.
ณ ห้องสอบสวน
บรรยากาศภายในห้องเงียบชวนให้อึดอัด แต่มันก็ไม่ได้อึดอัดมากนัก บุคคลที่อยู่ในห้องกลับมีท่าทีสบาย ไม่เดือดร้อน ไม่ลนลาน ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ไม่สะทกสะท้าน ไม่สำนึก และ ไม่อะไรทั้งนั้น ถามมาตอบไป พร้อมที่จะเผชิญทุกอย่างที่อยู่ข้างหน้า ที่กำลังจะเกิดขึ้น
“ตั้งแต่ผมเริ่มฆ่าจนตอนที่โดนจับก็ราว ๆ หกสิบหกคนครับ เป็นเด็กผู้หญิงทั้งหมด อายุตั้งแต่แปดถึงสิบสองขวบ ไม่เกินนี้” สมัยที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่อง หรือ สัตว์เดรัจฉาน หรือ ปีศาจพูดอย่างสบายอารมณ์ แววตาดูไม่มีความกังวล หากแต่มองลงไปลึก ๆ กลับมีแววหวาดกลัวอยู่ในที
นายตำรวจกำมือแน่น เจ็บแค้นใจกับสิ่งที่ฆาตกรคนนี้ทำ แต่ก็ต้องปรับอารมณ์ สีหน้า แววตาให้ดูเป็นปกติ แล้วทำการสอบสวนต่อไป
“สมัยนายทำไปทำไม อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้นายต้องทำแบบนั้น” นายตำรวจหนุ่มถาม เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ รอฟังคำตอบจากผู้ต้องหาอย่างใจเย็น แม้ภายในใจตอนนี้จะร้อนดั่งไฟก็ตาม เขากำลังโกรธแทนพ่อแม่ของเหยื่อที่โดนกระทำ เพราะเขาเองก็มีลูกสาว
“เพราะความอยากครับ” ผู้ร้ายที่ชื่อสมัยตอบ นั่งมือไขว้หลังบนเก้าอี้ ยิ้มให้นายตำรวจหนุ่ม เป็นรอยยิ้มที่ช่างเย็นยะเยือก ส่วนนายตำรวจคนนั่นตบโต๊ะลุกพรวดพราดขึ้น
“เพราะความอยากงั้นเหรอ สิ่งที่แกทำมันโหดร้ายเกินสัตว์แล้ว” นายตำรวจคนนั้นลืมตัว ก่อนจะระงับความโกรธ ควบคุมสติอารมณ์ของตนเองเอาไว้
“ถ้างั้นเปลี่ยนคำตอบก็ได้ครับ เพราะความท้าทาย สด ใหม่ และก็สะใจครับ เหมือนได้แก้แค้น ทำเสร็จแล้วผมสบายใจดี” เขาพูดปนยิ้ม ไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่ตนเองทำเลยสักนิด ทว่านายตำรวจหนุ่มกับขมวดคิ้ว ติดใจกับคำให้การอะไรบางอย่างของผู้ต้องหา
“นายสมัยนายบอกว่านายสะใจเหมือนได้แก้แค้นงั้นเหรอ ทำไม! ผมอยากรู้ช่วยเล่าให้ผมฟังทีครับ บางทีผมอาจช่วยคุณได้ ไม่มากก็น้อย” นายตำรวจถาม มือค้ำโต๊ะ จ้องหน้าของสมัยอย่างฉงน ส่วนเจ้าตัวแค่นเสียงหัวเราะ แต่ก็ไม่ยอมเล่าให้ฟังว่าทำไมอยู่ดี
“ก็ผมบอกแล้วไงว่าผมชอบ มันท้าทายดี เด็กพวกนั้นหลอกง่าย แค่มีขนมเด็กพวกนั้นก็ยอมตามผมมาแล้ว” สมัยตอบ ยิ้มให้กับนายตำรวจหนุ่ม พร้อมที่จะโดนอะไรก็ตามหลังจากนี้
“มืงไม่ยอมเล่าให้กูฟังไม่เป็นไร งั้นมืงก็เตรียมตัวตายในคุกก็แล้วกัน เพราะคดีของมืงไม่โดนประหารก็ติดคุกตลอดชีวิต วันนี้ถือว่ามืงโชคดีนะที่กูไม่มีถุงดำ” นายตำรวจหนุ่มกล่าวอย่างฉุนเฉียว
คดีของสมัยเป็นที่สนใจแก่คนในประเทศมาก เป็นฆาตกรฆ่าข่มขืนมาแล้วหลายราย ถ้านับตัวเลขคร่าว ๆ ทั้งหมดหกสิบหกคน สมัยไม่ได้ทำในเวลาอันสั้น แต่ สมัยทำมานานแล้ว ตั้งแต่อายุสิบห้าจนปัจุบันอายุสามสิบห้า เป็นระยะเวลายี่สิบปีกับหกสิบหกศพ ทุกศพอายุล้วนไม่เกินสิบสองปีสักคน
สมัยเลือกลงมือทำที่ชุมชนเล็ก ๆ มีจำนวนผู้คนน้อย ไม่เป็นที่สนใจ ห่างไกลความเจริญ ดังนั้นตลอดระยะเวลายี่สิบปี สมัยจึงไม่โดนจับได้เลย โดนจับมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนั้นยังเป็นเด็กอยู่ โดนเข้าไปอยู่สถานพินิจ พอกลับออกมาก็ทำอีก คราวนี้สมัยระมัดระวังมากขึ้น จึงไม่โดนจับได้เสมอมา จนกระทั่งมาถึงวันนี้
เขาถูกจับได้เพราะขณะนั้นกำลังล่อลวงเด็กหญิงคนหนึ่งที่อยู่คนเดียว ยืนรอแม่ซื้อของที่ร้านค้า เขากำลังจะพาไปที่อโคจรเพื่อจะกระทำชำเราและฆ่าเมื่อเสร็จกิจ แต่โดนจับได้ซะก่อนเพราะระหว่างล่อลวงไปเด็กงอแงหาแม่ ร้องไห้กลับบ้าน จึงทำให้คนแถวนั้นเข้าช่วยเหลือ พร้อมรุมจับเขาได้ ส่วนเด็กคนนั้นปลอดภัย
สมัยถูกนำตัวมาสอบปากคำ จากนั้นก็ถูกส่งเข้าเรือนจำ ตำรวจยังไม่ได้ทราบถึงแรงจูงใจว่าอะไรทำให้สมัยทำแบบนั้น แต่ทางการได้ส่งนักจิตวิทยาเข้าไปเป็นนักโทษในเรือนจำด้วย เพื่อไปคุยกับสมัย เพื่อที่จะให้สมัยบอกถึงแรงจูงใจให้ได้ว่าทำไปเพราะอะไร เนื่องจากเป็นคดีสะเทือนขวัญของประชาชนมาก ทางการจึงทำคดีนี้ให้ถึงที่สุด
นักจิตวิทยาได้ปลอมตัวเป็นนักโทษ เที่ยวเข้าไปพูดคุยกับสมัย สร้างความสนิทสนมด้วย จนสมัยสนิทใจ รู้สึกปลอดภัยไว้ใจ จึงยอมเล่าทุกอย่างให้ฟัง หารู้ไม่ว่าเพื่อนนักโทษที่ตนเองกำลังปรับทุกข์อยู่ เป็นนักจิตวิทยาปลอมตัวมา
สมัยเกิดในครอบครัวที่ยากจน ไม่มีพ่อ! เพราะแม่ของเขาทำงานที่ซ่อง มีพี่น้องทั้งหมดห้าคน สมัยเป็นคนที่สาม และ ทั้งห้าคนไม่มีพ่อสักคน เพราะแม่ทำงานขายบริการ พอท้องก็กลับมาอยู่บ้าน นำลูกให้แม่เลี้ยงแทน จากนั้นก็กลับไปขายบริการต่อ
สมัยอยู่กับยายแก่ ๆ คนหนึ่ง แม่ก็ไม่เคยส่งเงินมาดูดายเลย ปล่อยให้อยู่กับยายตามมีตามเกิด อยู่มาวันหนึ่งสมัยพยายามจะลวนลามน้องสาวคนรองซึ่งมีอายุเพียงห้าขวบ และเขามีอายุเพียงเก้าขวบ จากนั้นโดนยายทำโทษ ตีสมัยไม่ยั้งมือ ทำให้สมัยต้องหนีตายออกจากบ้านไป
เขาบอกกับนักจิตวิทยาว่า ไม่ได้ตั้งใจลวนลามน้องสาว แค่เห็นผู้ชายทำกับแม่ของเขาช่วงที่แม่กลับมาอยู่บ้าน ก็เลยนึกอยากจะทำอย่างนั้นบ้าง พอหนียายออกจากบ้านเขาก็เร่ร่อนไปตามถนน ไม่มีญาติ ไม่มีที่ซุกหัวนอน
ยายก็ไม่ตามหาเพราะเป็นครอบครัวที่ไม่ใส่ใจกันเท่าไหร่ อยู่ตามมีตามเกิด บวกกับยายคงจะโกรธเขาด้วย ที่เขาทำกับน้องสาวแบบนั้น จึงไม่คิดตามเขากลับบ้าน
เขานอนใต้สะพานลอย หาคุ้ยเศษกับข้าวในขยะกิน ทันใดนั้นก็มีผู้ชายวัยกลางคน ๆ หนึ่งเดินเข้ามาหาเขา หน้าตาดี ดูเป็นคนใจดี แต่งตัวดีชวนให้เขาไปอยู่ด้วย เพราะความเป็นเด็กบวกกับความหิวโซลำบากในตอนนี้ จึงยอมเชื่อใจและยอมไปกับคนแปลกหน้า
สมัยไปอยู่กับชายสูงอายุแปลกหน้าคนนั้นได้เพียงเดือนครึ่ง ก็ต้องหอบสังขารพร้อมความหวาดกลัวกลับมาหายายที่บ้าน เพราะว่าชายสูงวัยแปลกหน้าคนนั้น ข่มขืนสมัยทางทวาร ข่มขืนอยู่นานร่วมเดือน สมัยทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงแอบหนีออกจากบ้านของชายสูงอายุคนนั้นกลับมาหายายที่บ้าน
เพราะความจนอยู่ตามมีตามเกิดของครอบครัว ทำให้สมัยไม่เรียนหนังสือ ไม่มีเงินบวกกับขี้เกียจด้วย สมัยใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวง สมัยเริ่มหวาดกลัวคนแปลกหน้า กลัว! กลัวที่แคบ มุมอับ มุมมืด เก็บตัว ไม่คุยกับใครเลย แต่ สมัยมีความรู้สึกอย่างหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ นั่นก็คือ สมัยมองเห็นเด็กผู้หญิงมันช่างสวยงามเหลือเกิน
ตั้งแต่กลับมาที่บ้านอยู่กับยาย สมัยมีความรู้สึกว่าเด็กผู้หญิงช่างสวยงามมาก น้องสาวของสมัยเองก็สวย แต่เพราะความยังเป็นเด็ก สมัยมีอายุเพียงเก้าขวบจึงได้แค่มองความสวยนั้นไปวัน ๆ มีบางอย่างเกิดขึ้นในใจ
พอเขาโตขึ้นมีอายุได้สิบห้าปี เขาก็ออกจากบ้านไปอีก เร่ร่อนไปเรื่อย ทีแรกเขากะว่าจะออกมาอยู่คนเดียว หางานทำ แต่เพราะไม่มีวุฒิการศึกษาอะไรเลย อ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้จึงทำให้ไม่มีใครรับเข้าทำงาน แม้กระทั่งโรงงาน ทำงานในตลาดสดก็มีเรื่องกับเจ้าถิ่น ทำให้อยู่ได้ไม่นานก็ต้องหนีไปจากตรงนั้น
ความเหนื่อย ความหิวโซ ทำให้สมัยต้องคุ้ยขยะข้างทางกินอีกครั้ง นอนตามศาลาข้างทาง เดินทางไปเรื่อย แต่งตัวมอมแมม ผู้คนมองว่าสมัยเป็นคนบ้า แต่สติสัมปชัญญะของสมัยมีครบทุกประการ พอเข้าสู่วงการคุ้ยขยะก็ต้องถูกคนเร่ร่อนเจ้าถิ่นไล่ตะเพิด ต้องเร่ร่อนไปอีก
ทว่าระหว่างนั้นดอกไม้ในใจกลับผุดขึ้น ความรู้สึกหิวกระหายชัดเจนขึ้นมาในใจ ความหวาดกลัวเมื่อคราวถูกคนแปลกหน้าข่มขืน ความอยากแก้แค้นผุดขึ้นมาให้รู้สึก มองเห็นเด็กผู้หญิงสวยงาม เขาจะต้องแก้แค้น แก้แค้นให้สาสมกับสิ่งที่เขาโดนกระทำ
เขาเดินเร่ร่อนไปทั่วประเทศ เลือกสถานที่หมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญ เพื่อตำรวจหรือเจ้าหน้าที่จะได้ตามตัวได้ยาก รายแรกของเขาคือเด็กผู้หญิงอายุแปดขวบ อยู่ที่ภาคใต้
เขาเดินเร่ร่อนไปเรื่อย ๆ เจอเด็กผู้หญิงเล่นกันอยู่กับเพื่อนสองคน ในใจเขาคิดว่าจะจัดการกับเด็กทั้งสองคน ทว่าจัดการได้คนเดียว เขาหลอกล่อเด็กคนหนึ่งให้ออกมาจากเพื่อน โดยใช้ขนมเป็นตัวล่อ
เขาพาเด็กผู้หญิงเดินไปที่เปลี่ยว ๆ ก่อนจะลงมือจัดการเหยื่อ เขาข่มขืนตอนเหยื่อเสียชีวิตแล้ว เพราะหากข่มขืนตอนยังไม่ตายเด็กจะร้อง เขาใช้มือบีบรัดคอเด็กให้ขาดอากาศหายใจ ใช้เวลาถึงสิบกว่านาที กว่าเด็กจะขาดใจตาย ก่อนจะลงมือข่มขืนเป็นลำดับถัดไป จากนั้นก็ขุดหลุมฝังศพ กลับมาอีกทีเด็กอีกคนหายไปแล้ว เขาจึงรีบเผ่นหนีจากที่นี่ไป เดินมาเรื่อย ๆ จุดหมายคือภาคอีสาน
สมัยได้ฆ่าข่มขืนเด็กแล้ว สมัยรู้สึกสบายใจ หายโกรธแค้น มีความสุข ยิ่งได้เห็นแววตาที่พร่าเลือนของเหยื่อ ช่วงที่กำลังจะหมดลมหายใจ มองหน้าเขา ๆ ยิ่งมีความสุข ช่างเป็นแววตาที่น่ามองเสียจริง ๆ เขาลงมือข่มขืนและฆ่าเด็กคนแรกตอนอายุสิบห้าปี
ทำมาเรื่อย ๆ เขาเดินทางไปทั่วประเทศ และ ทำแบบเดียวกัน ฆ่าข่มขืนเด็กผู้หญิง เขาจะเลือกเหยื่อที่เป็นผู้หญิงเท่านั้น เขาจะทำทุกครั้งเมื่อความกลัวผุดขึ้นมาในใจ ความหวาดระแวง ความแค้นเกิดขึ้นมาในใจ แค้นที่ตนเองโดนกระทำชำเราเมื่อคราวมีอายุเก้าขวบ เขาจึงปลดปล่อยความแค้นโดยการหาเหยื่อเด็กผู้หญิง เพื่อระบายความแค้นนั่น
นักจิตวิทยาเล่าให้ตำรวจหนุ่มคนนั้นฟัง คนที่รับทำคดีนี้อยู่ สมัยข่มขืนฆ่ามาทั้งหมดหกสิบหกศพทั่วประเทศ ล้วนเป็นเด็กที่มีอายุตั้งแต่แปดขวบถึงสิบสองขวบ และ ทุกคนเป็นเด็กผู้หญิงทั้งหมด
“ไอ้สารเลว” นายตำรวจหนุ่มพร่ามอย่างเดือดดาล กำมือแน่นด้วยความแค้นใจแทนพ่อแม่เหยื่อ “โรคจิต” เขาสบถ
“แต่เขาน่าสงสารนะครับ ที่เขาต้องเป็นแบบนี้เพราะอะไร สถาบันครอบครัวเป็นส่วนสำคัญมาก ๆ เลยนะครับ สำหรับเคสนี้” นักจิตวิทยากล่าว “แม่เป็นโสเภณี ลูกห้าคนล้วนไม่มีพ่อสักคน ต่างพ่อกันทุกคน อยู่กับยายที่แก่ ๆ ครอบครัวยากจน” นักจิตวิทยานั่งคุยกับตำรวจหนุ่ม
“ความจน ความลำบาก ความไม่สมบูรณ์แบบไม่ได้เป็นตัวชี้วัดให้คนทำชั่วนะครับ” นายตำรวจยังพร่ำต่อ พูดจากความรู้สึกส่วนตัวล้วน ๆ เพราะตนเองนั้นก็มีลูกสาว เข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อแม่ของเหยื่อดี
“แต่เขามีปมในใจครับ ปมที่เกิดจากการโดนข่มขืนทางทวารเป็นเวลานานนับเดือน จากคนแปลกหน้า ทำให้เขาหวาดกลัวและเกิดความแค้น เขาจึงแก้แค้นความหวาดกลัวในใจ โดยการทำกับเด็ก ซึ่งเป็นเด็กผู้หญิง ที่มีอายุไล่เลี่ยกันกับเขาในสมัยนั้นเลย” นักจิตวิทยากล่าว
“แต่มันก็ไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้กับลูกคนอื่น” นายตำรวจหนุ่มพูด นักจิตวิทยาปรายตามอง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร “ผมอยากให้มันโดนประหารชีวิตจริง ๆ พวกเดนมนุษย์”
สมัยถูกศาลตัดสินให้จองจำในเรือนจำตลอดชีวิต เพราะกฎหมายในประเทศไม่มีโดนประหารชีวิตมานานแล้ว ชาวบ้าน พ่อแม่ญาติพี่น้องของเหยื่อต่างโกรธแค้น แช่งชักหักกระดูกสมัยทุกวัน แต่แล้วด้วยวันสำคัญต่าง ๆ สมัยก็ถูกลดโทษลงมาเรื่อย ๆ จนในที่สุดสมัยก็ได้ออกจากเรือนจำในวัยห้าสิบปลาย เขาถูกจับตอนอายุสามสิบห้าปี
เขาพูดว่าเขาจะกลับตัวกลับใจเป็นคนดี จะไม่ทำอีกแล้ว ปัจจุบันสมัยหายตัวไปย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครพบเจอตัวเขาอีก ข่าวเด็กหายหรือถูกฆ่าข่มขืนก็ไม่เกิดขึ้นอีก น้องสาวต่างพ่อของเขาออกตามหา เพียงอยากรู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ไหม กลับไม่พบร่องรอยของเขาเลย ไม่มีใครพบเห็น สันนิษฐานว่า ‘เขาอาจถูกฆ่าตายโดยญาติของเหยื่อที่เขาฆ่าไปแล้ว’
กรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมคืนสนอง…
จบ…
เรื่องสั้น : ฆาตกร
.
ณ ห้องสอบสวน
บรรยากาศภายในห้องเงียบชวนให้อึดอัด แต่มันก็ไม่ได้อึดอัดมากนัก บุคคลที่อยู่ในห้องกลับมีท่าทีสบาย ไม่เดือดร้อน ไม่ลนลาน ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ไม่สะทกสะท้าน ไม่สำนึก และ ไม่อะไรทั้งนั้น ถามมาตอบไป พร้อมที่จะเผชิญทุกอย่างที่อยู่ข้างหน้า ที่กำลังจะเกิดขึ้น
“ตั้งแต่ผมเริ่มฆ่าจนตอนที่โดนจับก็ราว ๆ หกสิบหกคนครับ เป็นเด็กผู้หญิงทั้งหมด อายุตั้งแต่แปดถึงสิบสองขวบ ไม่เกินนี้” สมัยที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่อง หรือ สัตว์เดรัจฉาน หรือ ปีศาจพูดอย่างสบายอารมณ์ แววตาดูไม่มีความกังวล หากแต่มองลงไปลึก ๆ กลับมีแววหวาดกลัวอยู่ในที
นายตำรวจกำมือแน่น เจ็บแค้นใจกับสิ่งที่ฆาตกรคนนี้ทำ แต่ก็ต้องปรับอารมณ์ สีหน้า แววตาให้ดูเป็นปกติ แล้วทำการสอบสวนต่อไป
“สมัยนายทำไปทำไม อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้นายต้องทำแบบนั้น” นายตำรวจหนุ่มถาม เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ รอฟังคำตอบจากผู้ต้องหาอย่างใจเย็น แม้ภายในใจตอนนี้จะร้อนดั่งไฟก็ตาม เขากำลังโกรธแทนพ่อแม่ของเหยื่อที่โดนกระทำ เพราะเขาเองก็มีลูกสาว
“เพราะความอยากครับ” ผู้ร้ายที่ชื่อสมัยตอบ นั่งมือไขว้หลังบนเก้าอี้ ยิ้มให้นายตำรวจหนุ่ม เป็นรอยยิ้มที่ช่างเย็นยะเยือก ส่วนนายตำรวจคนนั่นตบโต๊ะลุกพรวดพราดขึ้น
“เพราะความอยากงั้นเหรอ สิ่งที่แกทำมันโหดร้ายเกินสัตว์แล้ว” นายตำรวจคนนั้นลืมตัว ก่อนจะระงับความโกรธ ควบคุมสติอารมณ์ของตนเองเอาไว้
“ถ้างั้นเปลี่ยนคำตอบก็ได้ครับ เพราะความท้าทาย สด ใหม่ และก็สะใจครับ เหมือนได้แก้แค้น ทำเสร็จแล้วผมสบายใจดี” เขาพูดปนยิ้ม ไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่ตนเองทำเลยสักนิด ทว่านายตำรวจหนุ่มกับขมวดคิ้ว ติดใจกับคำให้การอะไรบางอย่างของผู้ต้องหา
“นายสมัยนายบอกว่านายสะใจเหมือนได้แก้แค้นงั้นเหรอ ทำไม! ผมอยากรู้ช่วยเล่าให้ผมฟังทีครับ บางทีผมอาจช่วยคุณได้ ไม่มากก็น้อย” นายตำรวจถาม มือค้ำโต๊ะ จ้องหน้าของสมัยอย่างฉงน ส่วนเจ้าตัวแค่นเสียงหัวเราะ แต่ก็ไม่ยอมเล่าให้ฟังว่าทำไมอยู่ดี
“ก็ผมบอกแล้วไงว่าผมชอบ มันท้าทายดี เด็กพวกนั้นหลอกง่าย แค่มีขนมเด็กพวกนั้นก็ยอมตามผมมาแล้ว” สมัยตอบ ยิ้มให้กับนายตำรวจหนุ่ม พร้อมที่จะโดนอะไรก็ตามหลังจากนี้
“มืงไม่ยอมเล่าให้กูฟังไม่เป็นไร งั้นมืงก็เตรียมตัวตายในคุกก็แล้วกัน เพราะคดีของมืงไม่โดนประหารก็ติดคุกตลอดชีวิต วันนี้ถือว่ามืงโชคดีนะที่กูไม่มีถุงดำ” นายตำรวจหนุ่มกล่าวอย่างฉุนเฉียว
คดีของสมัยเป็นที่สนใจแก่คนในประเทศมาก เป็นฆาตกรฆ่าข่มขืนมาแล้วหลายราย ถ้านับตัวเลขคร่าว ๆ ทั้งหมดหกสิบหกคน สมัยไม่ได้ทำในเวลาอันสั้น แต่ สมัยทำมานานแล้ว ตั้งแต่อายุสิบห้าจนปัจุบันอายุสามสิบห้า เป็นระยะเวลายี่สิบปีกับหกสิบหกศพ ทุกศพอายุล้วนไม่เกินสิบสองปีสักคน
สมัยเลือกลงมือทำที่ชุมชนเล็ก ๆ มีจำนวนผู้คนน้อย ไม่เป็นที่สนใจ ห่างไกลความเจริญ ดังนั้นตลอดระยะเวลายี่สิบปี สมัยจึงไม่โดนจับได้เลย โดนจับมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนั้นยังเป็นเด็กอยู่ โดนเข้าไปอยู่สถานพินิจ พอกลับออกมาก็ทำอีก คราวนี้สมัยระมัดระวังมากขึ้น จึงไม่โดนจับได้เสมอมา จนกระทั่งมาถึงวันนี้
เขาถูกจับได้เพราะขณะนั้นกำลังล่อลวงเด็กหญิงคนหนึ่งที่อยู่คนเดียว ยืนรอแม่ซื้อของที่ร้านค้า เขากำลังจะพาไปที่อโคจรเพื่อจะกระทำชำเราและฆ่าเมื่อเสร็จกิจ แต่โดนจับได้ซะก่อนเพราะระหว่างล่อลวงไปเด็กงอแงหาแม่ ร้องไห้กลับบ้าน จึงทำให้คนแถวนั้นเข้าช่วยเหลือ พร้อมรุมจับเขาได้ ส่วนเด็กคนนั้นปลอดภัย
สมัยถูกนำตัวมาสอบปากคำ จากนั้นก็ถูกส่งเข้าเรือนจำ ตำรวจยังไม่ได้ทราบถึงแรงจูงใจว่าอะไรทำให้สมัยทำแบบนั้น แต่ทางการได้ส่งนักจิตวิทยาเข้าไปเป็นนักโทษในเรือนจำด้วย เพื่อไปคุยกับสมัย เพื่อที่จะให้สมัยบอกถึงแรงจูงใจให้ได้ว่าทำไปเพราะอะไร เนื่องจากเป็นคดีสะเทือนขวัญของประชาชนมาก ทางการจึงทำคดีนี้ให้ถึงที่สุด
นักจิตวิทยาได้ปลอมตัวเป็นนักโทษ เที่ยวเข้าไปพูดคุยกับสมัย สร้างความสนิทสนมด้วย จนสมัยสนิทใจ รู้สึกปลอดภัยไว้ใจ จึงยอมเล่าทุกอย่างให้ฟัง หารู้ไม่ว่าเพื่อนนักโทษที่ตนเองกำลังปรับทุกข์อยู่ เป็นนักจิตวิทยาปลอมตัวมา
สมัยเกิดในครอบครัวที่ยากจน ไม่มีพ่อ! เพราะแม่ของเขาทำงานที่ซ่อง มีพี่น้องทั้งหมดห้าคน สมัยเป็นคนที่สาม และ ทั้งห้าคนไม่มีพ่อสักคน เพราะแม่ทำงานขายบริการ พอท้องก็กลับมาอยู่บ้าน นำลูกให้แม่เลี้ยงแทน จากนั้นก็กลับไปขายบริการต่อ
สมัยอยู่กับยายแก่ ๆ คนหนึ่ง แม่ก็ไม่เคยส่งเงินมาดูดายเลย ปล่อยให้อยู่กับยายตามมีตามเกิด อยู่มาวันหนึ่งสมัยพยายามจะลวนลามน้องสาวคนรองซึ่งมีอายุเพียงห้าขวบ และเขามีอายุเพียงเก้าขวบ จากนั้นโดนยายทำโทษ ตีสมัยไม่ยั้งมือ ทำให้สมัยต้องหนีตายออกจากบ้านไป
เขาบอกกับนักจิตวิทยาว่า ไม่ได้ตั้งใจลวนลามน้องสาว แค่เห็นผู้ชายทำกับแม่ของเขาช่วงที่แม่กลับมาอยู่บ้าน ก็เลยนึกอยากจะทำอย่างนั้นบ้าง พอหนียายออกจากบ้านเขาก็เร่ร่อนไปตามถนน ไม่มีญาติ ไม่มีที่ซุกหัวนอน
ยายก็ไม่ตามหาเพราะเป็นครอบครัวที่ไม่ใส่ใจกันเท่าไหร่ อยู่ตามมีตามเกิด บวกกับยายคงจะโกรธเขาด้วย ที่เขาทำกับน้องสาวแบบนั้น จึงไม่คิดตามเขากลับบ้าน
เขานอนใต้สะพานลอย หาคุ้ยเศษกับข้าวในขยะกิน ทันใดนั้นก็มีผู้ชายวัยกลางคน ๆ หนึ่งเดินเข้ามาหาเขา หน้าตาดี ดูเป็นคนใจดี แต่งตัวดีชวนให้เขาไปอยู่ด้วย เพราะความเป็นเด็กบวกกับความหิวโซลำบากในตอนนี้ จึงยอมเชื่อใจและยอมไปกับคนแปลกหน้า
สมัยไปอยู่กับชายสูงอายุแปลกหน้าคนนั้นได้เพียงเดือนครึ่ง ก็ต้องหอบสังขารพร้อมความหวาดกลัวกลับมาหายายที่บ้าน เพราะว่าชายสูงวัยแปลกหน้าคนนั้น ข่มขืนสมัยทางทวาร ข่มขืนอยู่นานร่วมเดือน สมัยทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงแอบหนีออกจากบ้านของชายสูงอายุคนนั้นกลับมาหายายที่บ้าน
เพราะความจนอยู่ตามมีตามเกิดของครอบครัว ทำให้สมัยไม่เรียนหนังสือ ไม่มีเงินบวกกับขี้เกียจด้วย สมัยใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวง สมัยเริ่มหวาดกลัวคนแปลกหน้า กลัว! กลัวที่แคบ มุมอับ มุมมืด เก็บตัว ไม่คุยกับใครเลย แต่ สมัยมีความรู้สึกอย่างหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ นั่นก็คือ สมัยมองเห็นเด็กผู้หญิงมันช่างสวยงามเหลือเกิน
ตั้งแต่กลับมาที่บ้านอยู่กับยาย สมัยมีความรู้สึกว่าเด็กผู้หญิงช่างสวยงามมาก น้องสาวของสมัยเองก็สวย แต่เพราะความยังเป็นเด็ก สมัยมีอายุเพียงเก้าขวบจึงได้แค่มองความสวยนั้นไปวัน ๆ มีบางอย่างเกิดขึ้นในใจ
พอเขาโตขึ้นมีอายุได้สิบห้าปี เขาก็ออกจากบ้านไปอีก เร่ร่อนไปเรื่อย ทีแรกเขากะว่าจะออกมาอยู่คนเดียว หางานทำ แต่เพราะไม่มีวุฒิการศึกษาอะไรเลย อ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้จึงทำให้ไม่มีใครรับเข้าทำงาน แม้กระทั่งโรงงาน ทำงานในตลาดสดก็มีเรื่องกับเจ้าถิ่น ทำให้อยู่ได้ไม่นานก็ต้องหนีไปจากตรงนั้น
ความเหนื่อย ความหิวโซ ทำให้สมัยต้องคุ้ยขยะข้างทางกินอีกครั้ง นอนตามศาลาข้างทาง เดินทางไปเรื่อย แต่งตัวมอมแมม ผู้คนมองว่าสมัยเป็นคนบ้า แต่สติสัมปชัญญะของสมัยมีครบทุกประการ พอเข้าสู่วงการคุ้ยขยะก็ต้องถูกคนเร่ร่อนเจ้าถิ่นไล่ตะเพิด ต้องเร่ร่อนไปอีก
ทว่าระหว่างนั้นดอกไม้ในใจกลับผุดขึ้น ความรู้สึกหิวกระหายชัดเจนขึ้นมาในใจ ความหวาดกลัวเมื่อคราวถูกคนแปลกหน้าข่มขืน ความอยากแก้แค้นผุดขึ้นมาให้รู้สึก มองเห็นเด็กผู้หญิงสวยงาม เขาจะต้องแก้แค้น แก้แค้นให้สาสมกับสิ่งที่เขาโดนกระทำ
เขาเดินเร่ร่อนไปทั่วประเทศ เลือกสถานที่หมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญ เพื่อตำรวจหรือเจ้าหน้าที่จะได้ตามตัวได้ยาก รายแรกของเขาคือเด็กผู้หญิงอายุแปดขวบ อยู่ที่ภาคใต้
เขาเดินเร่ร่อนไปเรื่อย ๆ เจอเด็กผู้หญิงเล่นกันอยู่กับเพื่อนสองคน ในใจเขาคิดว่าจะจัดการกับเด็กทั้งสองคน ทว่าจัดการได้คนเดียว เขาหลอกล่อเด็กคนหนึ่งให้ออกมาจากเพื่อน โดยใช้ขนมเป็นตัวล่อ
เขาพาเด็กผู้หญิงเดินไปที่เปลี่ยว ๆ ก่อนจะลงมือจัดการเหยื่อ เขาข่มขืนตอนเหยื่อเสียชีวิตแล้ว เพราะหากข่มขืนตอนยังไม่ตายเด็กจะร้อง เขาใช้มือบีบรัดคอเด็กให้ขาดอากาศหายใจ ใช้เวลาถึงสิบกว่านาที กว่าเด็กจะขาดใจตาย ก่อนจะลงมือข่มขืนเป็นลำดับถัดไป จากนั้นก็ขุดหลุมฝังศพ กลับมาอีกทีเด็กอีกคนหายไปแล้ว เขาจึงรีบเผ่นหนีจากที่นี่ไป เดินมาเรื่อย ๆ จุดหมายคือภาคอีสาน
สมัยได้ฆ่าข่มขืนเด็กแล้ว สมัยรู้สึกสบายใจ หายโกรธแค้น มีความสุข ยิ่งได้เห็นแววตาที่พร่าเลือนของเหยื่อ ช่วงที่กำลังจะหมดลมหายใจ มองหน้าเขา ๆ ยิ่งมีความสุข ช่างเป็นแววตาที่น่ามองเสียจริง ๆ เขาลงมือข่มขืนและฆ่าเด็กคนแรกตอนอายุสิบห้าปี
ทำมาเรื่อย ๆ เขาเดินทางไปทั่วประเทศ และ ทำแบบเดียวกัน ฆ่าข่มขืนเด็กผู้หญิง เขาจะเลือกเหยื่อที่เป็นผู้หญิงเท่านั้น เขาจะทำทุกครั้งเมื่อความกลัวผุดขึ้นมาในใจ ความหวาดระแวง ความแค้นเกิดขึ้นมาในใจ แค้นที่ตนเองโดนกระทำชำเราเมื่อคราวมีอายุเก้าขวบ เขาจึงปลดปล่อยความแค้นโดยการหาเหยื่อเด็กผู้หญิง เพื่อระบายความแค้นนั่น
นักจิตวิทยาเล่าให้ตำรวจหนุ่มคนนั้นฟัง คนที่รับทำคดีนี้อยู่ สมัยข่มขืนฆ่ามาทั้งหมดหกสิบหกศพทั่วประเทศ ล้วนเป็นเด็กที่มีอายุตั้งแต่แปดขวบถึงสิบสองขวบ และ ทุกคนเป็นเด็กผู้หญิงทั้งหมด
“ไอ้สารเลว” นายตำรวจหนุ่มพร่ามอย่างเดือดดาล กำมือแน่นด้วยความแค้นใจแทนพ่อแม่เหยื่อ “โรคจิต” เขาสบถ
“แต่เขาน่าสงสารนะครับ ที่เขาต้องเป็นแบบนี้เพราะอะไร สถาบันครอบครัวเป็นส่วนสำคัญมาก ๆ เลยนะครับ สำหรับเคสนี้” นักจิตวิทยากล่าว “แม่เป็นโสเภณี ลูกห้าคนล้วนไม่มีพ่อสักคน ต่างพ่อกันทุกคน อยู่กับยายที่แก่ ๆ ครอบครัวยากจน” นักจิตวิทยานั่งคุยกับตำรวจหนุ่ม
“ความจน ความลำบาก ความไม่สมบูรณ์แบบไม่ได้เป็นตัวชี้วัดให้คนทำชั่วนะครับ” นายตำรวจยังพร่ำต่อ พูดจากความรู้สึกส่วนตัวล้วน ๆ เพราะตนเองนั้นก็มีลูกสาว เข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อแม่ของเหยื่อดี
“แต่เขามีปมในใจครับ ปมที่เกิดจากการโดนข่มขืนทางทวารเป็นเวลานานนับเดือน จากคนแปลกหน้า ทำให้เขาหวาดกลัวและเกิดความแค้น เขาจึงแก้แค้นความหวาดกลัวในใจ โดยการทำกับเด็ก ซึ่งเป็นเด็กผู้หญิง ที่มีอายุไล่เลี่ยกันกับเขาในสมัยนั้นเลย” นักจิตวิทยากล่าว
“แต่มันก็ไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้กับลูกคนอื่น” นายตำรวจหนุ่มพูด นักจิตวิทยาปรายตามอง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร “ผมอยากให้มันโดนประหารชีวิตจริง ๆ พวกเดนมนุษย์”
สมัยถูกศาลตัดสินให้จองจำในเรือนจำตลอดชีวิต เพราะกฎหมายในประเทศไม่มีโดนประหารชีวิตมานานแล้ว ชาวบ้าน พ่อแม่ญาติพี่น้องของเหยื่อต่างโกรธแค้น แช่งชักหักกระดูกสมัยทุกวัน แต่แล้วด้วยวันสำคัญต่าง ๆ สมัยก็ถูกลดโทษลงมาเรื่อย ๆ จนในที่สุดสมัยก็ได้ออกจากเรือนจำในวัยห้าสิบปลาย เขาถูกจับตอนอายุสามสิบห้าปี
เขาพูดว่าเขาจะกลับตัวกลับใจเป็นคนดี จะไม่ทำอีกแล้ว ปัจจุบันสมัยหายตัวไปย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครพบเจอตัวเขาอีก ข่าวเด็กหายหรือถูกฆ่าข่มขืนก็ไม่เกิดขึ้นอีก น้องสาวต่างพ่อของเขาออกตามหา เพียงอยากรู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ไหม กลับไม่พบร่องรอยของเขาเลย ไม่มีใครพบเห็น สันนิษฐานว่า ‘เขาอาจถูกฆ่าตายโดยญาติของเหยื่อที่เขาฆ่าไปแล้ว’
กรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมคืนสนอง…
จบ…