ต้องขออภัยไว้ก่อน เพราะเรื่องเรายาวมากจริงๆค่ะ T T
ก่อนอื่นเลยเราเป็นคน ตจว. ค่ะ มาทำงานที่กรุงเทพ เลยซื้อคอนโดอยู่เองค่ะ ที่บ้านช่วยจ่ายทั้งหมดให้ก่อนแล้วเราผ่อนคืนทุกเดือน(จ่ายครบทุกบาท ไม่ได้ให้ออกเงินช่วย) เดือนละ 20,000 ตอนแรกเราก็อยู่คนเดียวมาตลอด (พี่ชายเราเป็นวิศวะโยธา ที่ทำงานจัดที่พักให้อยู่) ห้องเรามีห้องนอนใหญ่และ1ห้องอเนกประสงค์ เราก็ซื้อเตียงเดี่ยวใส่ไว้ในห้องอเนกประสงค์เผื่อคนที่บ้านมาจากตจว.จะได้มีที่นอนสบายๆ ช่วงแรกๆพี่ชายมาอยู่บ้างเป็นบางวัน ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ช่วงโควิดมานี้พี่มาขออยู่ด้วยค่ะ บอกว่าจะช่วยจ่ายค่าน้ำค่าไฟค่าส่วนกลางเดือนละ 1,500 บาท เราก็โอเคไม่ได้พูดอะไร เพราะเห็นว่าเป็นพี่น้องกัน พี่บอกว่าจะอยู่ไม่นาน แต่นี่อยู่มาเกือบจะ 2 ปีแล้วค่ะ แรกๆที่อยู่ก็ยังไม่มีปัญหาเท่าไร ก็มีหงุดหงิด แต่ยังพออดทนได้
คือเรากับพี่นิสัยและการใช้ชีวิตต่างกันมากๆค่ะ พี่เราไม่ช่วยกันดูแลห้องเลย ด้วยความที่ห้องเราก็ไม่ได้กว้าง(ประมาณ 35 ตรม) ยังไม่ได้บิวท์อินเพิ่ม ที่เก็บของเลยไม่ค่อยมี แต่พี่เราก็ขนของของเค้ามาไว้ในห้องเราเยอะมาก เราก็มีตะกร้าและที่เก็บของให้บางส่วน(ไม่คิดว่าเค้าจะขนของมาเยอะขนาดนี้) แต่พี่เราไม่ช่วยดูแลความสะอาดหรือเก็บกวาดอะไรเลย เสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ใส่ก็กองอยู่ข้างนอกตะกร้าวางผ้า(รื้อออกมาแล้วไม่เก็บ) เสื้อที่ใส่แล้วก็วางอยู่บนพื้นหน้าเครื่องซักผ้าไม่ก็ในห้องน้ำ(ทั้งๆที่มีตะกร้าไว้ให้) กินแล้วไม่ล้างจาน แรกๆเราก็ล้างให้ หลังๆก็บอกให้ล้างเอง แต่ก็ทิ้งไว้ข้ามวันข้ามคืน (สุดท้ายเราก็ต้องล้างอยู่ดี) ขยะไม่ทิ้ง เข้าให้น้ำฉี่เลอะขอบโถส้วมไม่ทำความสะอาด มีทั้งกลิ่นเหม็นและคราบเหลือง เราเดินเข้าไปอย่างกับเข้าห้องน้ำสาธารณะ รองเท้าวางกองหน้าประตู 2-3 คู่(ทั้งที่มีตู้เก็บรองเท้า) ดีดกีตาร์ร้องเพลง คุยกับแฟนเสียงดังจนดึก(เที่ยงคืน/ตี1)เกือบทุกวัน และปัญหาอื่นๆอีก เราต้องคอยบอกตลอดจนเรารู้สึกรำคาญตัวเองเหมือนกัน บางทีก็รู้สึกว่าจู้จี้จุกจิกเกินไปรึป่าว แต่พอคุยกับคนอื่นเค้าก็ว่าไม่ พอบอกบ่อยๆก็ทะเลาะกัน เคยบ่นกับแม่ให้แม่ช่วยพูดให้ ก็ดีช่วงแรกๆสุดท้ายก็เหมือนเดิม
จริงๆมันก็เรื่องเล็กๆน้อยๆ ทำให้ก็ได้ แต่เราทำงานกลับมาก็เหนื่อยมากแล้วค่ะ ทำงาน 8 โมงเช้า-1ทุ่มเกือบ2ทุ่ม ช่วงนี้ไม่ WFH ก็ทำงาน 6 วัน/สัปดาห์ เราเหนื่อยมากจริงๆ ดูแลแค่ส่วนตัวเองก็พอได้ แต่เราก็ไม่ไหวถ้าเราต้องกลับมาเจอปัญหาพวกนี้ และต้องคอยทำหลายๆอย่าง ทุกวันนี้เรารู้สึกไม่มีความสุขกับการกลับคอนโดเลยค่ะ เป็นทุกข์มาก เหมือนทนมานานเดี๋ยวนี้เห็นอะไรนิดหน่อยก็ขัดหูขัดตา หงุดหงิด เราไม่อยากบ่น/ทะเลาะกัน ก็พยายามอยู่ส่วนใครส่วนมัน คุยกันให้น้อยที่สุด ทำเท่าที่ทำได้ จนมีวันนึงเราอึดอัดมากจริงๆเลยโทรไปคุยกับแม่ ถามว่า เมื่อไรพี่จะย้ายออกไปอยู่เองสักที นี่คือจุดเริ่มต้นของการทะเลาะกับแม่ต่อ
เราคิดว่าพี่เราก็เงินเดือนเยอะกว่าเรา ไปหาที่อยู่เองได้สบายๆ ไม่ต้องมาอึดอัดใจต่อกัน ไม่ใช่ว่าเราห้ามไม่ให้มาอยู่เลย มาอยู่ด้วยบางครั้งได้ นัดเจอกันไปกินข้าวกันได้ เราไม่ได้รู้สึกโกรธหรือเกลียดพี่เลยนะคะ แค่รู้สึกว่ามันเหนื่อยกับการใช้ชีวิตอยู่ด้วยทุกวัน ถึงจะไม่ได้เจอหน้ากันตลอด 24 ช.ม. แต่ห้องมันเล็กค่ะ ไม่เหมือนบ้าน เดินออกมาก็เจอหน้ากันอีกละ เจอห้องรกๆเจอทุกอย่างที่เราไม่ชอบ เราคิดว่าแยกกันอยู่จะดีที่สุดทั้ง 2 ฝ่าย(เวลาเราบ่นให้แม่ฟัง แม่ก็จะบอกว่าให้อดทน พี่ก็ไม่ได้อยากจะอยู่กับเราสักเท่าไรหรอก) เรารู้ว่าแม่ไม่ชอบให้เราพูดเรื่องพวกนี้ด้วย เราก็อดทนไม่ค่อยบ่นให้แม่ฟังเท่าไร แต่ครั้งนี้เราไม่ไหวจริงๆเลยกะว่าจะลองเปิดใจคุยกัน คุยเรื่องปัญหาทั้งหมด และขอให้แม่ลองช่วยพูดกับพี่เรื่องย้ายออก
แม่เราโกรธมาก บอกว่าเรานิสัยไม่ดี บอกไม่เข้าใจว่าทำไมถึงคิดให้พี่ย้ายออก ทำไมเราไม่เอาพี่น้อง ถ้าไล่พี่ออกไปอนาคตข้างหน้าเวลาเราไปขอความช่วยเหลือกับคนที่บ้านก็จะไม่มีใครช่วยเรา ญาติคนอื่นๆจะมองว่าเราเป็นคนไม่ดี พี่น้องกันทำไมอยู่ด้วยกันไม่ได้ อยู่ด้วยกันดีจะตาย เราไม่เคยเห็นข้อดีเลยค่ะ เห็นแต่ข้อเสีย(ตอนเราฉีดวัคซีนไข้ขึ้นสูง เราทั้งปวดตัวปวดหัวมากนอนไม่หลับ พี่เราดีดกีต้าร้องเพลงให้แฟนเสียงดังถึงตี3 ต้องตะโกนบอกให้เบาเสียงเพราะลุกเดินออกไปไม่ไหว เช้ามาไข้ก็ยังไม่ลดก็ต้องต้มข้าวต้มกินเอง ดูแลตัวเองทั้งนั้น) ก็เลยถามว่าดียังไง แม่ก็ให้คำตอบไม่ได้ เราพยายามอธิบายปัญหาทั้งหมดให้แม่ฟัง แต่เรารู้สึกว่าแม่ปิดกั้นไม่ฟังเราเลยค่ะ แม่ถามว่าต้องให้พี่จ่ายเงินให้มากกว่านี้มั้ยถึงจะโอเค (ช่วงก่อนเราเคยคุยว่าพี่มาอยู่กับเรานานมากแล้ว ถ้าจะอยู่นานกว่านี้เราคิดว่าควรจะช่วยเราออกค่าห้องสักหน่อยรึป่าว ตอนนั้นก็ทะเลาะกับแม่ไป 1 ยก บอกว่าเราคิดเล็กคิดน้อยกับพี่น้อง เราก็ไม่อยากจะพูดให้ทะเลาะกันไปมากกว่านั้น สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง) ตอนนี้เรารู้สึกว่าปัญหาไม่ใช่เงิน แต่มันคือเรื่องสภาพจิตใจของเรา เราไม่ไหวแล้ว เราพยายามอธิบายกับแม่ แม่บอกเราว่าแค่เพราะเราเป็นคนจ่ายเงินคอนโด แต่ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นของเราแค่คนเดียว เราจะทำแบบนี้ไม่ได้
แม่บอกว่าปัญหาทั้งหมดมันอยู่ที่เรา อยู่ใจเราไม่อยากให้พี่อยู่ เราต้องเป็นคนปรับ บอกให้อดทน ตอนนั้นเราเสียใจมาก ฟังแล้วก็พูดต่อไม่ออก เราฟังคำว่าให้อดทนทุกครั้งที่เราพูดเรื่องปัญหาพวกนี้ให้แม่ฟัง เราก็พยายามมาตลอด บอกเราว่าตอนนั้นพี่เราช่วยตรวจคอนโดให้ พี่พาเราไปนั่งรถไปดูเฟอร์นิเจอร์ (ประมาณ 2-3ครั้ง) ทำไมไม่นึกถึงที่พี่เคยช่วยเราบ้าง เรามองว่าถ้าจะพูดถึงเรื่องช่วยแล้วจะมานึกถึงบุญคุณขนาดนั้น เกือบ 2 ปีมานี้ก็น่าจะมากพอแล้ว เราพยายามขอให้แม่ลองพูดกับพี่ แต่แม่บอกว่ายังไงก็จะไม่มีวันพูด บอกว่าพี่เค้าก็คงอยู่กับเราอีกไม่นานหรอก เราก็ถามกลับว่า ไม่นานนี่อีกนานแค่ไหนล่ะ แม่ก็ตอบไม่ได้ แม่บอกว่าให้ไปลองเล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นฟัง ไม่มีใครคิดว่าเราคิดดีทำ/ถูกแน่นอน เราก็ยังพยายามขอให้แม่ช่วย สุดท้ายแม่บอกว่าถ้าถึงเวลาแม่จะเป็นคนพูดเรื่องนี้กับพี่เอง แล้วก็ตัดสายไปเลย เราไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เราคิดมันเลวร้ายมากเลยหรอคะ แม่บอกว่าเข้าใจเรา แต่เรารู้สึกว่าแม่ไม่เข้าใจในสิ่งที่เราพยายามอธิบายเลยค่ะ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่แคร์ความรู้สึกของเราบ้างเลย
จากวันนั้นมานี่เกือบ 2 สัปดาห์แล้วค่ะ ที่ไม่ได้คุยกับแม่เลย(ปกติโทรคุยกับทุกวัน) เราไม่เคยรู้สึกโกรธแม่เลยสักครั้ง มันรู้สึกเสียใจ น้อยใจมากกว่า แล้วก็รู้สึกอึดอัดใจเลยยังไม่กล้าโทรไปคุยสักที ไม่รู้ว่าจะเริ่มคุยยังไงด้วย เราอยากให้แม่เป็นที่ปรึกษาและที่พักพิงใจของเรา แต่ตอนนี้เรารู้สึกโดดเดี่ยวมากค่ะ เหมือนอยู่ตัวคนเดียว เราไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับปัญหานี้ดีค่ะ พอจะมีใครช่วยแนะนำให้บ้างได้มั้ยคะ T T
ถามคนที่มีพี่น้องค่ะ เรามีปัญหาการอยู่ร่วมกันกับพี่ชาย+มีปัญหากับแม่ด้วยเพราะเรื่องนี้ รู้สึกเครียดมาก
ก่อนอื่นเลยเราเป็นคน ตจว. ค่ะ มาทำงานที่กรุงเทพ เลยซื้อคอนโดอยู่เองค่ะ ที่บ้านช่วยจ่ายทั้งหมดให้ก่อนแล้วเราผ่อนคืนทุกเดือน(จ่ายครบทุกบาท ไม่ได้ให้ออกเงินช่วย) เดือนละ 20,000 ตอนแรกเราก็อยู่คนเดียวมาตลอด (พี่ชายเราเป็นวิศวะโยธา ที่ทำงานจัดที่พักให้อยู่) ห้องเรามีห้องนอนใหญ่และ1ห้องอเนกประสงค์ เราก็ซื้อเตียงเดี่ยวใส่ไว้ในห้องอเนกประสงค์เผื่อคนที่บ้านมาจากตจว.จะได้มีที่นอนสบายๆ ช่วงแรกๆพี่ชายมาอยู่บ้างเป็นบางวัน ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ช่วงโควิดมานี้พี่มาขออยู่ด้วยค่ะ บอกว่าจะช่วยจ่ายค่าน้ำค่าไฟค่าส่วนกลางเดือนละ 1,500 บาท เราก็โอเคไม่ได้พูดอะไร เพราะเห็นว่าเป็นพี่น้องกัน พี่บอกว่าจะอยู่ไม่นาน แต่นี่อยู่มาเกือบจะ 2 ปีแล้วค่ะ แรกๆที่อยู่ก็ยังไม่มีปัญหาเท่าไร ก็มีหงุดหงิด แต่ยังพออดทนได้
คือเรากับพี่นิสัยและการใช้ชีวิตต่างกันมากๆค่ะ พี่เราไม่ช่วยกันดูแลห้องเลย ด้วยความที่ห้องเราก็ไม่ได้กว้าง(ประมาณ 35 ตรม) ยังไม่ได้บิวท์อินเพิ่ม ที่เก็บของเลยไม่ค่อยมี แต่พี่เราก็ขนของของเค้ามาไว้ในห้องเราเยอะมาก เราก็มีตะกร้าและที่เก็บของให้บางส่วน(ไม่คิดว่าเค้าจะขนของมาเยอะขนาดนี้) แต่พี่เราไม่ช่วยดูแลความสะอาดหรือเก็บกวาดอะไรเลย เสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ใส่ก็กองอยู่ข้างนอกตะกร้าวางผ้า(รื้อออกมาแล้วไม่เก็บ) เสื้อที่ใส่แล้วก็วางอยู่บนพื้นหน้าเครื่องซักผ้าไม่ก็ในห้องน้ำ(ทั้งๆที่มีตะกร้าไว้ให้) กินแล้วไม่ล้างจาน แรกๆเราก็ล้างให้ หลังๆก็บอกให้ล้างเอง แต่ก็ทิ้งไว้ข้ามวันข้ามคืน (สุดท้ายเราก็ต้องล้างอยู่ดี) ขยะไม่ทิ้ง เข้าให้น้ำฉี่เลอะขอบโถส้วมไม่ทำความสะอาด มีทั้งกลิ่นเหม็นและคราบเหลือง เราเดินเข้าไปอย่างกับเข้าห้องน้ำสาธารณะ รองเท้าวางกองหน้าประตู 2-3 คู่(ทั้งที่มีตู้เก็บรองเท้า) ดีดกีตาร์ร้องเพลง คุยกับแฟนเสียงดังจนดึก(เที่ยงคืน/ตี1)เกือบทุกวัน และปัญหาอื่นๆอีก เราต้องคอยบอกตลอดจนเรารู้สึกรำคาญตัวเองเหมือนกัน บางทีก็รู้สึกว่าจู้จี้จุกจิกเกินไปรึป่าว แต่พอคุยกับคนอื่นเค้าก็ว่าไม่ พอบอกบ่อยๆก็ทะเลาะกัน เคยบ่นกับแม่ให้แม่ช่วยพูดให้ ก็ดีช่วงแรกๆสุดท้ายก็เหมือนเดิม
จริงๆมันก็เรื่องเล็กๆน้อยๆ ทำให้ก็ได้ แต่เราทำงานกลับมาก็เหนื่อยมากแล้วค่ะ ทำงาน 8 โมงเช้า-1ทุ่มเกือบ2ทุ่ม ช่วงนี้ไม่ WFH ก็ทำงาน 6 วัน/สัปดาห์ เราเหนื่อยมากจริงๆ ดูแลแค่ส่วนตัวเองก็พอได้ แต่เราก็ไม่ไหวถ้าเราต้องกลับมาเจอปัญหาพวกนี้ และต้องคอยทำหลายๆอย่าง ทุกวันนี้เรารู้สึกไม่มีความสุขกับการกลับคอนโดเลยค่ะ เป็นทุกข์มาก เหมือนทนมานานเดี๋ยวนี้เห็นอะไรนิดหน่อยก็ขัดหูขัดตา หงุดหงิด เราไม่อยากบ่น/ทะเลาะกัน ก็พยายามอยู่ส่วนใครส่วนมัน คุยกันให้น้อยที่สุด ทำเท่าที่ทำได้ จนมีวันนึงเราอึดอัดมากจริงๆเลยโทรไปคุยกับแม่ ถามว่า เมื่อไรพี่จะย้ายออกไปอยู่เองสักที นี่คือจุดเริ่มต้นของการทะเลาะกับแม่ต่อ
เราคิดว่าพี่เราก็เงินเดือนเยอะกว่าเรา ไปหาที่อยู่เองได้สบายๆ ไม่ต้องมาอึดอัดใจต่อกัน ไม่ใช่ว่าเราห้ามไม่ให้มาอยู่เลย มาอยู่ด้วยบางครั้งได้ นัดเจอกันไปกินข้าวกันได้ เราไม่ได้รู้สึกโกรธหรือเกลียดพี่เลยนะคะ แค่รู้สึกว่ามันเหนื่อยกับการใช้ชีวิตอยู่ด้วยทุกวัน ถึงจะไม่ได้เจอหน้ากันตลอด 24 ช.ม. แต่ห้องมันเล็กค่ะ ไม่เหมือนบ้าน เดินออกมาก็เจอหน้ากันอีกละ เจอห้องรกๆเจอทุกอย่างที่เราไม่ชอบ เราคิดว่าแยกกันอยู่จะดีที่สุดทั้ง 2 ฝ่าย(เวลาเราบ่นให้แม่ฟัง แม่ก็จะบอกว่าให้อดทน พี่ก็ไม่ได้อยากจะอยู่กับเราสักเท่าไรหรอก) เรารู้ว่าแม่ไม่ชอบให้เราพูดเรื่องพวกนี้ด้วย เราก็อดทนไม่ค่อยบ่นให้แม่ฟังเท่าไร แต่ครั้งนี้เราไม่ไหวจริงๆเลยกะว่าจะลองเปิดใจคุยกัน คุยเรื่องปัญหาทั้งหมด และขอให้แม่ลองช่วยพูดกับพี่เรื่องย้ายออก
แม่เราโกรธมาก บอกว่าเรานิสัยไม่ดี บอกไม่เข้าใจว่าทำไมถึงคิดให้พี่ย้ายออก ทำไมเราไม่เอาพี่น้อง ถ้าไล่พี่ออกไปอนาคตข้างหน้าเวลาเราไปขอความช่วยเหลือกับคนที่บ้านก็จะไม่มีใครช่วยเรา ญาติคนอื่นๆจะมองว่าเราเป็นคนไม่ดี พี่น้องกันทำไมอยู่ด้วยกันไม่ได้ อยู่ด้วยกันดีจะตาย เราไม่เคยเห็นข้อดีเลยค่ะ เห็นแต่ข้อเสีย(ตอนเราฉีดวัคซีนไข้ขึ้นสูง เราทั้งปวดตัวปวดหัวมากนอนไม่หลับ พี่เราดีดกีต้าร้องเพลงให้แฟนเสียงดังถึงตี3 ต้องตะโกนบอกให้เบาเสียงเพราะลุกเดินออกไปไม่ไหว เช้ามาไข้ก็ยังไม่ลดก็ต้องต้มข้าวต้มกินเอง ดูแลตัวเองทั้งนั้น) ก็เลยถามว่าดียังไง แม่ก็ให้คำตอบไม่ได้ เราพยายามอธิบายปัญหาทั้งหมดให้แม่ฟัง แต่เรารู้สึกว่าแม่ปิดกั้นไม่ฟังเราเลยค่ะ แม่ถามว่าต้องให้พี่จ่ายเงินให้มากกว่านี้มั้ยถึงจะโอเค (ช่วงก่อนเราเคยคุยว่าพี่มาอยู่กับเรานานมากแล้ว ถ้าจะอยู่นานกว่านี้เราคิดว่าควรจะช่วยเราออกค่าห้องสักหน่อยรึป่าว ตอนนั้นก็ทะเลาะกับแม่ไป 1 ยก บอกว่าเราคิดเล็กคิดน้อยกับพี่น้อง เราก็ไม่อยากจะพูดให้ทะเลาะกันไปมากกว่านั้น สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง) ตอนนี้เรารู้สึกว่าปัญหาไม่ใช่เงิน แต่มันคือเรื่องสภาพจิตใจของเรา เราไม่ไหวแล้ว เราพยายามอธิบายกับแม่ แม่บอกเราว่าแค่เพราะเราเป็นคนจ่ายเงินคอนโด แต่ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นของเราแค่คนเดียว เราจะทำแบบนี้ไม่ได้
แม่บอกว่าปัญหาทั้งหมดมันอยู่ที่เรา อยู่ใจเราไม่อยากให้พี่อยู่ เราต้องเป็นคนปรับ บอกให้อดทน ตอนนั้นเราเสียใจมาก ฟังแล้วก็พูดต่อไม่ออก เราฟังคำว่าให้อดทนทุกครั้งที่เราพูดเรื่องปัญหาพวกนี้ให้แม่ฟัง เราก็พยายามมาตลอด บอกเราว่าตอนนั้นพี่เราช่วยตรวจคอนโดให้ พี่พาเราไปนั่งรถไปดูเฟอร์นิเจอร์ (ประมาณ 2-3ครั้ง) ทำไมไม่นึกถึงที่พี่เคยช่วยเราบ้าง เรามองว่าถ้าจะพูดถึงเรื่องช่วยแล้วจะมานึกถึงบุญคุณขนาดนั้น เกือบ 2 ปีมานี้ก็น่าจะมากพอแล้ว เราพยายามขอให้แม่ลองพูดกับพี่ แต่แม่บอกว่ายังไงก็จะไม่มีวันพูด บอกว่าพี่เค้าก็คงอยู่กับเราอีกไม่นานหรอก เราก็ถามกลับว่า ไม่นานนี่อีกนานแค่ไหนล่ะ แม่ก็ตอบไม่ได้ แม่บอกว่าให้ไปลองเล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นฟัง ไม่มีใครคิดว่าเราคิดดีทำ/ถูกแน่นอน เราก็ยังพยายามขอให้แม่ช่วย สุดท้ายแม่บอกว่าถ้าถึงเวลาแม่จะเป็นคนพูดเรื่องนี้กับพี่เอง แล้วก็ตัดสายไปเลย เราไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เราคิดมันเลวร้ายมากเลยหรอคะ แม่บอกว่าเข้าใจเรา แต่เรารู้สึกว่าแม่ไม่เข้าใจในสิ่งที่เราพยายามอธิบายเลยค่ะ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่แคร์ความรู้สึกของเราบ้างเลย
จากวันนั้นมานี่เกือบ 2 สัปดาห์แล้วค่ะ ที่ไม่ได้คุยกับแม่เลย(ปกติโทรคุยกับทุกวัน) เราไม่เคยรู้สึกโกรธแม่เลยสักครั้ง มันรู้สึกเสียใจ น้อยใจมากกว่า แล้วก็รู้สึกอึดอัดใจเลยยังไม่กล้าโทรไปคุยสักที ไม่รู้ว่าจะเริ่มคุยยังไงด้วย เราอยากให้แม่เป็นที่ปรึกษาและที่พักพิงใจของเรา แต่ตอนนี้เรารู้สึกโดดเดี่ยวมากค่ะ เหมือนอยู่ตัวคนเดียว เราไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับปัญหานี้ดีค่ะ พอจะมีใครช่วยแนะนำให้บ้างได้มั้ยคะ T T