สวัสดีครับ ห่างหายจากการเขียนกระทู้ไปนานเป็นหลักปี เพราะติดเรียนจึงมิค่อยมีเวลาว่างมากนัก ในที่สุดวันนี้ได้ฤกษ์กลับมาเขียนมู้สักที
สำหรับผมตอนนี้เป็นนักศึกษาอยู่เยอรมันมาได้ 2 ปีกว่าๆแล้ว ได้สะสมความสามารถในการใช้ชีวิตที่นี่ในระดับพอสมควร (มั่ว) แล้ว
จึงคิดว่าอยากจะมาแชร์ มุมมองการท่องเที่ยวในเยอรมัน ในแบบฉบับของนักศึกษาดูบ้าง หากข้อมูลมีความผิดพลาดประการใดต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
สำหรับรอบนี้จะเป็นการเที่ยวมิวนิค ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาครับ ซึ่งมิวนิคเป็นเมืองที่ผมตั้งใจจะมาตั้งแต่ปีแรกๆของการมาเรียนต่อที่เยอรมันแล้ว เพียงแต่เราติดปัญหาโควิดเสียก่อน จึงทำให้พลาดไป
1. Day 1 เริ่มออกเดินทางจากที่พักสู่ munich
จุดเริ่มต้นของการเดินทางเริ่มต้นจาก Siegen เมืองเล็กๆที่อยู่ติ่งใต้สุดของรัฐ NRW ในแถบเยอรมันภาคตะวันตกเฉียงเหนือ
เรานั่งรถไฟจาก Siegen ไปยัง Frankfurt Hbf (สถานีรถไฟหลักเมือง) ก่อน ซึ่งใช้เวลาราวๆ 2 ชั่วโมง แล้วจึงต่อรถไฟข้ามรัฐคือ ICE นั่งยิงตรงยาวๆ จาก Frankfurt ไปสู่ Munich ระยะเวลาที่ใช้คร่าวๆคือ 3 ชั่วโมงกว่าๆ
ภาพบรรยากาศภายในสถานีรถไฟ Frankfurt คนเยอะมาก หน้าตาของสถานีรถไฟที่นี้จะละม้ายคล้ายสถานีหัวลำโพงของไทยเรา สาเหตุเป็นเพราะสถานีแห่งนี้เป็นต้นแบบสถานีหัวลำโพงนั้นเอง
ร้านอาหารไทยในสถานีรถไฟมีให้เห็นบ้าง ปกติอาหารไทยเป็นอาหารที่คนเยอรมันเองก็ชื่นชอบมากๆ เพื่อนคนเยอรมันในแลปผมเองก็มักจะบอกให้เลิกเรียนแล้วไปเปิดร้านอาหารเถอะ (555) ***จุดที่น่าสนใจของร้านอาหารไทยที่นี่ (เยอรมัน) คือ บางส่วนเป็นร้านที่ไม่ได้เปิดโดยคนไทย แต่เป็นคนต่างชาติ (จีน, เวียดนาม) มาเปิด หรือบางส่วนปรับรสชาติให้เข้ากับลิ้นฝรั่ง เลยทำให้รสชาติไม่ได้ดี ตรงใจคนไทยนัก
ภาพตัวอย่างเส้นทางตั้งแต่ Frankfurt ไปยัง Munich ในกรณีนี้เรานั่ง ICE ซึ่งเป็นรถไฟข้ามรัฐความเร็วสูง จึงทำให้มีสถานีที่แวะระหว่างทางน้อยมากๆ
นอกจากนี้ภายในที่นั่งเองก็จะมีจอแสดงผลตลอดเวลาว่าเราอยู่ที่ไหนแล้ว
ที่นั่งบนรถไฟจะมีบางจุดที่เป็นที่นั่งแบบมีโต๊ะตรงกลางให้ทานอาหารได้ด้วย ซึ่งภายในรถไฟช่วงนี้ทุกคนจะถูกบังคับให้สวมหน้ากาก FFP2 หรือ medical mask ก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นกับข้อกำหนดแต่ละรัฐ
สำหรับการนั่งรถไฟในเยอรมันนั้น ในปกติแล้วหากเราไม่จองที่นั่งผ่านแอพพลิเคชั่น DB หรือเว็บไซต์ DB (Deutsche Bahn) เราก็จะต้องหาที่นั่งที่ว่างๆเอง นั่นก็คือเราต้องมองหาที่นั่งที่ไม่มีชื่อจองไว้ ซึ่งปกติแล้วการนั่งรถไฟคนส่วนใหญ่ที่นี่ก็ไม่ได้จองที่ไว้เหมือนกัน เราก็มักจะเดินลากกระเป๋าหาที่กันเอง
**อีกจุดที่สำคัญคือ ถ้าใครเคยมีความเชื่อว่ารถไฟในเยอรมันนั้นตรงต่อเวลาสุดๆ ผมขอบอกตรงนี้เลยว่ามันไม่ได้ตรงต่อเวลาขนาดนั้นเลย รถไฟในเยอรมันเองก็มีปัญหาเรื่องของการ late หรือกระทั่งยกเลิกการให้บริการสายนั้นไปแบบดื้อๆเลยก็มี ซึ่งก็มีสาเหตุได้หลายอย่าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทาง ผู้ให้บริการ DB เองก็มีนโยบายคืนเงินบางส่วนให้กับผู้ใช้บริการเช่นกันในกรณีที่เกิดปัญหาขึ้น
ตัวอย่างการ late ของรถไฟ ซึ่ง late ไปเป็นชั่วโมงเลย
หลังจากนั่งรถไฟทั้งวันจนเมื่อยก้น เราก็มาถึง Munich เมืองใหญ่ประจำรัฐ Bayern รัฐใหญ่ทางตอนใต้ของเยอรมัน
ในวันแรกนี่นั้นเป้าหมายของเราคือจะต้องเดินทางไปยังที่พักและหาร้านอาหารดีๆสไตล์บาวาเรียทาน
เมื่อเราได้เหยียบแผ่นดิน Munich ครั้งแรก เราก็ต้องซื้อตั๋วสำหรับนั่งรถสาธารณภายใน Munich ทันที การซื้อตั๋วเดินทางภายในเมืองใหญ่ๆแบบนี้นั้นมีข้อดีคือ
เรทราคาจะขึ้นกับเขตพื้นที่ (zone) ที่เราจะไปยกตัวอย่างเช่น
หากเราต้องการเดินทางแค่ภายในเขตตัวเมืองเก่า เราก็ซื้อแค่ตั๋วโซนเมืองเก่าไป
จากภาพข้างบนอาจจะดูวุ่นวายหน่ย แต่เอาตามตรงแล้วมันง่ายมาก เราแค่หาว่าเราต้องค้นหาก่อนว่าจุดที่เราจะไปนั้นอยู่ในเขต zone ใด
ซึ่งก่อนจะซื้อตั๋วและเดินทางภายในเมืองใหญ่แบบนี้นั้น การพิจารณาการเดินทางที่นี่ไปยังที่หมาย (เช่น ดูว่าเราต้องลงรถป้ายไหน หรือขึ้นรถสายไหน) เราก็สามารถเช็คได้สองทางคือ
- เช็คด้วย google map ในกรณีนี้จะเวิร์คเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ เท่านั้นและข้อมูลก็อาจไม่ real time พอ
- เช็คด้วย application DB navigator ค่อนข้างจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการเดินทางในเยอรมันเพราะมันจะครอบคลุมมากๆ อาจจะพูดได้ว่าหากคุณเป็นนักศึกษาหรือคนที่อยู่ในเยอรมัน คุณควรมีแอพนี้
ตัวอย่างหน้าตาแอพในมือถือ ข้อดีของมันคือ คุณสามารถซื้อตั๋วได้เลย และหากมีการ late หรือยกเลิกเส้นทางนั้นๆ แอพจะบอกเลยทันที (ในไทยควรจะมีบ้างนะ)
ทั้งนี้เมื่อเรารู้แล้วว่าเราต้องลงรถป้ายไหน เราก็จะซื้อตั๋วได้เลย
สำหรับกลุ่มของผม มีทั้งสิ้น 4 คน เดินทางเฉพาะเขตโซนเมือง (m zone) เราก็เลยซื้อตั๋วเหมารายวันในราคา 15,60 € เอามาหารกันก็จะถูกมากๆ
ภาพแสดงราคาตั๋วที่ซื้อ
หลังมาถึงสถานีรถไฟหลักแล้วต่อไปก็มุ่งหน้าไปที่พัก โดยอาศัย S-bahn ซึ่งเป็นรถสาธารณรูปแบบนึงของเยอรมัน
รถสาธารณในเยอรมันนั้นจะมีให้เราเลือกเดินทางได้หลายแบบทั้ง S-bahn (Schnellbahn แปลว่ารถไฟเร็ว)รถไฟในเขตเมือง, U-bahn (Untergrundbahn ก็คือรถไฟใต้ดิน) และ รถบัสสาธารณ บางเขตก็อาจจะมี TRAM หรือรถรางให้เลือกใช้บริการ จะเห็นว่าการเดินทางในเยอรมันนั้นมีหลายรูปแบบให้เลือก จากสาเหตุนี้เองทำให้ปัญหารถติดในเยอรมันนั้นแทบจะพบเจอได้น้อยมากๆจริงๆ
รูปตัวอย่าง S-bahn และเส้นทางของ S-bahn
ภาพประตูรถของรถไฟ S-bahn ซึ่งเมื่อถึงป้ายที่เราจะลง เราต้องกดปุ่มเปิดประตูเองนะจ้ะ
การมา Munich ของเรานั้น เราได้จองโรงแรมผ่านทาง booking.com และห้องที่เราได้นั้นค่อนข้างครบถ้วนทั้งส่วนโซนครัว ห้องน้ำ มีเครื่องล้างจานอัตโนมัติ เครื่องซักผ้า ที่รีดผ้าให้ นับว่าครบถ้วนมากๆ
การจองแจงโรงแรมที่นี่นั้นแนะนำให้จองผ่าน booking.com และอาจต้องวางแผนล่วงหน้าก่อนเดินทางด้วยโดยเฉพาะช่วงเทศกาลเพราะห้องจะเต็มไวมากๆ (ข้อนี้คิดว่าน่าจะเป็นทุกประเทศนะ)
ความสนุกของการมาที่พักที่นี่คือ ที่พักมักจะส่งอีเมลล์เกี่ยวกับ instruction ว่าจะต้องทำยังไงถึงจะเข้าที่พักได้ นั้นเพราะที่พักส่วนใหญ่มักจะไม่มีส่วนต้อนรับให้ จึงทำให้เขาต้องส่งข้อมูลมาแจ้งทางอีเมลล์เองว่าเราควรจะไปกดรหัสเอากุญแจอะไรยังไงตรงไหน ซึ่งบางทีอาจใช้เวลาเป็นสิบนาทีก็มี ให้อารมณ์เหมือนเล่นเกมแก้ปริศนาเลยละ
ภาพตัวอย่างที่พัก
เสร็จภารกิจเก็บข้าวของก็มาถึงภารกิจหลักคือหาข้าวเย็นทาน
ร้านที่เราเลือกคือ Hacker Haus
หน้าร้านอาหารและภายในร้านอาหาร
เป็นร้านอาหารสไตล์บาวาเรียเก่าแก่ตั้งแต่ปี 1417 เป็นร้านอาหารที่แต่ก่อนนั้นเป็นโรงผลิตเบียร์มาก่อน และเป็น 1 ใน 6 โรงเบียร์เก่าแก่ของมิวนิคด้วย
ภาพแสดงยี่ห้อและโรงเบียร์เก่าแก่ของเยอรมัน ซึ่งจริงๆแต่เดิมจะมีเพียง 6 เจ้าเท่านั้นคือ Augustiner, Hacker, Löwenbräu, Paulaner, Spaten, Hofbräuhaus (HB)
มีเบียร์ของตัวเองที่เก่าแก่และคงวิธีกรรมอันเก่าแก่ซึ่งสิ่งที่ทำให้ที่นี้ขึ้นชื่อเป็นเพราะความเก่าแก่และความคงเส้นคงวาของรสชาตินี่ละ วิธีการผลิตเบียร์ที่นี้นั้นมีมาก่อนจะมีกฏหมายบังคับการผลิตเบียร์ด้วยซ้ำ กฏหมายที่ว่านั้นคือ Reinheitsgebot ซึ่งประกาศใช้ในบาวาเรียตั้งแต่ 1516
ตราสแตมป์ฉลองและลำลึกถึงกฏหมาย Reinheitsgebot ครบรอบ 500 ปี
กฏหมายนี้เป็นกฏหมายควบคุมคุณภาพการผลิตขนมปังและรวมทั้งเบียร์ด้วย ซึ่งเอาจริงๆแล้วกฏหมายนี้คนที่อินก็คงเป็นเฉพาะคนในพื้นที่บาวาเรีย คนในรัฐอื่นๆจะไม่อินด้วยเพราะมันเป็นการบังคับการใช้วัตถุดิบเฉพาะในการผลิตเบียร์ ส่งผลให้กฏหมายนี้ถูกยกเลิกในที่สุด
สำหรับของเด็ดของที่นี่ก็คงจะเป็นขาหมูเยอรมัน เสิร์ฟพร้อมกะหล่ำปลีดอง
ในส่วนของราคานั้นตกราคาที่จานละ 17,80 € ซึ่งก็ถือว่าเป็นราคามาตรฐานของที่นี้
จากขนาดของจานนัเนถ้าให้ว่ากันตามตรงคนไทย 2 คนสั่งมาจานเดียวก็ได้ เพียงแต่ปัญหาคือมันจะทำใฟ้แปลกใจคนที่นี้ เพราะปกติคนที่นี่คือจะทาน 1 คน 1 จานไปเลย
ส่วนของรสชาติ ก็ถือว่า 7/10 เป็นเพราะด้วยความที่รสชาติอาหารเยอรมันเอาตามตรงมันก็ไม่ได้ถูกใจผมอยู่แล้วด้วย (หรืออาจรวมถึงคนไทยส่วนใหญ่)
(เอาตามตรงตั้งแต่อยู่เยอรมันมา ก็ยังไม่เจออาหารจานไหนของเยอรมันที่ถูกใจเลย)
ในส่วนของรสชาติเบียร์... แน่นอนมาถึงที่แล้วก็ต้องลองสิ เบียร์ที่นี่ถือว่ามีรสชาตินุ่มและหอมมาก ให้ที่ 8/10 ยังไงผมก็ยังให้ HB คะแนนสูงที่สุดอยู่ดีจากการลองมาหลายๆเจ้า
สุดท้ายค่าใช้จ่ายของมื้อนี้ทานกัน 4 คน
103,30 € นั่นเอง ก็ถือว่าครบถ้วนสำหรับวันแรก หลังจากเดินทางมาทั้งวัน วันแรกจึงอาจจะมีรูปไม่เยอะมาก
สำหรับวันแรกก็จะประมาณนี้ด้วยความที่เดินทางทั้งวันเราจึงไม่ได้ไปไหนต่อมาก แต่วันอื่นๆนั้นเราค่อนข้างจัดเต็มอยู่ ทั้งนี้พวกเราได้ทำคลิป vlog ไว้ด้วย
สามารถติดตามได้เลยที่ link:
ฝากติดตามไว้ในอ้อมใจด้วยนะครับ เป็น vlog ที่พวกเราตั้งใจทำเพื่อสื่อถึงชีวิตปกติของนักศึกษาที่นี้ว่าเราต้องทำอะไร หรือเที่ยวที่ไหนอย่างไรบ้าง ฝากติดตามด้วยนะครับ
ทั้งนี้สำหรับวันแรกขอจบเพียงเท่านี้ก่อน หากมีจุดใดที่ผิดพลาดสามารถเพิ่มเติมได้เลยนะครับ ขอบคุณมากๆครับ
เที่ยว Munich วันแรก ในสไตล์นักศึกษาไทยในเยอรมัน
สำหรับผมตอนนี้เป็นนักศึกษาอยู่เยอรมันมาได้ 2 ปีกว่าๆแล้ว ได้สะสมความสามารถในการใช้ชีวิตที่นี่ในระดับพอสมควร (มั่ว) แล้ว
จึงคิดว่าอยากจะมาแชร์ มุมมองการท่องเที่ยวในเยอรมัน ในแบบฉบับของนักศึกษาดูบ้าง หากข้อมูลมีความผิดพลาดประการใดต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
สำหรับรอบนี้จะเป็นการเที่ยวมิวนิค ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาครับ ซึ่งมิวนิคเป็นเมืองที่ผมตั้งใจจะมาตั้งแต่ปีแรกๆของการมาเรียนต่อที่เยอรมันแล้ว เพียงแต่เราติดปัญหาโควิดเสียก่อน จึงทำให้พลาดไป
1. Day 1 เริ่มออกเดินทางจากที่พักสู่ munich
จุดเริ่มต้นของการเดินทางเริ่มต้นจาก Siegen เมืองเล็กๆที่อยู่ติ่งใต้สุดของรัฐ NRW ในแถบเยอรมันภาคตะวันตกเฉียงเหนือ
เรานั่งรถไฟจาก Siegen ไปยัง Frankfurt Hbf (สถานีรถไฟหลักเมือง) ก่อน ซึ่งใช้เวลาราวๆ 2 ชั่วโมง แล้วจึงต่อรถไฟข้ามรัฐคือ ICE นั่งยิงตรงยาวๆ จาก Frankfurt ไปสู่ Munich ระยะเวลาที่ใช้คร่าวๆคือ 3 ชั่วโมงกว่าๆ
ภาพบรรยากาศภายในสถานีรถไฟ Frankfurt คนเยอะมาก หน้าตาของสถานีรถไฟที่นี้จะละม้ายคล้ายสถานีหัวลำโพงของไทยเรา สาเหตุเป็นเพราะสถานีแห่งนี้เป็นต้นแบบสถานีหัวลำโพงนั้นเอง
ร้านอาหารไทยในสถานีรถไฟมีให้เห็นบ้าง ปกติอาหารไทยเป็นอาหารที่คนเยอรมันเองก็ชื่นชอบมากๆ เพื่อนคนเยอรมันในแลปผมเองก็มักจะบอกให้เลิกเรียนแล้วไปเปิดร้านอาหารเถอะ (555) ***จุดที่น่าสนใจของร้านอาหารไทยที่นี่ (เยอรมัน) คือ บางส่วนเป็นร้านที่ไม่ได้เปิดโดยคนไทย แต่เป็นคนต่างชาติ (จีน, เวียดนาม) มาเปิด หรือบางส่วนปรับรสชาติให้เข้ากับลิ้นฝรั่ง เลยทำให้รสชาติไม่ได้ดี ตรงใจคนไทยนัก
ภาพตัวอย่างเส้นทางตั้งแต่ Frankfurt ไปยัง Munich ในกรณีนี้เรานั่ง ICE ซึ่งเป็นรถไฟข้ามรัฐความเร็วสูง จึงทำให้มีสถานีที่แวะระหว่างทางน้อยมากๆ
นอกจากนี้ภายในที่นั่งเองก็จะมีจอแสดงผลตลอดเวลาว่าเราอยู่ที่ไหนแล้ว
ที่นั่งบนรถไฟจะมีบางจุดที่เป็นที่นั่งแบบมีโต๊ะตรงกลางให้ทานอาหารได้ด้วย ซึ่งภายในรถไฟช่วงนี้ทุกคนจะถูกบังคับให้สวมหน้ากาก FFP2 หรือ medical mask ก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นกับข้อกำหนดแต่ละรัฐ
สำหรับการนั่งรถไฟในเยอรมันนั้น ในปกติแล้วหากเราไม่จองที่นั่งผ่านแอพพลิเคชั่น DB หรือเว็บไซต์ DB (Deutsche Bahn) เราก็จะต้องหาที่นั่งที่ว่างๆเอง นั่นก็คือเราต้องมองหาที่นั่งที่ไม่มีชื่อจองไว้ ซึ่งปกติแล้วการนั่งรถไฟคนส่วนใหญ่ที่นี่ก็ไม่ได้จองที่ไว้เหมือนกัน เราก็มักจะเดินลากกระเป๋าหาที่กันเอง
**อีกจุดที่สำคัญคือ ถ้าใครเคยมีความเชื่อว่ารถไฟในเยอรมันนั้นตรงต่อเวลาสุดๆ ผมขอบอกตรงนี้เลยว่ามันไม่ได้ตรงต่อเวลาขนาดนั้นเลย รถไฟในเยอรมันเองก็มีปัญหาเรื่องของการ late หรือกระทั่งยกเลิกการให้บริการสายนั้นไปแบบดื้อๆเลยก็มี ซึ่งก็มีสาเหตุได้หลายอย่าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทาง ผู้ให้บริการ DB เองก็มีนโยบายคืนเงินบางส่วนให้กับผู้ใช้บริการเช่นกันในกรณีที่เกิดปัญหาขึ้น
ตัวอย่างการ late ของรถไฟ ซึ่ง late ไปเป็นชั่วโมงเลย
หลังจากนั่งรถไฟทั้งวันจนเมื่อยก้น เราก็มาถึง Munich เมืองใหญ่ประจำรัฐ Bayern รัฐใหญ่ทางตอนใต้ของเยอรมัน
ในวันแรกนี่นั้นเป้าหมายของเราคือจะต้องเดินทางไปยังที่พักและหาร้านอาหารดีๆสไตล์บาวาเรียทาน
เมื่อเราได้เหยียบแผ่นดิน Munich ครั้งแรก เราก็ต้องซื้อตั๋วสำหรับนั่งรถสาธารณภายใน Munich ทันที การซื้อตั๋วเดินทางภายในเมืองใหญ่ๆแบบนี้นั้นมีข้อดีคือ
เรทราคาจะขึ้นกับเขตพื้นที่ (zone) ที่เราจะไปยกตัวอย่างเช่น
หากเราต้องการเดินทางแค่ภายในเขตตัวเมืองเก่า เราก็ซื้อแค่ตั๋วโซนเมืองเก่าไป
จากภาพข้างบนอาจจะดูวุ่นวายหน่ย แต่เอาตามตรงแล้วมันง่ายมาก เราแค่หาว่าเราต้องค้นหาก่อนว่าจุดที่เราจะไปนั้นอยู่ในเขต zone ใด
ซึ่งก่อนจะซื้อตั๋วและเดินทางภายในเมืองใหญ่แบบนี้นั้น การพิจารณาการเดินทางที่นี่ไปยังที่หมาย (เช่น ดูว่าเราต้องลงรถป้ายไหน หรือขึ้นรถสายไหน) เราก็สามารถเช็คได้สองทางคือ
- เช็คด้วย google map ในกรณีนี้จะเวิร์คเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ เท่านั้นและข้อมูลก็อาจไม่ real time พอ
- เช็คด้วย application DB navigator ค่อนข้างจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการเดินทางในเยอรมันเพราะมันจะครอบคลุมมากๆ อาจจะพูดได้ว่าหากคุณเป็นนักศึกษาหรือคนที่อยู่ในเยอรมัน คุณควรมีแอพนี้
ตัวอย่างหน้าตาแอพในมือถือ ข้อดีของมันคือ คุณสามารถซื้อตั๋วได้เลย และหากมีการ late หรือยกเลิกเส้นทางนั้นๆ แอพจะบอกเลยทันที (ในไทยควรจะมีบ้างนะ)
ทั้งนี้เมื่อเรารู้แล้วว่าเราต้องลงรถป้ายไหน เราก็จะซื้อตั๋วได้เลย
สำหรับกลุ่มของผม มีทั้งสิ้น 4 คน เดินทางเฉพาะเขตโซนเมือง (m zone) เราก็เลยซื้อตั๋วเหมารายวันในราคา 15,60 € เอามาหารกันก็จะถูกมากๆ
ภาพแสดงราคาตั๋วที่ซื้อ
หลังมาถึงสถานีรถไฟหลักแล้วต่อไปก็มุ่งหน้าไปที่พัก โดยอาศัย S-bahn ซึ่งเป็นรถสาธารณรูปแบบนึงของเยอรมัน
รถสาธารณในเยอรมันนั้นจะมีให้เราเลือกเดินทางได้หลายแบบทั้ง S-bahn (Schnellbahn แปลว่ารถไฟเร็ว)รถไฟในเขตเมือง, U-bahn (Untergrundbahn ก็คือรถไฟใต้ดิน) และ รถบัสสาธารณ บางเขตก็อาจจะมี TRAM หรือรถรางให้เลือกใช้บริการ จะเห็นว่าการเดินทางในเยอรมันนั้นมีหลายรูปแบบให้เลือก จากสาเหตุนี้เองทำให้ปัญหารถติดในเยอรมันนั้นแทบจะพบเจอได้น้อยมากๆจริงๆ
รูปตัวอย่าง S-bahn และเส้นทางของ S-bahn
ภาพประตูรถของรถไฟ S-bahn ซึ่งเมื่อถึงป้ายที่เราจะลง เราต้องกดปุ่มเปิดประตูเองนะจ้ะ
การมา Munich ของเรานั้น เราได้จองโรงแรมผ่านทาง booking.com และห้องที่เราได้นั้นค่อนข้างครบถ้วนทั้งส่วนโซนครัว ห้องน้ำ มีเครื่องล้างจานอัตโนมัติ เครื่องซักผ้า ที่รีดผ้าให้ นับว่าครบถ้วนมากๆ
การจองแจงโรงแรมที่นี่นั้นแนะนำให้จองผ่าน booking.com และอาจต้องวางแผนล่วงหน้าก่อนเดินทางด้วยโดยเฉพาะช่วงเทศกาลเพราะห้องจะเต็มไวมากๆ (ข้อนี้คิดว่าน่าจะเป็นทุกประเทศนะ)
ความสนุกของการมาที่พักที่นี่คือ ที่พักมักจะส่งอีเมลล์เกี่ยวกับ instruction ว่าจะต้องทำยังไงถึงจะเข้าที่พักได้ นั้นเพราะที่พักส่วนใหญ่มักจะไม่มีส่วนต้อนรับให้ จึงทำให้เขาต้องส่งข้อมูลมาแจ้งทางอีเมลล์เองว่าเราควรจะไปกดรหัสเอากุญแจอะไรยังไงตรงไหน ซึ่งบางทีอาจใช้เวลาเป็นสิบนาทีก็มี ให้อารมณ์เหมือนเล่นเกมแก้ปริศนาเลยละ
ภาพตัวอย่างที่พัก
เสร็จภารกิจเก็บข้าวของก็มาถึงภารกิจหลักคือหาข้าวเย็นทาน
ร้านที่เราเลือกคือ Hacker Haus
หน้าร้านอาหารและภายในร้านอาหาร
เป็นร้านอาหารสไตล์บาวาเรียเก่าแก่ตั้งแต่ปี 1417 เป็นร้านอาหารที่แต่ก่อนนั้นเป็นโรงผลิตเบียร์มาก่อน และเป็น 1 ใน 6 โรงเบียร์เก่าแก่ของมิวนิคด้วย
ภาพแสดงยี่ห้อและโรงเบียร์เก่าแก่ของเยอรมัน ซึ่งจริงๆแต่เดิมจะมีเพียง 6 เจ้าเท่านั้นคือ Augustiner, Hacker, Löwenbräu, Paulaner, Spaten, Hofbräuhaus (HB)
มีเบียร์ของตัวเองที่เก่าแก่และคงวิธีกรรมอันเก่าแก่ซึ่งสิ่งที่ทำให้ที่นี้ขึ้นชื่อเป็นเพราะความเก่าแก่และความคงเส้นคงวาของรสชาตินี่ละ วิธีการผลิตเบียร์ที่นี้นั้นมีมาก่อนจะมีกฏหมายบังคับการผลิตเบียร์ด้วยซ้ำ กฏหมายที่ว่านั้นคือ Reinheitsgebot ซึ่งประกาศใช้ในบาวาเรียตั้งแต่ 1516
ตราสแตมป์ฉลองและลำลึกถึงกฏหมาย Reinheitsgebot ครบรอบ 500 ปี
กฏหมายนี้เป็นกฏหมายควบคุมคุณภาพการผลิตขนมปังและรวมทั้งเบียร์ด้วย ซึ่งเอาจริงๆแล้วกฏหมายนี้คนที่อินก็คงเป็นเฉพาะคนในพื้นที่บาวาเรีย คนในรัฐอื่นๆจะไม่อินด้วยเพราะมันเป็นการบังคับการใช้วัตถุดิบเฉพาะในการผลิตเบียร์ ส่งผลให้กฏหมายนี้ถูกยกเลิกในที่สุด
สำหรับของเด็ดของที่นี่ก็คงจะเป็นขาหมูเยอรมัน เสิร์ฟพร้อมกะหล่ำปลีดอง
ในส่วนของราคานั้นตกราคาที่จานละ 17,80 € ซึ่งก็ถือว่าเป็นราคามาตรฐานของที่นี้
จากขนาดของจานนัเนถ้าให้ว่ากันตามตรงคนไทย 2 คนสั่งมาจานเดียวก็ได้ เพียงแต่ปัญหาคือมันจะทำใฟ้แปลกใจคนที่นี้ เพราะปกติคนที่นี่คือจะทาน 1 คน 1 จานไปเลย
ส่วนของรสชาติ ก็ถือว่า 7/10 เป็นเพราะด้วยความที่รสชาติอาหารเยอรมันเอาตามตรงมันก็ไม่ได้ถูกใจผมอยู่แล้วด้วย (หรืออาจรวมถึงคนไทยส่วนใหญ่)
(เอาตามตรงตั้งแต่อยู่เยอรมันมา ก็ยังไม่เจออาหารจานไหนของเยอรมันที่ถูกใจเลย)
ในส่วนของรสชาติเบียร์... แน่นอนมาถึงที่แล้วก็ต้องลองสิ เบียร์ที่นี่ถือว่ามีรสชาตินุ่มและหอมมาก ให้ที่ 8/10 ยังไงผมก็ยังให้ HB คะแนนสูงที่สุดอยู่ดีจากการลองมาหลายๆเจ้า
สุดท้ายค่าใช้จ่ายของมื้อนี้ทานกัน 4 คน
103,30 € นั่นเอง ก็ถือว่าครบถ้วนสำหรับวันแรก หลังจากเดินทางมาทั้งวัน วันแรกจึงอาจจะมีรูปไม่เยอะมาก
สำหรับวันแรกก็จะประมาณนี้ด้วยความที่เดินทางทั้งวันเราจึงไม่ได้ไปไหนต่อมาก แต่วันอื่นๆนั้นเราค่อนข้างจัดเต็มอยู่ ทั้งนี้พวกเราได้ทำคลิป vlog ไว้ด้วย
สามารถติดตามได้เลยที่ link:
ฝากติดตามไว้ในอ้อมใจด้วยนะครับ เป็น vlog ที่พวกเราตั้งใจทำเพื่อสื่อถึงชีวิตปกติของนักศึกษาที่นี้ว่าเราต้องทำอะไร หรือเที่ยวที่ไหนอย่างไรบ้าง ฝากติดตามด้วยนะครับ
ทั้งนี้สำหรับวันแรกขอจบเพียงเท่านี้ก่อน หากมีจุดใดที่ผิดพลาดสามารถเพิ่มเติมได้เลยนะครับ ขอบคุณมากๆครับ