ขอบคุณทุกคนที่สนใจเเละเข้ามาอ่านบทความที่ผมอยากจะบอกความรู้สึกของตัวเองลงไป(เพราะผมไม่สามารถคุยกับใครได้เลย)นะครับ
ครอบครัวของผมนั้นจะประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ผม และน้องสาว ครอบครัวของผมนั้นมีปากเสียงทะเลาะกันตั้งเเต่ผมยังเด็ก ปัญหาต่างๆมากมายเกิดให้ผมเห็นตั้งเเต่ผมจำความได้ จนสุดท้ายเเล้ววันนึงพ่อกับแม่ก็ตัดสินใจที่จะแยกทางกันโดยที่ผมกับน้องสาวก็จะอยู่กับฝั่งแม่นะครับ โดยที่ว่าในตอนนั้นด้วยความเป็นเด็กผมก็ไม่เข้าใจหรอกครับว่าการเเยกกันอยู่คืออะไร คิดด้วยซ้ำว่าเดี๋ยวพ่อก็กลับมา จนเหตุการณ์ผ่านไปเป็น สัปดาห์ เป็นเดือน สุดท้ายก็ถึงปีที่พ่อของผมไม่ได้กลับมา ในตอนนั้นตัวผมที่อยู่เพียงป.4และน้องสาว ก็จะเจอกับเหตุการณ์เเย่ๆสารพัดจากคนที่เป็นแม่ทั้งการใส่อารมณ์ ทั้งการใช้ความรุนเเรง โดยที่ในตอนนั้นผมและน้องก็ก้มหน้ายอมรับผิดแต่โดยดีในช่วงแรกๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปปีสองปี ผมเริ่มติดนิสัยการใช้อารมณ์มาจากแม่ ผมเริ่มที่จะก้าวร้าว ใช้กำลัง ซึ่งน้องสาวก็เป็นเหมือนกัน พูดได้ว่าเป็นเด็กดื้อในสายตาของคนเป็นแม่ก็ได้ครับ แต่น่าแปลกนะครับกับคนอื่นๆผมและน้องจะดูเป็นเด็กดีในสายตาเขามาก ทั้งกับอาจารย์ ญาติผู้ใหญ่ แถมทั้งผมและน้องก็ไม่ได้เรียนแย่เลย ผมและน้องเรียกว่าเป็นเด็กกิจกรรมเลยก็ว่าได้ แต่จุดที่เริ่มทำให้ผมเห็นอะไรหลายๆอย่างมันก็เริ่มหลังจากที่ผมได้ขึ้นช่วงมัธยมนี่แหละครับ คุณแม่ได้ส่งให้ผมเรียนในห้องพิเศษที่มีค่าเทอมราคาสูงหน่อย ซึ่งผมก็กล้าพูดว่าสังคมในห้องนั้นดีมากๆ ดีขนาดที่ว่าผมไม่อายที่ผมจะเป็นตัวของตัวเองเลย มีความสุขกับการไปเรียนในทุกๆวัน ด้วยเหตุการณ์นี้แหละครับมันเลยทำให้ผมเริ่มที่จะ "คิดเป็น" จากเด็กที่มีความรู้สึกหงุดหงิดตลอดเวลา จากเด็กที่ต้องการเอาชนะผู้อื่น ผมเริ่มมองเห็นว่า บางที่ปัญหาที่เจอมันก็ไม่จำเป็นต้องแก้ด้วยกำลังเสมอไป เวลาผมมีปัญหากับเพื่อนที่ห้อง พวกเราก็จะนั่งคุยกันถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและหาข้อสรุป ซึ่งสิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน เมื่อผมเริ่มโตขึ้น ผมก็เห็นอะไรมากขึ้น มากสะจนมันถึงในจุดที่ว่า "ผมเริ่มที่จะตั้งคำถามกับตัวเอง" ใช่ครับ ผมไม่เคยตั้งคำถามมาก่อนเลย จนผมเจอข้อเปรียบเทียบระหว่างที่บ้านกับที่โรงเรียน แต่ในตอนนั้นนะครับ ถึงแม้คุณแม่จะทำร้ายจิตใจผมยังไงในใจลึกๆเขาก็ยังคงเป็นคุณแม่ของผม ผมจึงเลือกที่จะลองนำวิธีที่ใช้ในห้องนี่แหละครับ เริ่มนำไปใช้กับคุณแม่ ทั้งการค่อยๆพูด พูดด้วยเหตุผล และการอธิบายถึงผลลัพธ์จากการกระทำของคุณแม่ ผมพยายามจนสุดความสามารถ แม้จะล้มเหลวในรอบแรกผมก็จะเปลี่ยนวิธี รอบสองอีกผมก็จะเปลี่ยนวิธี เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ผมใช้เวลาประมาณ2-3 ปีครับ คุณแม่ถึงเริ่มที่จะใจเย็นลง ยอมรับฟัง และก็เปิดโอกาสที่จะให้ผมได้พูดออกมามากขึ้น การทำโทษน้อยลง เหตุการณ์ในช่วงนั้นหลายๆอย่างค่อนข้างที่จะมีเเน้วโน้มที่จะดีขึ้นครับ ทั้งตัวน้องสาวและตัวผมเอง แต่สุดท้ายแล้ว พอมาถึงวันนี้ผมถึงได้รับรู้เเล้วครับว่าสิ่งที่ผมพยายามทำมาทั้งหมดนั้นมันไม่มีทางสำเร็จได้ อาจจะดูพิมพ์เชิงน้อยใจนะครับ แต่ส่วนตัวจากที่อยู่กับคุณแม่และหลายๆอย่างที่ผมสัมผัสได้ จากการที่ผมเริ่มโตขึ้นและแยกเเยะอะไรเป็นในตอนนี้ที่ผมปี1แล้วนั้น ผมรู้มาตลอดเลยครับว่าคุณแม่นั้นให้ใจกับคนอื่นมามากกว่าโดยตลอด จากหลายๆเหตุการณ์ทั้งหมดนะครับ ผมสามารถโยงมันได้มาจากการตั้งคำถามว่า ทำไม ทำไม ทำไม ไปเรื่อยๆ บวกกับเรื่องราวที่ผมมารู้ตอนหลังว่า คุณแม่นั้นมีคนอื่นตั้งแต่ยังอยู่กับคุณพ่อก่อนช่วงที่ทั้งสองจะแยกกัน ปัจจุบันนี้นะครับผมไม่เคยได้ยินคำว่ารักหรือคิดถึงหรือคำห่วงใยออกมาจากปากของท่านอีกแล้ว พูดตรงๆนะครับว่าก็ยังคงหวังให้ครอบครัวนั้นอบอุ่นกว่านี้ แต่ตัวเเปรที่เหลือเพียงตัวเดียวคือคุณแม่ที่ยังคงให้ความสำคัญกับคนนอกมากกว่า ก็ยากสำหรับผมจริงๆครับ ในตัวของน้องสาวเอง ช่วงประถมก็จะสนิทกับคุณแม่มาก แต่หลังจากที่น้องสาวเจอเหตุการณ์หลายๆอย่างทุกวันนี้น้องสาวมีแต่คำว่าน้อยใจกับคุณแม่ครับ ทั้งๆที่น้องสาวพยายามจะทำตัวให้ดีที่สุดก็จะเจอคุณแม่ตำหนิด้วยอารมณ์เพียงแค่จุดเล็กๆมาตลอด
ผมและน้องจึงมีความคิดต่อไปว่า ต่อจากนี้เราทั้งสองคงต้องช่วยกันยืนด้วยขาของตัวเอง ตั้งใจเรียน พัฒนาทักษะให้มันมากๆ ยอมรับครับว่าบางมุมก็อิจฉาคนอื่นบ้างที่มีพ่อแม่ที่คอยซัพพอร์ต แต่ก็นะครับ คนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ แต่คนเราเลือกที่จะเป็นได้ครับ
สุดท้ายนี้ก็อยากจะพูดอีกสักเล็กน้อยว่า บางทีผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ถูกทั้งหมด ตัวเราก็เช่นกัน ต้องใช้ความคิดและมองให้หลายมุมถ้าเราอยากเข้าใจสิ่งๆนั้นจริงๆ และถ้าเราทำทั้งหมดนั้นเเล้ว แล้วเราตัดสินใจอะไร ให้ถือว่าการตัดสินใจนั้นมันดีสำหรับเราที่สุด ณ ตอนนั้นเเล้ว และก็อย่ากลับไปเสียใจ
ฝากถึงเพื่อนๆอายุใกล้ๆกันที่มีปัญหาคล้ายๆกันนะครับ ลองพยายามก่อน บางทีสิ่งที่เราคิดอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็น แต่ถ้าสรุปสุดท้ายได้คำตอบเเล้วเหมือนผม ก็อย่ากลัวที่จะเขียนชีวิตของตัวเองให้มันดีกว่าที่มีตอนนี้นะครับ
เป็นกำลังใจให้กับทุกคนให้มีชีวิตที่ดีในแบบที่ตัวเองเลือกนะครับ
ครอบครัวไม่ใช่ Safe zone สำหรับทุกคน
ครอบครัวของผมนั้นจะประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ผม และน้องสาว ครอบครัวของผมนั้นมีปากเสียงทะเลาะกันตั้งเเต่ผมยังเด็ก ปัญหาต่างๆมากมายเกิดให้ผมเห็นตั้งเเต่ผมจำความได้ จนสุดท้ายเเล้ววันนึงพ่อกับแม่ก็ตัดสินใจที่จะแยกทางกันโดยที่ผมกับน้องสาวก็จะอยู่กับฝั่งแม่นะครับ โดยที่ว่าในตอนนั้นด้วยความเป็นเด็กผมก็ไม่เข้าใจหรอกครับว่าการเเยกกันอยู่คืออะไร คิดด้วยซ้ำว่าเดี๋ยวพ่อก็กลับมา จนเหตุการณ์ผ่านไปเป็น สัปดาห์ เป็นเดือน สุดท้ายก็ถึงปีที่พ่อของผมไม่ได้กลับมา ในตอนนั้นตัวผมที่อยู่เพียงป.4และน้องสาว ก็จะเจอกับเหตุการณ์เเย่ๆสารพัดจากคนที่เป็นแม่ทั้งการใส่อารมณ์ ทั้งการใช้ความรุนเเรง โดยที่ในตอนนั้นผมและน้องก็ก้มหน้ายอมรับผิดแต่โดยดีในช่วงแรกๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปปีสองปี ผมเริ่มติดนิสัยการใช้อารมณ์มาจากแม่ ผมเริ่มที่จะก้าวร้าว ใช้กำลัง ซึ่งน้องสาวก็เป็นเหมือนกัน พูดได้ว่าเป็นเด็กดื้อในสายตาของคนเป็นแม่ก็ได้ครับ แต่น่าแปลกนะครับกับคนอื่นๆผมและน้องจะดูเป็นเด็กดีในสายตาเขามาก ทั้งกับอาจารย์ ญาติผู้ใหญ่ แถมทั้งผมและน้องก็ไม่ได้เรียนแย่เลย ผมและน้องเรียกว่าเป็นเด็กกิจกรรมเลยก็ว่าได้ แต่จุดที่เริ่มทำให้ผมเห็นอะไรหลายๆอย่างมันก็เริ่มหลังจากที่ผมได้ขึ้นช่วงมัธยมนี่แหละครับ คุณแม่ได้ส่งให้ผมเรียนในห้องพิเศษที่มีค่าเทอมราคาสูงหน่อย ซึ่งผมก็กล้าพูดว่าสังคมในห้องนั้นดีมากๆ ดีขนาดที่ว่าผมไม่อายที่ผมจะเป็นตัวของตัวเองเลย มีความสุขกับการไปเรียนในทุกๆวัน ด้วยเหตุการณ์นี้แหละครับมันเลยทำให้ผมเริ่มที่จะ "คิดเป็น" จากเด็กที่มีความรู้สึกหงุดหงิดตลอดเวลา จากเด็กที่ต้องการเอาชนะผู้อื่น ผมเริ่มมองเห็นว่า บางที่ปัญหาที่เจอมันก็ไม่จำเป็นต้องแก้ด้วยกำลังเสมอไป เวลาผมมีปัญหากับเพื่อนที่ห้อง พวกเราก็จะนั่งคุยกันถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและหาข้อสรุป ซึ่งสิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน เมื่อผมเริ่มโตขึ้น ผมก็เห็นอะไรมากขึ้น มากสะจนมันถึงในจุดที่ว่า "ผมเริ่มที่จะตั้งคำถามกับตัวเอง" ใช่ครับ ผมไม่เคยตั้งคำถามมาก่อนเลย จนผมเจอข้อเปรียบเทียบระหว่างที่บ้านกับที่โรงเรียน แต่ในตอนนั้นนะครับ ถึงแม้คุณแม่จะทำร้ายจิตใจผมยังไงในใจลึกๆเขาก็ยังคงเป็นคุณแม่ของผม ผมจึงเลือกที่จะลองนำวิธีที่ใช้ในห้องนี่แหละครับ เริ่มนำไปใช้กับคุณแม่ ทั้งการค่อยๆพูด พูดด้วยเหตุผล และการอธิบายถึงผลลัพธ์จากการกระทำของคุณแม่ ผมพยายามจนสุดความสามารถ แม้จะล้มเหลวในรอบแรกผมก็จะเปลี่ยนวิธี รอบสองอีกผมก็จะเปลี่ยนวิธี เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ผมใช้เวลาประมาณ2-3 ปีครับ คุณแม่ถึงเริ่มที่จะใจเย็นลง ยอมรับฟัง และก็เปิดโอกาสที่จะให้ผมได้พูดออกมามากขึ้น การทำโทษน้อยลง เหตุการณ์ในช่วงนั้นหลายๆอย่างค่อนข้างที่จะมีเเน้วโน้มที่จะดีขึ้นครับ ทั้งตัวน้องสาวและตัวผมเอง แต่สุดท้ายแล้ว พอมาถึงวันนี้ผมถึงได้รับรู้เเล้วครับว่าสิ่งที่ผมพยายามทำมาทั้งหมดนั้นมันไม่มีทางสำเร็จได้ อาจจะดูพิมพ์เชิงน้อยใจนะครับ แต่ส่วนตัวจากที่อยู่กับคุณแม่และหลายๆอย่างที่ผมสัมผัสได้ จากการที่ผมเริ่มโตขึ้นและแยกเเยะอะไรเป็นในตอนนี้ที่ผมปี1แล้วนั้น ผมรู้มาตลอดเลยครับว่าคุณแม่นั้นให้ใจกับคนอื่นมามากกว่าโดยตลอด จากหลายๆเหตุการณ์ทั้งหมดนะครับ ผมสามารถโยงมันได้มาจากการตั้งคำถามว่า ทำไม ทำไม ทำไม ไปเรื่อยๆ บวกกับเรื่องราวที่ผมมารู้ตอนหลังว่า คุณแม่นั้นมีคนอื่นตั้งแต่ยังอยู่กับคุณพ่อก่อนช่วงที่ทั้งสองจะแยกกัน ปัจจุบันนี้นะครับผมไม่เคยได้ยินคำว่ารักหรือคิดถึงหรือคำห่วงใยออกมาจากปากของท่านอีกแล้ว พูดตรงๆนะครับว่าก็ยังคงหวังให้ครอบครัวนั้นอบอุ่นกว่านี้ แต่ตัวเเปรที่เหลือเพียงตัวเดียวคือคุณแม่ที่ยังคงให้ความสำคัญกับคนนอกมากกว่า ก็ยากสำหรับผมจริงๆครับ ในตัวของน้องสาวเอง ช่วงประถมก็จะสนิทกับคุณแม่มาก แต่หลังจากที่น้องสาวเจอเหตุการณ์หลายๆอย่างทุกวันนี้น้องสาวมีแต่คำว่าน้อยใจกับคุณแม่ครับ ทั้งๆที่น้องสาวพยายามจะทำตัวให้ดีที่สุดก็จะเจอคุณแม่ตำหนิด้วยอารมณ์เพียงแค่จุดเล็กๆมาตลอด
ผมและน้องจึงมีความคิดต่อไปว่า ต่อจากนี้เราทั้งสองคงต้องช่วยกันยืนด้วยขาของตัวเอง ตั้งใจเรียน พัฒนาทักษะให้มันมากๆ ยอมรับครับว่าบางมุมก็อิจฉาคนอื่นบ้างที่มีพ่อแม่ที่คอยซัพพอร์ต แต่ก็นะครับ คนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ แต่คนเราเลือกที่จะเป็นได้ครับ
สุดท้ายนี้ก็อยากจะพูดอีกสักเล็กน้อยว่า บางทีผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ถูกทั้งหมด ตัวเราก็เช่นกัน ต้องใช้ความคิดและมองให้หลายมุมถ้าเราอยากเข้าใจสิ่งๆนั้นจริงๆ และถ้าเราทำทั้งหมดนั้นเเล้ว แล้วเราตัดสินใจอะไร ให้ถือว่าการตัดสินใจนั้นมันดีสำหรับเราที่สุด ณ ตอนนั้นเเล้ว และก็อย่ากลับไปเสียใจ
ฝากถึงเพื่อนๆอายุใกล้ๆกันที่มีปัญหาคล้ายๆกันนะครับ ลองพยายามก่อน บางทีสิ่งที่เราคิดอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็น แต่ถ้าสรุปสุดท้ายได้คำตอบเเล้วเหมือนผม ก็อย่ากลัวที่จะเขียนชีวิตของตัวเองให้มันดีกว่าที่มีตอนนี้นะครับ
เป็นกำลังใจให้กับทุกคนให้มีชีวิตที่ดีในแบบที่ตัวเองเลือกนะครับ