อาถรรพ์คนเล่นของ
ตอน คาถาซ่อนวิญญาณ
บทนำ
“คุณสมร คุณสุดา เชิญทางนี้ค่ะ”
หญิงสูงวัยร่างท้วมเอ่ยทักทายสองหญิงผู้กำลังขึ้นจากเรือพายมาส่ง สู่ศาลาท่าน้ำของบ้าน ‘พิชาญชัยณรงค์’
ร่างโปร่งที่ยืนอยู่ข้างหญิงมากวัยกว่าบางเหมือนยอดอ้อ สวมเสื้อตัวหลวมสีกลีบบัวคอปาด ผูกโบว์ใหญ่ไว้ที่สะโพกข้างหนึ่ง นุ่งผ้าซิ่นสีเดียวกันยาวคลุมเข่าตามสมัยนิยม ขับผิวขาวให้นวลผ่อง ผมสีน้ำตาลอ่อนดัดเป็นลอนยาวสลวยเคลียไหล่ เผยช่วงลำคอระหง ตาคมจมูกโด่ง ลำแขนเรียวบางเนียนละเอียดกลมกลึง นิ้วเรียวถือกระเป๋าสานใบขนาดย่อมมาใบหนึ่ง คะเนดูด้วยสายตา อายุเธอคงไม่เกินยี่สิบปี
คนนี้ละหรือ ว่าที่คุณหญิงคนใหม่แห่งบ้านพิชาญชัยณรงค์...ดูสวยอ่อนหวานเข้าทีมากกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก
หญิงผู้รอคอยต้อนรับอยู่บนศาลา ผายมือไปทางทางเดินปูอิฐมอญ ต่อจากศาลาท่าน้ำสู่สวนดอกไม้กว้างขวาง ก่อนถึงลานหน้าบ้านทรงยุโรปสูงสองชั้นหลังใหญ่ที่เห็นอยู่ไกลไปอีกหน่อย
“ฉันชื่อลำเจียก เป็นแม่บ้านให้บ้านพิชาญชัยณรงค์ เจ้าคุณพิชาญรอคุณสุดาอยู่ที่ห้องท่านชั้นบนค่ะ”
ร่างท้วมเดินนำหน้ามาสู่ทางเดินปูอิฐ เดินพลางหันมาแนะนำตัวเองไปพลาง ลักษณะท่าทางดูคล่องแคล่วฉับไว แตกต่างจากร่างกายที่ค่อนข้างเจ้าเนื้อ
“เสียเวลารอเรือมารับร่วมชั่วโมง เจ้าคุณท่านคงไม่ว่ากระไรดอกนะแม่คุณ”
หญิงสูงวัยร่างผอมคนที่มากับหญิงสาวรุ่น เอ่ยเสียงแผ่วเบาอย่างเกรงอกเกรงใจ นัยน์ตาแฝงแววกังวลต่อการมาถึงที่นี่ล่าช้ากว่ากำหนดเวลาของพวกตน ด้วยพากันมากับลูกสาวเพียงสองคนเท่านั้น จึงไม่น่าจะชักช้า แต่เพราะเสียเวลาอธิบายต่อสุดาอย่างยืดยาว ก่อนจะพากันมานั่นแหละ กว่าจะตกลงกันได้ และคนเป็นลูกสาวยินยอมพร้อมใจ จึงไม่อาจคาดเดาได้ว่า เจ้าของบ้านชายผู้มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงขุนท้าวเจ้าพระยา จะต่อว่าอะไรตนหรือเปล่า และเขาจะนึกชอบใจสุดาลูกสาวของตนจริงหรือไม่ เพราะที่แล้วมา ข่าวว่า ท่านเพียงแค่เห็นรูปสุดาในงานฤดูหนาวคราวก่อนเท่านั้น จากนั้นท่านจึงส่งคนให้ไปพูดจาทาบทามตน เพื่อรับเอาสุดามาเป็นภริยา โดยนัดเจรจากันที่บ้านท่านในวันนี้ มีข้อแม้เบื้องต้นว่าจะยกหนี้สินที่ตนเป็นหนี้ท่วมหัวให้เป็นสินน้ำใจทั้งหมด
“เจ้าคุณท่านใจดี เรื่องแค่นี้ท่านไม่ว่ากระไรหรอก วันนี้ท่านทานมื้อเช้าแล้วก็รอพวกคุณอยู่ที่ชั้นบน คุณตามฉันมาทางนี้ค่ะ”
สุดาเดินตามพลางฟังมารดาสนทนากับแม่บ้านของบ้านนี้ไปเงียบ ๆ ดวงหน้าหวานละมุนเฉยชา นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลใส ราวกับมีหยดน้ำกลิ้งอยู่ข้างในจ้องมองไปข้างหน้า ปลงตกกับวาสนาของตนเองไปเสียแล้ว ลูกผู้หญิงอย่างตน หากทำตัวไม่ดีมีพฤติกรรมที่เสื่อมเสีย คนเขาก็จะครหานินทาเปรียบเปรยเอาว่า เป็นเหมือนห้องส้วมที่ตั้งรออยู่หน้าบ้าน รอวันส่งกลิ่นเหม็นโฉ่ แต่หากทำตัวเรียบร้อยดีไม่มีข้อครหา ก็ถูกตีราคาเท่ากับเป็นทรัพย์สินชิ้นหนึ่งของครอบครัวเท่านั้นเอง...ทรัพย์สินที่มีหัวใจ
ตรงจากท่าน้ำถึงเชิงบันไดหินห้าขั้นไปสู่โถงชั้นล่าง ที่นั่นมีผู้ชายวัยหนุ่มคนหนึ่งยืนรออยู่ เขามีรูปร่างสูงใหญ่ แต่งกายสุภาพ หน้าตาคมเข้มแบบหนุ่มชาวใต้ นัยน์ตาเหมือนจะยิ้มได้จ้องมองมาที่สุดา
“คุณดิเรกเป็นเลขาส่วนตัวของท่านเจ้าคุณค่ะ เขาจะพาคุณสองคนขึ้นไปชั้นบนนะคะ”
ลำเจียกหยุดอยู่แค่หน้าประตูทางเข้า ไม่ได้เดินเข้ามาภายในบ้านด้วย หล่อนเอ่ยบอกแก่สองแขกหญิง ก่อนหันไปสบตากับดิเรกแวบหนึ่ง แล้วหันหลังลงบันไดไป
สุดามองหน้าชายหนุ่ม ริมฝีปากค่อนข้างหนาคลี่ยิ้มให้ ยิ้มทั้งนัยน์ตาคู่คมนั้นด้วย
“สวัสดีครับ คุณสมร คุณสุดา เชิญชั้นบนครับ ผมจะพาพวกคุณไปพบกับเจ้าคุณเอง”
บนชั้นสองของบ้านนั่นเอง ที่สุดาได้เจอกับพระยาพิชาญ ผู้เป็นเจ้าของบ้าน หญิงสาวไม่นึกเลยว่าผู้ที่มียศถาบรรดาศักดิ์เป็นถึงพระยาพิชาญชัยณรงค์ อดีตนายทหารชั้นผู้ใหญ่ จะกลายเป็นชายแก่ผู้น่าสงสาร นอนป่วยติดเตียงมาเป็นเวลาช้านานด้วยสังขารอันทรุดโทรม จนต้องมีคนรับใช้คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง และดูเหมือนจะมีดิเรกเป็นคนรู้ใจใกล้ชิดเพียงคนเดียวที่อยู่เป็นเพื่อนด้วยในบ้านหลังนี้
“เธอจะรังเกียจคนแก่ป่วยติดเตียงอย่างฉันไหมล่ะ แม่สุดา ถ้าเธอไม่รังเกียจก็ไม่มีปัญหาอะไร เธอมาเป็นคุณหญิงของฉันในบ้านหลังนี้ได้ ฉันรับรองว่าเธอจะมีเกียรติและศักดิ์ศรีของเจ้าของบ้านหญิงอย่างเต็มที่ ไม่เป็นสองรองใคร”
“แสดงว่าสุดาจะได้แต่งงานจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมายกับท่านใช่ไหมคะ”
สมรมีท่าทีดีใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อได้รับคำยืนยันจากปากของเจ้าคุณเอง แสดงว่าเจ้าคุณท่านนี้ไม่ได้มีเมียเล็กเมียน้อยอยู่ในบ้านหลังนี้อีก อาจเพราะสังขารอันร่วงโรยไม่อำนายให้มี หรือเคยมี แต่พอสามีเจ็บป่วยด้วยโรคประหลาดที่ไม่มีวี่แววว่าจะหายขาด ก็พากันทิ้งไปหมด ส่วนเมียเอกได้ยินมาว่าเสียชีวิตไปเกือบปีแล้ว และเป็นสาเหตุให้เจ้าคุณตรอมใจจนล้มป่วย
คนบนเตียงพยักหน้ารับ แต่ก็แย้งว่า
“จดทะเบียนสมรสกัน ฉันจดกับสุดาแน่นอน เธอไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องนั้น แต่แต่งงานกันฉันคงแต่งให้ไม่ได้ เธอก็เห็นแล้วว่าสภาพของฉันมันน่าอนาถแค่ไหน คงไม่อยากเห็นเจ้าบ่าวถูกอุ้มไปวางให้คนรดน้ำสังข์ในงานแต่งลูกสาวเธอหรอกนะ แม่สมร”
สมรนึกภาพตามแล้วกลั้นขำ...ก็ได้ จะเป็นไรไป ไม่แต่งก็ไม่แต่ง ขอแค่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามกฎหมายของชายแก่คนนี้ มีส่วนได้ส่วนเสียในมรดกอันมากมายมหาศาล เวลาที่ท่านสิ้นใจไปแล้วก็พอ นึกอย่างครึ้มอกครึ้มใจ มานึก ๆ ดูต้องถือว่าเป็นบุญของสุดาลูกสาวตน ที่จู่ ๆ ก็มีราชรถมาเกย
“แต่อย่าลืมว่าเป็นเมียก็ต้องมีหน้าที่ดูแลปรนนิบัติผัว ฉันต้องการให้สุดามาอยู่ดูแลฉันตลอดเวลาในห้องนี้ แทนที่จะเป็นคนรับใช้ นอกจากตอนฉันนอนหลับ ถึงค่อยออกไปทำธุระอย่างอื่นได้ เธอคงทำได้นะ”
เอียงหน้ามาเอ่ยถามหญิงสาวร่างบอบบางที่ยังคงนั่งนิ่งเงียบอยู่บนเก้าอี้ไม้สักลงแลกเกอร์เป็นเงาวับ เคียงข้างกับสมรผู้เป็นมารดา ข้างเตียงของตน โดยมีดิเรกนั่งประจันหน้าอยู่ด้วยอีกด้านหนึ่ง
“ค่ะ”
เสียงตอบรับแผ่วเบาแทบไม่ลอดพ้นริมฝีปากของคนพูด...ลืมความหวังความฝันทั้งมวลของตนเองเสียเถิด สุดาเอ๋ย...เพื่อทดแทนบุญคุณของมารดาที่อุตส่าห์เลี้ยงดูตนมาเป็นอย่างดี ไหนจะน้องสาวอีกสองคนซึ่งกำลังต้องการความช่วยเหลือจากเธออยู่ ในช่วงสงครามเช่นนี้มีแต่ความอดอยาก ผู้คนอยู่ในสภาวะข้าวยากหมากแพง มองไปทางไหนมีแต่ความขัดสน ทุกครอบครัวต้องดิ้นรนหาทางเอาตัวรอด ทั้งจากภัยสงครามภายนอก และสงครามเศรษฐกิจในบ้านเมืองของตนเอง ความฝันและความต้องการของสุดาจึงไม่อยู่เหนือบุคคลอันเป็นที่รักในครอบครัวไปได้
“แต่ฉันก็ไม่ได้ถึงกับไม่ให้มีพิธีการอะไรเลยนะ เราจะยังมีพิธีทำบุญเลี้ยงพระ เลี้ยงสังสรรค์กันในบรรดาญาติพี่น้องมิตรสหายที่สนิท และคนในบ้าน เพียงแต่จะไม่จัดงานให้มันใหญ่โตเอิกเกริกเท่านั้นเอง” เสียงที่พูดแม้แหบแห้งลงบ้าง แต่ก็ยังทรงอำนาจเช่นเดิม
“ฉันจะถือฤกษ์ดีในอาทิตย์หน้านี้ ให้ดิเรกเขาเป็นคนจัดการประสานงานกับแม่สมรเอง รวมทั้งค่าสินสอดทองหมั้นทั้งหมด และธุรกรรมที่เคยติดค้างฉันอยู่ ก็จะให้ดิเรกจัดการเสียด้วยเลยเช่นเดียวกัน หวังว่าทางแม่สมรคงพอใจ”
สมรยิ้มแต้เป็นคำตอบอย่างอิ่มเอมใจ มองดูเจ้าคุณพิชาญสั่งให้ดิเรกเปิดตู้เซฟในห้องออก หยิบเอาแหวนเพชรเม็ดงามวงหนึ่งออกมา แล้วพยักหน้าให้สุดาลุกเดินมาหา เมื่อหญิงสาวยอบตัวลงคุกเข่าแล้วยื่นมือมา เจ้าคุณพิชาญก็หยิบแหวนจากมือดิเรกมาสวมให้ที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอ
“ฉันหมั้นเธอวันนี้เลยนะ อาทิตย์หน้าเราค่อยแต่งงานกัน”
ใบหน้างามละมุนก้มลงมองนิ้วมือที่สวมแหวนของตัวเอง หยาดน้ำอุ่นซึมออกมาที่หัวตา เธอเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าชราของว่าที่สามี สบตาที่มีเพียงแววเวทนาอยู่ในนั้น แล้วน้ำใสก็ไหลรินลงเปื้อนแก้ม...
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
อาถรรพ์คนเล่นของ ตอน คาถาซ่อนวิญญาณ EP.1
ตอน คาถาซ่อนวิญญาณ
บทนำ
“คุณสมร คุณสุดา เชิญทางนี้ค่ะ”
หญิงสูงวัยร่างท้วมเอ่ยทักทายสองหญิงผู้กำลังขึ้นจากเรือพายมาส่ง สู่ศาลาท่าน้ำของบ้าน ‘พิชาญชัยณรงค์’
ร่างโปร่งที่ยืนอยู่ข้างหญิงมากวัยกว่าบางเหมือนยอดอ้อ สวมเสื้อตัวหลวมสีกลีบบัวคอปาด ผูกโบว์ใหญ่ไว้ที่สะโพกข้างหนึ่ง นุ่งผ้าซิ่นสีเดียวกันยาวคลุมเข่าตามสมัยนิยม ขับผิวขาวให้นวลผ่อง ผมสีน้ำตาลอ่อนดัดเป็นลอนยาวสลวยเคลียไหล่ เผยช่วงลำคอระหง ตาคมจมูกโด่ง ลำแขนเรียวบางเนียนละเอียดกลมกลึง นิ้วเรียวถือกระเป๋าสานใบขนาดย่อมมาใบหนึ่ง คะเนดูด้วยสายตา อายุเธอคงไม่เกินยี่สิบปี
คนนี้ละหรือ ว่าที่คุณหญิงคนใหม่แห่งบ้านพิชาญชัยณรงค์...ดูสวยอ่อนหวานเข้าทีมากกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก
หญิงผู้รอคอยต้อนรับอยู่บนศาลา ผายมือไปทางทางเดินปูอิฐมอญ ต่อจากศาลาท่าน้ำสู่สวนดอกไม้กว้างขวาง ก่อนถึงลานหน้าบ้านทรงยุโรปสูงสองชั้นหลังใหญ่ที่เห็นอยู่ไกลไปอีกหน่อย
“ฉันชื่อลำเจียก เป็นแม่บ้านให้บ้านพิชาญชัยณรงค์ เจ้าคุณพิชาญรอคุณสุดาอยู่ที่ห้องท่านชั้นบนค่ะ”
ร่างท้วมเดินนำหน้ามาสู่ทางเดินปูอิฐ เดินพลางหันมาแนะนำตัวเองไปพลาง ลักษณะท่าทางดูคล่องแคล่วฉับไว แตกต่างจากร่างกายที่ค่อนข้างเจ้าเนื้อ
“เสียเวลารอเรือมารับร่วมชั่วโมง เจ้าคุณท่านคงไม่ว่ากระไรดอกนะแม่คุณ”
หญิงสูงวัยร่างผอมคนที่มากับหญิงสาวรุ่น เอ่ยเสียงแผ่วเบาอย่างเกรงอกเกรงใจ นัยน์ตาแฝงแววกังวลต่อการมาถึงที่นี่ล่าช้ากว่ากำหนดเวลาของพวกตน ด้วยพากันมากับลูกสาวเพียงสองคนเท่านั้น จึงไม่น่าจะชักช้า แต่เพราะเสียเวลาอธิบายต่อสุดาอย่างยืดยาว ก่อนจะพากันมานั่นแหละ กว่าจะตกลงกันได้ และคนเป็นลูกสาวยินยอมพร้อมใจ จึงไม่อาจคาดเดาได้ว่า เจ้าของบ้านชายผู้มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงขุนท้าวเจ้าพระยา จะต่อว่าอะไรตนหรือเปล่า และเขาจะนึกชอบใจสุดาลูกสาวของตนจริงหรือไม่ เพราะที่แล้วมา ข่าวว่า ท่านเพียงแค่เห็นรูปสุดาในงานฤดูหนาวคราวก่อนเท่านั้น จากนั้นท่านจึงส่งคนให้ไปพูดจาทาบทามตน เพื่อรับเอาสุดามาเป็นภริยา โดยนัดเจรจากันที่บ้านท่านในวันนี้ มีข้อแม้เบื้องต้นว่าจะยกหนี้สินที่ตนเป็นหนี้ท่วมหัวให้เป็นสินน้ำใจทั้งหมด
“เจ้าคุณท่านใจดี เรื่องแค่นี้ท่านไม่ว่ากระไรหรอก วันนี้ท่านทานมื้อเช้าแล้วก็รอพวกคุณอยู่ที่ชั้นบน คุณตามฉันมาทางนี้ค่ะ”
สุดาเดินตามพลางฟังมารดาสนทนากับแม่บ้านของบ้านนี้ไปเงียบ ๆ ดวงหน้าหวานละมุนเฉยชา นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลใส ราวกับมีหยดน้ำกลิ้งอยู่ข้างในจ้องมองไปข้างหน้า ปลงตกกับวาสนาของตนเองไปเสียแล้ว ลูกผู้หญิงอย่างตน หากทำตัวไม่ดีมีพฤติกรรมที่เสื่อมเสีย คนเขาก็จะครหานินทาเปรียบเปรยเอาว่า เป็นเหมือนห้องส้วมที่ตั้งรออยู่หน้าบ้าน รอวันส่งกลิ่นเหม็นโฉ่ แต่หากทำตัวเรียบร้อยดีไม่มีข้อครหา ก็ถูกตีราคาเท่ากับเป็นทรัพย์สินชิ้นหนึ่งของครอบครัวเท่านั้นเอง...ทรัพย์สินที่มีหัวใจ
ตรงจากท่าน้ำถึงเชิงบันไดหินห้าขั้นไปสู่โถงชั้นล่าง ที่นั่นมีผู้ชายวัยหนุ่มคนหนึ่งยืนรออยู่ เขามีรูปร่างสูงใหญ่ แต่งกายสุภาพ หน้าตาคมเข้มแบบหนุ่มชาวใต้ นัยน์ตาเหมือนจะยิ้มได้จ้องมองมาที่สุดา
“คุณดิเรกเป็นเลขาส่วนตัวของท่านเจ้าคุณค่ะ เขาจะพาคุณสองคนขึ้นไปชั้นบนนะคะ”
ลำเจียกหยุดอยู่แค่หน้าประตูทางเข้า ไม่ได้เดินเข้ามาภายในบ้านด้วย หล่อนเอ่ยบอกแก่สองแขกหญิง ก่อนหันไปสบตากับดิเรกแวบหนึ่ง แล้วหันหลังลงบันไดไป
สุดามองหน้าชายหนุ่ม ริมฝีปากค่อนข้างหนาคลี่ยิ้มให้ ยิ้มทั้งนัยน์ตาคู่คมนั้นด้วย
“สวัสดีครับ คุณสมร คุณสุดา เชิญชั้นบนครับ ผมจะพาพวกคุณไปพบกับเจ้าคุณเอง”
บนชั้นสองของบ้านนั่นเอง ที่สุดาได้เจอกับพระยาพิชาญ ผู้เป็นเจ้าของบ้าน หญิงสาวไม่นึกเลยว่าผู้ที่มียศถาบรรดาศักดิ์เป็นถึงพระยาพิชาญชัยณรงค์ อดีตนายทหารชั้นผู้ใหญ่ จะกลายเป็นชายแก่ผู้น่าสงสาร นอนป่วยติดเตียงมาเป็นเวลาช้านานด้วยสังขารอันทรุดโทรม จนต้องมีคนรับใช้คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง และดูเหมือนจะมีดิเรกเป็นคนรู้ใจใกล้ชิดเพียงคนเดียวที่อยู่เป็นเพื่อนด้วยในบ้านหลังนี้
“เธอจะรังเกียจคนแก่ป่วยติดเตียงอย่างฉันไหมล่ะ แม่สุดา ถ้าเธอไม่รังเกียจก็ไม่มีปัญหาอะไร เธอมาเป็นคุณหญิงของฉันในบ้านหลังนี้ได้ ฉันรับรองว่าเธอจะมีเกียรติและศักดิ์ศรีของเจ้าของบ้านหญิงอย่างเต็มที่ ไม่เป็นสองรองใคร”
“แสดงว่าสุดาจะได้แต่งงานจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมายกับท่านใช่ไหมคะ”
สมรมีท่าทีดีใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อได้รับคำยืนยันจากปากของเจ้าคุณเอง แสดงว่าเจ้าคุณท่านนี้ไม่ได้มีเมียเล็กเมียน้อยอยู่ในบ้านหลังนี้อีก อาจเพราะสังขารอันร่วงโรยไม่อำนายให้มี หรือเคยมี แต่พอสามีเจ็บป่วยด้วยโรคประหลาดที่ไม่มีวี่แววว่าจะหายขาด ก็พากันทิ้งไปหมด ส่วนเมียเอกได้ยินมาว่าเสียชีวิตไปเกือบปีแล้ว และเป็นสาเหตุให้เจ้าคุณตรอมใจจนล้มป่วย
คนบนเตียงพยักหน้ารับ แต่ก็แย้งว่า
“จดทะเบียนสมรสกัน ฉันจดกับสุดาแน่นอน เธอไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องนั้น แต่แต่งงานกันฉันคงแต่งให้ไม่ได้ เธอก็เห็นแล้วว่าสภาพของฉันมันน่าอนาถแค่ไหน คงไม่อยากเห็นเจ้าบ่าวถูกอุ้มไปวางให้คนรดน้ำสังข์ในงานแต่งลูกสาวเธอหรอกนะ แม่สมร”
สมรนึกภาพตามแล้วกลั้นขำ...ก็ได้ จะเป็นไรไป ไม่แต่งก็ไม่แต่ง ขอแค่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามกฎหมายของชายแก่คนนี้ มีส่วนได้ส่วนเสียในมรดกอันมากมายมหาศาล เวลาที่ท่านสิ้นใจไปแล้วก็พอ นึกอย่างครึ้มอกครึ้มใจ มานึก ๆ ดูต้องถือว่าเป็นบุญของสุดาลูกสาวตน ที่จู่ ๆ ก็มีราชรถมาเกย
“แต่อย่าลืมว่าเป็นเมียก็ต้องมีหน้าที่ดูแลปรนนิบัติผัว ฉันต้องการให้สุดามาอยู่ดูแลฉันตลอดเวลาในห้องนี้ แทนที่จะเป็นคนรับใช้ นอกจากตอนฉันนอนหลับ ถึงค่อยออกไปทำธุระอย่างอื่นได้ เธอคงทำได้นะ”
เอียงหน้ามาเอ่ยถามหญิงสาวร่างบอบบางที่ยังคงนั่งนิ่งเงียบอยู่บนเก้าอี้ไม้สักลงแลกเกอร์เป็นเงาวับ เคียงข้างกับสมรผู้เป็นมารดา ข้างเตียงของตน โดยมีดิเรกนั่งประจันหน้าอยู่ด้วยอีกด้านหนึ่ง
“ค่ะ”
เสียงตอบรับแผ่วเบาแทบไม่ลอดพ้นริมฝีปากของคนพูด...ลืมความหวังความฝันทั้งมวลของตนเองเสียเถิด สุดาเอ๋ย...เพื่อทดแทนบุญคุณของมารดาที่อุตส่าห์เลี้ยงดูตนมาเป็นอย่างดี ไหนจะน้องสาวอีกสองคนซึ่งกำลังต้องการความช่วยเหลือจากเธออยู่ ในช่วงสงครามเช่นนี้มีแต่ความอดอยาก ผู้คนอยู่ในสภาวะข้าวยากหมากแพง มองไปทางไหนมีแต่ความขัดสน ทุกครอบครัวต้องดิ้นรนหาทางเอาตัวรอด ทั้งจากภัยสงครามภายนอก และสงครามเศรษฐกิจในบ้านเมืองของตนเอง ความฝันและความต้องการของสุดาจึงไม่อยู่เหนือบุคคลอันเป็นที่รักในครอบครัวไปได้
“แต่ฉันก็ไม่ได้ถึงกับไม่ให้มีพิธีการอะไรเลยนะ เราจะยังมีพิธีทำบุญเลี้ยงพระ เลี้ยงสังสรรค์กันในบรรดาญาติพี่น้องมิตรสหายที่สนิท และคนในบ้าน เพียงแต่จะไม่จัดงานให้มันใหญ่โตเอิกเกริกเท่านั้นเอง” เสียงที่พูดแม้แหบแห้งลงบ้าง แต่ก็ยังทรงอำนาจเช่นเดิม
“ฉันจะถือฤกษ์ดีในอาทิตย์หน้านี้ ให้ดิเรกเขาเป็นคนจัดการประสานงานกับแม่สมรเอง รวมทั้งค่าสินสอดทองหมั้นทั้งหมด และธุรกรรมที่เคยติดค้างฉันอยู่ ก็จะให้ดิเรกจัดการเสียด้วยเลยเช่นเดียวกัน หวังว่าทางแม่สมรคงพอใจ”
สมรยิ้มแต้เป็นคำตอบอย่างอิ่มเอมใจ มองดูเจ้าคุณพิชาญสั่งให้ดิเรกเปิดตู้เซฟในห้องออก หยิบเอาแหวนเพชรเม็ดงามวงหนึ่งออกมา แล้วพยักหน้าให้สุดาลุกเดินมาหา เมื่อหญิงสาวยอบตัวลงคุกเข่าแล้วยื่นมือมา เจ้าคุณพิชาญก็หยิบแหวนจากมือดิเรกมาสวมให้ที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอ
“ฉันหมั้นเธอวันนี้เลยนะ อาทิตย์หน้าเราค่อยแต่งงานกัน”
ใบหน้างามละมุนก้มลงมองนิ้วมือที่สวมแหวนของตัวเอง หยาดน้ำอุ่นซึมออกมาที่หัวตา เธอเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าชราของว่าที่สามี สบตาที่มีเพียงแววเวทนาอยู่ในนั้น แล้วน้ำใสก็ไหลรินลงเปื้อนแก้ม...
(โปรดติดตามตอนต่อไป)