ความเลวร้ายของยารักษาโรคทางสมอง antidepressant ที่หมอไม่อยากบอกให้คุณรู้

citalopram (Celexa), escitalopram (Lexapro), fluvoxamine (Luvox), 
paroxetine (Paxil), fluoxetine (Prozac), sertraline (Zoloft) 
ยารักษาเหล่านี้อาจได้ผลหรือไม่ได้ผลสำหรับบางคนที่เป็นโรคแพนิค โรคซึมเศร้า และโรคทางสมองอื่น ๆ
แต่ยาจะมีผลข้างเคียงเพิ่มความรุนแรงหรือพฤติกรรมรุนแรงมากขึ้นหลายสิบเท่า
ยาสามารถทำให้ตัวเราอาจเป็นคนใจร้ายขึ้นหรือขี้หงุดหงิด ขี้รำคาญ โกรธง่ายขึ้น ไม่รู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว
สำหรับบางคนอาจทำให้เกิดความรู้สึกอยากฆ่าตัวตายและมีแนวโน้มเป็นโรคซึมเศร้ามากขึ้น

แม้เอฟเฟกท์เหล่านี้จะเป็นด้านตรงข้ามที่ควรจะได้จากยา ที่ทำให้สมองลดความรู้สึกลง
เหมือนสมองส่วนรับรู้ถูกทำให้ชา และลดความเป็นตัวของตัวเองลง ทำให้ไม่ต้องรู้สึกเศร้า

และอาจมีผลข้างเคียงอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์แปรปรวน ปวดหัว เหนื่อยล้า 
การนอนผิดปกติ และรู้สึกช็อคสั้น ๆ ที่สำคัญคือยาที่กระทบต่อประสาทอาจทำให้เกิดโรคหลงตัวเอง 
(narcissistic personality disorder) ซึ่งเป็นโรคที่มาพร้อมกับการควบคุมโทสะไม่ได้ 
ที่เป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ที่หลายคนในโลกตะวันตกต่างพุ่งเป้าเวลาคน ๆ นั้นก่ออาชญากรรม 
ความรุนแรง หรือการฆาตกรรม 

หลายคนที่กินยากลุ่มนี้ถูกวินิจฉัยว่ามีพฤติกรรมต่อต้านสังคมโซซิโอพาธ (sociopath) 
หรือแม้กระทั่งไซโคพาธ (psychopath) ซึ่งไม่รู้สึกยินดียินร้ายเวลาทำเรื่องผิด หรือแม้แต่การฆาตกรรม 

ในอเมริกามีคนจำนวนมากกินยาเหล่านี้ตามที่หมอสั่งอย่างเคร่งครัดเพื่อการดำรงชีวิต 
แต่ผลข้างเคียงก็คือพฤติกรรมรุนแรง อาชญากรรม และการฆาตกรรมสูงขึ้นอย่างมาก 
เด็กที่เข้าไปกราดยิงเพื่อนในโรงเรียนมักกินยาเหล่านี้อยู่แล้ว หรือ เคสของ Elizabeth Olten อายุ 9 ขวบ
ที่ถูกพี่สาวใกล้บ้านอายุ 15 เรียกไปหา แล้วปาดคอจ้วงแทง แต่ศาลให้ตรวจแล้วก็ไม่พบว่ามีอาการทางจิตใด ๆ 
แต่เธอกินยาในกลุ่มนี้ที่ใช้รักษาโรคทางพฤติกรรมที่เริ่มเป็นตั้งแต่อายุ 8 ขวบ จนต้องมาพึ่งยาในที่สุด
และดูเหมือนว่าเธอไม่รู้ตัวที่ทำไปแบบนั้น เพราะการตรวจสอบพบว่าเธอยังคงมีความรู้สึกสำนึกเหลืออยู่ 

เรื่องเหล่านี้แม้จะไม่มีการยอมรับในทางการแพทย์ และยังคงใช้ยาพวกนี้รักษาคนไข้ไปเรื่อย ๆ ทั่วโลก 
เนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า แต่คนในสังคมตะวันตกก็เริ่มรู้เรื่องนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ 
ยาเหล่านี้ทำลายให้สมองเกิดความเสียหายอย่างสิ้นเชิง 
และทำให้การทำงานของระบบประสาทเกิดการเปลี่ยนแปลง 

ที่จริงแล้วสาเหตุของโรคแพนิค โรคซึมเศร้า และโรคทางประสาทอื่น ๆ
มีแนวโน้มเกิดจากการมีสารปรอทสะสมในสมองมากที่สุด เพราะวัคซีนที่ทุกคนต้องฉีดมีสารปรอท
อมัลกัมเหล็กอุดฟันก็ยังมีคนใช้อยู่เป็นส่วนใหญ่ ยาฆ่าแมลงก็ยังคงใช้อยู่
ที่ทำให้แม้แต่ในน้ำตาลทุก ๆ เมล็ดอาจมีปรอทอยู่ในนั้น
เมื่อปรอทเข้าสู่ร่างกายมันจะพุ่งไปยังสมองทันที และไม่ถูกขับออกได้ตามปกติอย่างที่หมอเชื่อ
ทั้งที่มีบอกไว้ชัดเจนในหลาย ๆ งานวิจัย 

การที่โรคกลุ่มนี้มีลักษณะคล้ายกรรมพันธุ์เพราะมักมีคนในครอบครัวเดียวกันเป็นเหมือนกัน 
เป็นเพราะสารพิษ 75-80% ในตัวแม่สามารถส่งผ่านครรภ์จากแม่สู่ลูกได้
   
สำหรับคนที่พอใจกับการรักษาในปัจจุบันเพราะยาช่วยให้กลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้
จึงควรรับรู้และระวังผลข้างเคียงที่มาจากสมองถูกทำลายด้วย ส่วนคนที่ต้องการแก้ไขที่ต้นเหตุ
การขับสารปรอทออกจากสมองสามารถทำให้โรคเหล่านี้หายได้
แต่การขับสารปรอทมีทั้งแบบที่ปลอดภัยและไม่ปลอดภัย แบบที่ปลอดภัยต้องกิน ALA ตามระยะครึ่งชีวิตของยา
เพื่อไม่ให้ปรอทย้อนกระจายกลับ อาการของโรคจะดีขึ้นเรื่อย ๆ
ตามปริมาณปรอทในสมองที่ลดลง และอาจหายไปก่อนที่ปรอทจะออกไปทั้งหมด
 
อ้างอิงจาก
หนังสือ Metal and yeast protocol, Amalgam Illness, 
The Anti-depressant fact book: What Your Doctor Won't Tell You, PROZAC BACKLASH, 
และงานวิจัยหลาย ๆ ฉบับ ที่กล่าวถึงลักษณะทางเคมีของสารปรอทในร่างกายมนุษย์

ติดตามข้อมูลที่น่าสนใจได้ในยูทูปช่องเรฟเวเลชัน Revelation on youtube  
และฟอรัมถามตอบสุขภาพในโทรศัพท์ระบบแอนดรอยด์โดยไม่มีค่าใช้จ่าย Revelation on application (android)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่