เกิดอยากจะบอกเล่าให้ฟังเพราะไปอ่านกระทู้ คุณว่าคนอายุ 89 นี่ยังขับรถได้ไหมครับ
https://ppantip.com/topic/41206540
ในคำตอบมีหลายคนที่พูดถูก แล้วแต่คน ไม่ได้ขึ้นกับอายุ คนรูปร่างเล็ก เพราะกินน้อย
กินผักต้มจิ้มน้ำพริกโรคภัยไข้เจ็บก็เลยน้อยตามไปด้วย พ่อผม 80+ ขับรถ(ตอนกลางวัน)ได้ไม่ต่างกับเมื่อ 30 ปีที่แล้ว
ขอแบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกระหว่างเป็นโรคและการรักษา ถ้าเพื่อนห้องรัชดาข้ามไปอ่านช่วงที่ 2 เลยครับ เกี่ยวกับทักษะการขับรถหลังการรักษา
ช่วงที่ 1 ผมเกิดอาการเมื่อปลายเดือนธันวาคม 2563 ในบ่ายวันหนึ่งหลังเดินออกกำลัง
ระยะนั้นเดินบ้างไม่เดินบ้างและกินน้ำน้อยเลือดเลยข้น
จู่ๆ ก็ให้รู้สึกว่าจะยืนไม่อยู่ เดินไปได้ 4-5ก้าวเพื่อนั่งที่เก้าอี้โซฟา ปากจะเรียกตะโกนให้ภรรยาที่อยู่บนบ้านลงมาช่วย
เรียกชื่อและเสียงที่ปกติใช้เรียก แต่เสียงที่ออกมามันแปร่งๆไม่ชัด ปากตึงไปข้างหนึ่ง หลังจากเรียกอยู่นานเธอไม่ได้ยิน
ก็จึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือกดหา แขนซ้ายก็อ่อนแรง แขนขวามือขวาใช้งานได้ปกติ เธอก็แปลกใจนึกว่าผมออกไปเดินข้างนอกบ้าน เมื่อทราบเรื่องเธอก็โทรหาญาติที่เป็นพยาบาล
ญาติหลังจากฟังอาการก็ให้รีบโทรแจ้ง 1669 ให้มารับตัวเข้าโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด โดยต้องได้รับการรักษาภายในไม่เกิน3-4ชั่วโมง(ฉีดยาละลายลิ่มเลือด)
เมื่อรถตู้พยาบาลมารับ (ด้วยเวลาไม่นานเลยไม่เกิน20 นาที) ก็จะมีการตรวจวัดชีพจร วัดความดัน ซักถามอาการและสิทธิ์การรักษา
เมื่อคำนวณระยะแล้วว่าสามารถไปโรงพยาบาลตามสิทธิ์ ก็ประสานไปที่โรงพยาบาลนั้นๆ
ระหว่างทางก็ได้ยินเสียงไซเรน มีรถจักรยานยนต์นำหน้าขอทางให้ด้วย
แต่ที่แปลกคือเมื่อไปถึงโรงพยาบาล หมอมาพูดซักถามอาการ ณ ขณะน้นกลับไม่มีอาการใดๆเลย (หมอให้ทำซีทีแสกน)
เหมือนว่าร่างกายปกติ เสียงพูดก็กลับมาชัด แขนซ้ายก็ยกได้ถนัด แต่หมอก็ยังให้ยาและรับเข้าแอดมิดห้องรวม
คืนแรกที่นอน จะนอนไม่ค่อยหลับ เพราะจะมีเสียงรบกวนอยู่ตลอดทั้งคืน รุ่งเช้ายังเหมือนร่างกายเป็นปกติ เดินไปห้องน้ำได้สบายๆ
แต่พอตอนบ่ายก็มีอาการพูดไม่ชัด แขนและขาซ้ายอ่อนแรง เดินไม่ถนัด ถ้าให้เทียบเปอร์เซนต์กับขาขวาก็จะประมาณ 30-40%
ขอย้ายมาอยู่ห้องพิเศษ พักรักษาตัวอีก 3 คืน 4 วันหมอก็ให้กลับบ้านได้ แต่ก็จะยังมีอาการอ่อนแรงหลงเหลืออยู่
ใช้สิทธิ์การรักษาประกันสังคมกับโรงพยาบาลรัฐ ค่ายาค่ารักษาไม่เสีย เสียแต่ค่าส่วนต่างของห้องพิเศษ
ช่วงที่ 2 หลังการรักษา ตอนออกจากโรงพยาบาลไม่ได้ขับรถเองครับ ลูกขับรถมารับ และคิดเองว่าคงจะขับไม่ได้ด้วย
จนเมื่อเวลาผ่านไปกว่าสิบวัน ต้องไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจคลื่นสมอง ก็ยังไม่กล้าขับรถครับ อาศัยรถแท็กซี่
ประมาณ 1 เดือนหลังออกจากโรงพยาบาล สภาพร่างกายตอนนี้ก็ยังมีอาการให้เห็นอยู่ เดินได้ช้า พูดยังไม่ชัดเป็นบางคำ
เริ่มกลับมาขับรถใหม่ ในวันแรกที่ขับ สมองตื่นกลัวเหมือนตอนหัดขับรถใหม่ๆ ความมั่นใจแทบไม่มี
ขับขึ้นลงอาคารจอดรถก็กลัวว่าจะเบียดข้าง ขับบนท้องถนนก็ระแวงว่าจะมีรถแทรก ระแวงว่าจะเบรครถไม่ทัน
จึงขับแบบช้าๆ ไม่กล้าเปลี่ยนเลนกระทันหัน จะเปลี่ยนเลนก็ต้องมั่นใจมากๆ จะออกจากซอยก็กลัว เหมือนการตัดสินใจจะช้าไปด้วย
อาการนี้เป็นอยู่พักใหญ่ๆ เลยครับ ความมั่นใจค่อยๆ ฟื้นกลับมาทีละนิด น่าจะกินเวลา 3-4 เดือนเลย ใช้รถไม่มากด้วยสัปดาห์ละวัน
ปี 2564 ทั้งปีเลยกลับมาดูแลร่างกาย กินแป้งลดลง กินโปรตีนและผลไม้มากขึ้น หลังหกโมงเย็นงดอาหารทุกชนิด
เดินออกกำลังทุกวัน ซื้อนาฬิกาสมาร์ทวอทช์จับก้าวการเดินให้ถึง 1หมื่นก้าว น้ำหนักลงจากปี 63 ไป 5 ก.ก.
ณ ตอนนี้ ร่างการกลับมาปกติ เช็คอัพล่าสุดผลตรวจดีขึ้นแข็งแรงกว่าปี 63 การขับรถก็ปกติ ขับไปเที่ยวไกลๆ ได้
ยกเว้นตอนค่ำที่สายตาไม่อำนวยแล้ว(ในกระทู้เก่าเคยมาบอกเล่าเรื่องอาศัยรถคันหน้าเป็นตา)
ป.ล. อย่าลืม แจ้งขอความช่วยเหลือโทร.1669 เมื่อมีอาการนะครับ
บอกเล่าให้ฟังหลังมีอาการเส้นโลหิตในสมองตีบและการขับรถหลังการรักษา
ในคำตอบมีหลายคนที่พูดถูก แล้วแต่คน ไม่ได้ขึ้นกับอายุ คนรูปร่างเล็ก เพราะกินน้อย
กินผักต้มจิ้มน้ำพริกโรคภัยไข้เจ็บก็เลยน้อยตามไปด้วย พ่อผม 80+ ขับรถ(ตอนกลางวัน)ได้ไม่ต่างกับเมื่อ 30 ปีที่แล้ว
ขอแบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกระหว่างเป็นโรคและการรักษา ถ้าเพื่อนห้องรัชดาข้ามไปอ่านช่วงที่ 2 เลยครับ เกี่ยวกับทักษะการขับรถหลังการรักษา
ช่วงที่ 1 ผมเกิดอาการเมื่อปลายเดือนธันวาคม 2563 ในบ่ายวันหนึ่งหลังเดินออกกำลังระยะนั้นเดินบ้างไม่เดินบ้างและกินน้ำน้อยเลือดเลยข้น
จู่ๆ ก็ให้รู้สึกว่าจะยืนไม่อยู่ เดินไปได้ 4-5ก้าวเพื่อนั่งที่เก้าอี้โซฟา ปากจะเรียกตะโกนให้ภรรยาที่อยู่บนบ้านลงมาช่วย
เรียกชื่อและเสียงที่ปกติใช้เรียก แต่เสียงที่ออกมามันแปร่งๆไม่ชัด ปากตึงไปข้างหนึ่ง หลังจากเรียกอยู่นานเธอไม่ได้ยิน
ก็จึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือกดหา แขนซ้ายก็อ่อนแรง แขนขวามือขวาใช้งานได้ปกติ เธอก็แปลกใจนึกว่าผมออกไปเดินข้างนอกบ้าน เมื่อทราบเรื่องเธอก็โทรหาญาติที่เป็นพยาบาล
ญาติหลังจากฟังอาการก็ให้รีบโทรแจ้ง 1669 ให้มารับตัวเข้าโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด โดยต้องได้รับการรักษาภายในไม่เกิน3-4ชั่วโมง(ฉีดยาละลายลิ่มเลือด)
เมื่อรถตู้พยาบาลมารับ (ด้วยเวลาไม่นานเลยไม่เกิน20 นาที) ก็จะมีการตรวจวัดชีพจร วัดความดัน ซักถามอาการและสิทธิ์การรักษา
เมื่อคำนวณระยะแล้วว่าสามารถไปโรงพยาบาลตามสิทธิ์ ก็ประสานไปที่โรงพยาบาลนั้นๆ
ระหว่างทางก็ได้ยินเสียงไซเรน มีรถจักรยานยนต์นำหน้าขอทางให้ด้วย
แต่ที่แปลกคือเมื่อไปถึงโรงพยาบาล หมอมาพูดซักถามอาการ ณ ขณะน้นกลับไม่มีอาการใดๆเลย (หมอให้ทำซีทีแสกน)
เหมือนว่าร่างกายปกติ เสียงพูดก็กลับมาชัด แขนซ้ายก็ยกได้ถนัด แต่หมอก็ยังให้ยาและรับเข้าแอดมิดห้องรวม
คืนแรกที่นอน จะนอนไม่ค่อยหลับ เพราะจะมีเสียงรบกวนอยู่ตลอดทั้งคืน รุ่งเช้ายังเหมือนร่างกายเป็นปกติ เดินไปห้องน้ำได้สบายๆ
แต่พอตอนบ่ายก็มีอาการพูดไม่ชัด แขนและขาซ้ายอ่อนแรง เดินไม่ถนัด ถ้าให้เทียบเปอร์เซนต์กับขาขวาก็จะประมาณ 30-40%
ขอย้ายมาอยู่ห้องพิเศษ พักรักษาตัวอีก 3 คืน 4 วันหมอก็ให้กลับบ้านได้ แต่ก็จะยังมีอาการอ่อนแรงหลงเหลืออยู่
ใช้สิทธิ์การรักษาประกันสังคมกับโรงพยาบาลรัฐ ค่ายาค่ารักษาไม่เสีย เสียแต่ค่าส่วนต่างของห้องพิเศษ
ช่วงที่ 2 หลังการรักษา ตอนออกจากโรงพยาบาลไม่ได้ขับรถเองครับ ลูกขับรถมารับ และคิดเองว่าคงจะขับไม่ได้ด้วย
จนเมื่อเวลาผ่านไปกว่าสิบวัน ต้องไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจคลื่นสมอง ก็ยังไม่กล้าขับรถครับ อาศัยรถแท็กซี่
ประมาณ 1 เดือนหลังออกจากโรงพยาบาล สภาพร่างกายตอนนี้ก็ยังมีอาการให้เห็นอยู่ เดินได้ช้า พูดยังไม่ชัดเป็นบางคำ
เริ่มกลับมาขับรถใหม่ ในวันแรกที่ขับ สมองตื่นกลัวเหมือนตอนหัดขับรถใหม่ๆ ความมั่นใจแทบไม่มี
ขับขึ้นลงอาคารจอดรถก็กลัวว่าจะเบียดข้าง ขับบนท้องถนนก็ระแวงว่าจะมีรถแทรก ระแวงว่าจะเบรครถไม่ทัน
จึงขับแบบช้าๆ ไม่กล้าเปลี่ยนเลนกระทันหัน จะเปลี่ยนเลนก็ต้องมั่นใจมากๆ จะออกจากซอยก็กลัว เหมือนการตัดสินใจจะช้าไปด้วย
อาการนี้เป็นอยู่พักใหญ่ๆ เลยครับ ความมั่นใจค่อยๆ ฟื้นกลับมาทีละนิด น่าจะกินเวลา 3-4 เดือนเลย ใช้รถไม่มากด้วยสัปดาห์ละวัน
ปี 2564 ทั้งปีเลยกลับมาดูแลร่างกาย กินแป้งลดลง กินโปรตีนและผลไม้มากขึ้น หลังหกโมงเย็นงดอาหารทุกชนิด
เดินออกกำลังทุกวัน ซื้อนาฬิกาสมาร์ทวอทช์จับก้าวการเดินให้ถึง 1หมื่นก้าว น้ำหนักลงจากปี 63 ไป 5 ก.ก.
ณ ตอนนี้ ร่างการกลับมาปกติ เช็คอัพล่าสุดผลตรวจดีขึ้นแข็งแรงกว่าปี 63 การขับรถก็ปกติ ขับไปเที่ยวไกลๆ ได้
ยกเว้นตอนค่ำที่สายตาไม่อำนวยแล้ว(ในกระทู้เก่าเคยมาบอกเล่าเรื่องอาศัยรถคันหน้าเป็นตา)
ป.ล. อย่าลืม แจ้งขอความช่วยเหลือโทร.1669 เมื่อมีอาการนะครับ