Road Trip เที่ยวใต้ เป้าหมายคือเบตง EP.6

29/12/2564 
วันที่ 6 ของการเดินทาง
วันนี้เราตื่นสายนิดหน่อย ถ้าใครได้อ่าน EP ก่อนหน้านี้หรือทริปอื่นๆ ของเราก็จะรู้ว่าการตื่นสายเป็นเรื่องปกติของเรา ถ้าวันไหนตื่นเช้านั่นคือเรื่องแปลก 555+ วันนี้ตื่นมาเรื่องแรกที่เราคุยกันเลยคือ เช้านี้กินอะไรกันดี เพราะเมื่อคืนพี่ที่เราไปนั่งคุยด้วยก็แนะนำมาหลายร้านอยู่ สุดท้ายเราก็เรื่อติ่มซำ เมื่อตกลงกันได้ก็อาบน้ำแต่งตัว ไปกินติ่มซำกัน ร้านติ่มซำที่เราไปกินก็อยู่ใกล้ๆ กับหอนาฬิกานั่นก็คือ "เซ้งติ่มซำ" เมื่อขับรถไปเห็นร้านแล้วก็วนๆ หาที่จอดรถเอาตามริมถนนใกล้ๆ ได้เลย อาหารที่นี่รสชาติอร่อย ราคาไม่แพง โดยเฉพาะข้าวมันไก่ที่เมื่อลองกินไก่เข้าไปคำแรก จะรับรู้ถึงความอร่อยแบบว่าอธิบายไม่ถูก แต่เป็นเนื้อไก่ในข้าวมันไก่ที่เราไม่เคยเจอมาก่อน และเนื้อไก่ก็ไม่ได้ถูกตบจนแบนด้วย แต่ที่ออกจะแปลกๆ ลิ้นอยู่หน่อยนั่นก็คือน้ำจิ้มข้าวมันไก่ มันก็เป็นรสชาติที่ไม่คุ้นลิ้น บอกไม่ถูกเหมือนกัน และก็ต้องยอมรับว่าไม่ถูกปากเราทั้งคู่เท่าไรนัก คาดว่าคงเป็นรสชาติพื้นเมืองของชาวเบตง

ร้านเซ้งติ่มซำ
ติ่มซำวันนี้เราสั่งมา 8 อย่าง

อร่อยทุกอย่างเลย

ข้าวมันไก่ หน้าตาหน้ากิน รสชาติก็อร่อย โดยเฉพาะเนื้อไก่ อร่อยมาก

น้ำชา ใส่อะไรบ้างก็ไม่รู้ แต่หวานชุ่มคอมากกก
เมื่อเราจัดการกับอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว เป้าหมายต่อไปที่เราจะไปก็คือทะเลหมอกอัยเยอร์เวง ซึ่งหลายๆ คนก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่าถ้าอยากดูหมอดสวยๆ ต้องไปแต่เช้า ตื่นแต่ 04.00 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อไปดูหมอก ซึ่งดูจากรูปแล้วก็สวยมากจริงๆ แต่เราก็ยอมแพ้ เลือกที่จะไปดูวิวภูเขาในตอนสายๆ ดีกว่า การเดินทางก็ขับรถย้อนไปยังทางที่เราเดินทางเข้าเบตงเมื่อเย็นนี้ ประมาณชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงแล้ว ที่นี่ลานจอดรถฟรี เมื่อจอดรถเรียบร้อยก็จะมีเจ้าหน้านี่ขอตรวจข้อมูลการฉีดวัคซีนก่อนเข้าไป จากนั้นก็จะมีรถ 2 แถวพาเราขึ้นไป โดยเก็บค่าโดยสารคนละ 10 บาท เมื่อไปถึงด้านบนก็จะต้องเดินขึ้นไปอีกประมาณ 500 เมตร แต่ถ้าใครไม่อยากเดินก็จะมีมอเตอร์ไซด์คอยบริการอีกคนละ 10 บาท (เราแนะนำว่าใช้บริการมอเตอร์ไซด์ดีกว่า)

นี่คือรถ 2 แถวที่ใช้รับส่ง ค่าบริการ 10 บาท/คน/เที่ยว

จากนั้นก็ถึงทางขึ้นจุดชมวิวแล้ว ตอนเราไปนั้นไม่มีใครมาด้วยเลย เค้าคงมาดูหมอกกันตอนเช้าหมดแล้ว ที่นี่เลยเป็นของเรา 2 คน 555+ ถ่ายรูปกันได้สบาย เหมือนเป็นส่วนตัว
ถึงแล้ว Sky walk Aiyerweng

ตอนเดินออกไปตรงจุดชมวิวที่ยื่นออกไป ซึ่งด้านนอกจะเป็นพื้นกระจกบอกได้เลยว่ามันน่ากลัวอยู่เหมือนกัน เหยียบไปนี่ขาสั่นเลย เพราะมองไปข้างล่างแล้วเห็นแต่ยอดต้นไม้ และความลึกลงไปด้านล่างซึ่งดูแล้วก็ลึกเอามากๆ กว่าจะทำใจออกไปยืนถ่ายรูปด้านนอกได้ก็ใช้เวลาในการรวบรวมความกล้าอยู่นานเลย แต่ในที่สุดไหนๆ ก็มาแล้วก็เอาซะหน่อยตั้งกล้องให้เรียบร้อย รีบถ่ายรีบถอยออกมา 555+

ยืนทำใจก่อน อยู่ดีๆ ร่างกายก็หมดแรง 555+
พอทำใจได้ก็ออกยืนถ่ายรูปกัน

ช่วยกันเล็ง 123! แชะ
จากนั้นก็เดินขึ้นไปชั้นบนต่อ ต่อส่วนคุณผู้หญิงเค้าบอกว่าอยากอยู่ตรงนี้แล้วให้ไปถ่ายมาจากด้านบน เราก็เลยต้องเดินขึ้นไปคนเดียว
อยากยืน เหงาๆ คนเดียว

เหมือนว่ามานั่งชิวดูวิวคนเดียว เผื่อจะมีหมอกให้ชมในตอนเที่ยง 555+

นั่นไงขาวๆ มาโน่นแล้ว ไม่ใช่หมอกนะ แต่เป็นฝน
จากนั้นอีกไม่นานก็เห็นฝนเริ่มตกมาแต่ไกล แล้วก็ไล่เข้ามาเรื่อยๆ เราเลยนั่งพักหลบฝนอยู่ที่นั่นสักพัก ไม่นานฝนก็หยุด เราจึงเดินทางกลับออกมา นับว่าเรายังโชคดีมากที่มาก่อนฝนจะตก และจุดหมายต่อไปที่เราจะไปนั่นก็คือ "อุโมงปิยะมิตร"

ถึงแล้วบ้านปิยะมิตร ดูจากถนนแล้วฝนพึ่งหยุดไปเหมือนกัน

ที่นี่มีอุโมงที่เป็นประวัติศาตร์มายาวนาน ที่ด้านทางเข้าก่อนซื้อตั๋วเดินเข้าชมด้านในก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจหนังสือการรับรองวัคซีนเช่นกัน จากนั้นก็เข้าไปซื้อตั๋ว เมื่อได้ตั๋วแล้วก็เก็บไว้ให้ดีนะครับ เพราะด้านในจะมีการขอตรวจอีกรอบ ถ้าทำหายจะมีค่าปรับ ทางเดินเข้าไปต้องบอกว่าร่มลื่นเย็นสบาย ได้ยินเสียงน้ำไหลตลอดทาง ดูชุ่มชื้นมาก เมื่อเข้าไปด้านในก็จะมีพิพิธภัณฑ์ให้ชม แล้วก็อุโมงค์ 

ทางเข้าอุโมงค์ปิยะมิตร
ทางเข้าอุโมงซื้อตั๋วด้านซ้ายมือ แล้วเดินเข้าไปได้เลย

ทางเดินด้านในก็จะเป็นบันไดแบบนี้ไปเรื่อยๆ ชุ่มชื่นตลอดทาง ดูได้จากมอสที่เกาะตามราวทางเดิน

ด้านในมีเสือด้วย

ระหว่างทางจะดูชุ่มฉ่ำ และสมบูรณ์มาก

ต้นอะไรไม่รู้ แต่สวยดีเลยถ่ายมา 555+

ตามกิ่งไม้ต้นไม้ใหญ่ๆ 2 ข้างทางมีมอสขึ้นตลอด

เห็ดก็มีนะ เห็ดอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน

เข้ามาด้านในก็จะมีพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับประวัติของที่นี่ และของใช้ที่ใช้กันในตอนนั้น

อาวุธก็มีนะ

ภายในอุโมง ด้านในก็มีอากาศเพียงพอ เวลาเดินก็จะพอดีกับศรีษะเรา ใครสูงอาจจะต้องก้มนิดหน่อย

เดินรอดอุโมงไปเรื่อยๆ ก็จะพบกับต้นไม้ขนาดใหญ่ที่เค้าเรียกว่าต้นไม้พันปี แล้วก็มีเจ้าลิงน้อยนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ด้วย ว่าแล้วก็มาขอเซลฟี่ซะหน่อย

ต้นไม้พันปี ต้นสูงใหญ่มาก เลยต้องถ่ายด้วยโหมดพาโนรามา ภาพเลยออกมายาวไปหน่อย

ใต้ต้นไม้มีเจ้าจ๋อนั่งอยู่ตัวเดียว เลยไปขอเซลฟี่หน่อย
จากนั้นเราก็เดินออกมา แล้วมานั่งกินน้ำ ขนม ด้านนอกตรงทางเข้าก่อนออกเดินทางต่อ จุดหมายต่อไปนั่นก็คือป้ายใต้สุดแดนสยาม ไหนๆ ก็มาอำเภอเบตงที่เป็นเอาเภอที่เป็นดินแดนใต้สุดของประเทศไทยแล้ว เราก็ต้องลงไปใต้ให้สุดๆ เลย ซึ่งป้ายใต้สุดแดนสยามนี้ก็อยู่ใกล้ๆ ในตัวเมืองที่เราพัก ขับรถกลับเข้ามาเบตง

เส้นทางที่เราขับผ่านตอนขากลับ ฟ้าครึ้มๆ ตนไม้เขียวสด หลังฝนตกใหม่ๆ มันสวยมากกกก

ระหว่างทางเราก็จะพบกับด่านทหารเหมือนเดิม เค้าก็จะถามว่าไปไหน มาไหน เหมือนเดิม ก็เพื่อความปลอดภัย และตรงด่านสุดท้ายก็จะมีที่ถ่ายรูปอีกจุดหนึ่งที่ใครๆ ขับรถผ่านส่วนใหญ่แล้วก็จะอดแวะไม่ได้นั่นก็คือป้าย OK BETONG นั่นเอง เราเองก็เช่นกัน แวะถ่ายรูป check in ซะหน่อย เดี๋ยวเค้าจะว่ามาไม่ถึงเบตง

ป้าย OK BETONG เป็นหลักฐานว่าเรามาถึงเบตงแล้วจริงๆ นะ

เธออยากเป็นตัว T ที่ถูกยืนบัง 555+

มีรูปคู่แล้ว กลับได้

จากนั้นเราเดินทางมุ่งหน้าไปอีกไม่กี่กิโลเมตรก็ถึงป้ายใต้สุดแดนสยามแล้ว ซึ่งก็ตั้งอยู่ตรงด่านที่จะข้าไปยังฝั่งมาเลเซีย ซึ่งช่วงนี้ด่านก็จะยังปิดอยู่ ทำให้ดูเงียบมาก แล้วก็เหมือนเดิมทั้งด่านมีเราอยู่เพียง 2 คน และมีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่ด้านใน ทุกอย่างเลยดูเป็นส่วนตัวเหมือนเดิม

ใสที่สุดเราก็มาถึงยังใต้สุดของประเทศไทย ด้านหลังป้ายก็คือมาเลเซีย

และแล้วภารากิจในการมาเบตงรอบนี้เราก็เสร็จสมบูรณ์

นอกรั้วด้านหลังเราคือมาเลเซีย พาหนูดำมาเซลฟี่หน่อย อุตส่าห์ร่วมเดินทางมาด้วยกัน

https://www.facebook.com/lifeforfuntravel
ฝากติดตาม Fanpage เราด้วยนะครับ
เพี้ยนออกทริปเพี้ยนแช๊ะ
  

EP. 0
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
EP. 1
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
EP. 2
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
EP. 3
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
EP. 4
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
EP. 5
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่