ เกินกว่าเหตุ พ่อแม่เลี้ยงมายังบตีขนาดนี้เลย , ถ้าที่นี่แจ้งความเป็นคดีเลยนะ..ทุกวันนี้เขาไม่ตีเด็กแล้ว..ครูไปอยู่ไหนมา กลับชาติมาเกิดบ่..ถ้าเป็นสมัยเรามันเรื่องปกติ แต่สมัยนี้..ตีแบบนี้โดนคดีนะครู , ดูแม่พิมพ์ของชาติทำกะเด็กๆ, ทุกวันนี้เขาไม่ตีกันแล้วคะ , รัฐบาลเขาออกกฎหมายห้ามตี” เป็นต้น
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยังเจ้าของเฟซบุ๊กดังกล่าว ซึ่งเป็นผู้ปกครองของเด็กหญิงบี (นามสมมุติ) นักเรียนชั้น ป.4 โรงเรียนแห่งหนึ่ง ใน อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ เปิดเผยว่า เด็กหญิงบี ที่โดนครูตี เป็นลูกสาวของตน แต่ตนทำงานอยู่ต่างจังหวัด เลยให้ลูกสาวอยู่กับยายและตาที่บ้าน และให้เรียนหนังสือที่โรงเรียนใกล้บ้าน ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร แต่วานนี้ (3 ก.พ.) ยายบอกว่า เด็กหญิงบี ได้แสดงกริยากระทืบเท้าเสียงดังใส่ครู จึงถูกครูลงโทษด้วยการใช้ไม้เรียวตีที่บริเวณน่องขา จำนวน 5 ครั้ง จนไม้เรียวหัก จากนั้นยายก็ได้ส่งรูปภาพให้ตนดู วินาทีแรกที่ตนเห็นภาพที่ลูกโดนครูตี ตนแทบร้องไห้ เพราะสงสารลูกมาก และรับไม่ได้กับการกระทำของครู เพราะถึงเด็กจะดื้อจะเกเรขนาดไหน คนเป็นครูก็ไม่สมควรลงโทษด้วยการตี มันมีวิธีลงโทษอย่างอื่นมากมาย นี่อะไร ตีถึงขั้นน่องเป็นแผล มีเลือดซึมออกมา และเป็นแผลหนองพุพอง และที่แย่ไปกว่านั้น ทางครู และทางผู้ใหญ่บ้าน เดินทางไปที่บ้านบอกให้ยายลบโพสต์ทิ้ง นอกจากนี้ทางผู้ใหญ่บ้านยังบอกอีกว่า ถ้าโรงเรียนไม่ดีก็ให้ลูกสาวลาออกจากโรงเรียนไป.