เสียชีวิตโควิดวันนี้ 32 ราย เอทีเคอีก 264 ราย ป่วยใหม่ 2,476 ราย
https://www.matichon.co.th/covid19/thai-covid19/news_3096525
เสียชีวิตโควิดวันนี้ 32 ราย เอทีเคอีก 264 ราย ป่วยใหม่ 2,476 ราย
เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ประจำวัน ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รวม 2,476 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวังฯ 2,358 ราย ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุก 41 ราย ผู้ป่วยภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 47 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 30 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,167,666 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) หายป่วยกลับบ้าน 3,649 ราย หายป่วยสะสม 2,108,771 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้ป่วยกำลังรักษา 38,892 ราย เสียชีวิต 32 ราย
ขณะที่ผู้ติดเชื้อเข้าข่ายจากผลแอนติเจน เทสต์ คิท (เอทีเค) อีก 264 ราย อาการหนักใช้ท่อช่วยหายใจ 237 ราย อาการหนัก 880 ราย
ระบาดไว! CDC เผยพบโอไมครอนในผู้ป่วยรายใหม่ 73% ทั่วสหรัฐ
https://www.matichon.co.th/foreign/news_3096500
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา (ซีดีซี) ระบุว่า ขณะนี้ไวรัสโควิดกลายพันธุ์โอไมครอนได้กลายเป็นไวรัสกลายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดในประเทศ โดยพบในผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นสัดส่วนถึงกว่า 73% ของผู้ติดเชื้อที่พบในสหรัฐ
ตัวเลขดังกล่าวนับจนถึงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาหรือวันที่ 18 ธันวาคม โดยจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดกลายพันธุ์โอไมครอนในสหรัฐอยู่ที่ 73.2% ของจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อกลายพันธุ์เดลต้าเพิ่มขึ้นเพียง 26.6%
เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าหรือวันที่ 11 ธันวาคม ผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นโอไมครอนเพียงราว 12.6% ขณะที่เดลต้าอยู่ที่ 87% และในช่วงเวลาเดียวกัน ซีดีซีประเมินก่อนหน้านี้ว่าผู้ติดเชื้อโอไมครอนอยู่ที่เพียง 3% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อที่แท้จริงเกือบ 10%
ข้อมูลของซีดีซียังชี้ให้เห็นว่าโควิดกลายพันธุ์โอไมครอนยังพบได้อย่างแพร่หลายในบางพื้นที่ของประเทศสหรัฐ โดยคิดเป็นสัดส่วนถึง 95% ในพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือและตะวันออกเฉียงใต้
ท่ามกลางการแพร่ระบาดไปทั่วประเทศของโควิดกลายพันธุ์โอไมครอนขณะที่เทศกาลวันหยุดปีใหม่กำลังจะมาถึง ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสาธารณสุขได้ออกมาร้องขอให้ชาวอเมริกันเข้ารับวัคซีนรวมถึงวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อป้องกันตนเองและผู้อื่น เนื่องจากโอกาสในการติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
จากข้อมูลตัวเลขของหน่วยงานกำกับดูแลความปลอดภัยด้านการขนส่งมวลชนของสหรัฐชี้ว่า ปริมาณการเดินทางทางอากาศก่อนหน้าเทศกาลคริสต์มาสเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าเมื่อเทียบกับหนึ่งปีก่อนหน้า โดยมีผู้ใช้บริการมากกว่า 2 ล้านคนต่อวันในช่วงวันที่ 16-18 ธันวาคมที่ผ่านมา เช่นเดียวกับการรวมตัวกันเพื่อพบปะในกลุ่มเพื่อนฝูงและคนในครอบครัวซึ่งย่อมส่งผลกระทบให้ความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพิ่มสูงขึ้นด้วย
องค์การอนามัยโลก ร้องขอเลิกเที่ยวปีใหม่ หลังโอมิครอน ระบาดหนัก-ลามทั่วโลก
https://www.khaosod.co.th/covid-19/news_6793418
องค์การอนามัยโลก ร้องขอเลิกเที่ยวปีใหม่ หลังโอมิครอนระบาดหนัก ลามทั่วโลก หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ ชี้ไม่ฉลาด หากรีบสรุปว่าไวรัสไม่รุนแรง
วันที่ 21 ธ.ค.64 องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกมาร้องขอให้ผู้คนยกเลิกแผนการในช่วงวันหยุดยาวปีใหม่บางอย่าง เพื่อปกป้องระบบสาธารณสุข หลังจากที่ไวรัสโควิดกลายพันธุ์โอมิครอนแพร่ระบาดไปทั่วโลกในขณะนี้
นาย
ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก กล่าวว่า การยกเลิกการจัดงานดีกว่าการเสียชีวิต พร้อมทั้งระบุว่าจำเป็นต้องมีการตัดสินใจที่ยากลำบากในบางกรณี ซึ่งอาจหมายถึงการยกเลิกหรือเลื่อนการจัดงานออกไปก่อน
กีบรีเยซุส กล่าวว่า ขณะนี้มีหลักฐานที่บ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่าโอมิครอนกำลังแพร่ระบาดไปด้วยความรวดเร็วอย่างมีนัยสำคัญมากกว่าไวรัสโควิดกลายพันธุ์เดลต้า
“พวกเราทุกคนรู้สึกรำคาญใจกับการแพร่ระบาด เราทุกคนต้องการใช้เวลาร่วมกับเพื่อนและครอบครัว เราทุกคนต้องการกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ แต่วิธีที่เร็วที่สุดที่จะทำอย่างนั้นได้คือต้องมีการตัดสินใจที่ยากลำบากเพื่อปกป้องตัวเราและคนอื่นๆ มันจะดีกว่าถ้าเรายกเลิกในขณะนี้และไปเฉลิมฉลองในเวลาให้หลัง มากกว่าที่จะเฉลิมฉลองในขณะนี้แล้วค่อยไปเสียใจทีหลัง” นายกีบรีเยซุสกล่าว
ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกกล่าวด้วยว่า ประเทศจีนซึ่งพบโควิด-19 เป็นที่แรกของโลกเมื่อปี 2019 จะต้องแบ่งปันข้อมูลต่างๆ ที่มีเกี่ยวกับโควิด-19 เพราะเราจำเป็นจะต้องสืบค้นต่อไปจนกว่าเราจะรู้ถึงต้นตอของมัน และเราต้องเรียนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพื่อที่จะทำให้ดีขึ้นในอนาคต
ด้าน ดร.
สมยา สวามินาธาน หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ขององค์การอนามัยโลก กล่าวว่า ไม่ฉลาดเลยถ้าเราจะเร่งสรุปจากข้อมูลเบื้องต้นว่าโอมิครอนเป็นไวรัสที่ไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับตัวก่อนหน้า พร้อมกับเตือนว่าเมื่อตัวเลขผู้ป่วยพุ่งสูงขึ้นระบบสาธารณสุขทั้งหมดก็จะต้องตกอยู่ในภาวะตึงมือ
JJNY : เสียชีวิต32 ป่วยใหม่ 2,476│CDCเผยพบโอไมครอนป่วยใหม่73%ทั่วสหรัฐ│WHOร้องขอเลิกเที่ยวปีใหม่│‘ฟางอัดก้อน‘ ราคาพุ่ง
https://www.matichon.co.th/covid19/thai-covid19/news_3096525
เสียชีวิตโควิดวันนี้ 32 ราย เอทีเคอีก 264 ราย ป่วยใหม่ 2,476 ราย
เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ประจำวัน ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รวม 2,476 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวังฯ 2,358 ราย ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุก 41 ราย ผู้ป่วยภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 47 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 30 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,167,666 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) หายป่วยกลับบ้าน 3,649 ราย หายป่วยสะสม 2,108,771 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้ป่วยกำลังรักษา 38,892 ราย เสียชีวิต 32 ราย
ขณะที่ผู้ติดเชื้อเข้าข่ายจากผลแอนติเจน เทสต์ คิท (เอทีเค) อีก 264 ราย อาการหนักใช้ท่อช่วยหายใจ 237 ราย อาการหนัก 880 ราย
ระบาดไว! CDC เผยพบโอไมครอนในผู้ป่วยรายใหม่ 73% ทั่วสหรัฐ
https://www.matichon.co.th/foreign/news_3096500
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา (ซีดีซี) ระบุว่า ขณะนี้ไวรัสโควิดกลายพันธุ์โอไมครอนได้กลายเป็นไวรัสกลายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดในประเทศ โดยพบในผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นสัดส่วนถึงกว่า 73% ของผู้ติดเชื้อที่พบในสหรัฐ
ตัวเลขดังกล่าวนับจนถึงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาหรือวันที่ 18 ธันวาคม โดยจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดกลายพันธุ์โอไมครอนในสหรัฐอยู่ที่ 73.2% ของจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อกลายพันธุ์เดลต้าเพิ่มขึ้นเพียง 26.6%
เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าหรือวันที่ 11 ธันวาคม ผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นโอไมครอนเพียงราว 12.6% ขณะที่เดลต้าอยู่ที่ 87% และในช่วงเวลาเดียวกัน ซีดีซีประเมินก่อนหน้านี้ว่าผู้ติดเชื้อโอไมครอนอยู่ที่เพียง 3% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อที่แท้จริงเกือบ 10%
ข้อมูลของซีดีซียังชี้ให้เห็นว่าโควิดกลายพันธุ์โอไมครอนยังพบได้อย่างแพร่หลายในบางพื้นที่ของประเทศสหรัฐ โดยคิดเป็นสัดส่วนถึง 95% ในพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือและตะวันออกเฉียงใต้
ท่ามกลางการแพร่ระบาดไปทั่วประเทศของโควิดกลายพันธุ์โอไมครอนขณะที่เทศกาลวันหยุดปีใหม่กำลังจะมาถึง ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสาธารณสุขได้ออกมาร้องขอให้ชาวอเมริกันเข้ารับวัคซีนรวมถึงวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อป้องกันตนเองและผู้อื่น เนื่องจากโอกาสในการติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
จากข้อมูลตัวเลขของหน่วยงานกำกับดูแลความปลอดภัยด้านการขนส่งมวลชนของสหรัฐชี้ว่า ปริมาณการเดินทางทางอากาศก่อนหน้าเทศกาลคริสต์มาสเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าเมื่อเทียบกับหนึ่งปีก่อนหน้า โดยมีผู้ใช้บริการมากกว่า 2 ล้านคนต่อวันในช่วงวันที่ 16-18 ธันวาคมที่ผ่านมา เช่นเดียวกับการรวมตัวกันเพื่อพบปะในกลุ่มเพื่อนฝูงและคนในครอบครัวซึ่งย่อมส่งผลกระทบให้ความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพิ่มสูงขึ้นด้วย
องค์การอนามัยโลก ร้องขอเลิกเที่ยวปีใหม่ หลังโอมิครอน ระบาดหนัก-ลามทั่วโลก
https://www.khaosod.co.th/covid-19/news_6793418
องค์การอนามัยโลก ร้องขอเลิกเที่ยวปีใหม่ หลังโอมิครอนระบาดหนัก ลามทั่วโลก หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ ชี้ไม่ฉลาด หากรีบสรุปว่าไวรัสไม่รุนแรง
วันที่ 21 ธ.ค.64 องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกมาร้องขอให้ผู้คนยกเลิกแผนการในช่วงวันหยุดยาวปีใหม่บางอย่าง เพื่อปกป้องระบบสาธารณสุข หลังจากที่ไวรัสโควิดกลายพันธุ์โอมิครอนแพร่ระบาดไปทั่วโลกในขณะนี้
นายทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก กล่าวว่า การยกเลิกการจัดงานดีกว่าการเสียชีวิต พร้อมทั้งระบุว่าจำเป็นต้องมีการตัดสินใจที่ยากลำบากในบางกรณี ซึ่งอาจหมายถึงการยกเลิกหรือเลื่อนการจัดงานออกไปก่อน
กีบรีเยซุส กล่าวว่า ขณะนี้มีหลักฐานที่บ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่าโอมิครอนกำลังแพร่ระบาดไปด้วยความรวดเร็วอย่างมีนัยสำคัญมากกว่าไวรัสโควิดกลายพันธุ์เดลต้า
“พวกเราทุกคนรู้สึกรำคาญใจกับการแพร่ระบาด เราทุกคนต้องการใช้เวลาร่วมกับเพื่อนและครอบครัว เราทุกคนต้องการกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ แต่วิธีที่เร็วที่สุดที่จะทำอย่างนั้นได้คือต้องมีการตัดสินใจที่ยากลำบากเพื่อปกป้องตัวเราและคนอื่นๆ มันจะดีกว่าถ้าเรายกเลิกในขณะนี้และไปเฉลิมฉลองในเวลาให้หลัง มากกว่าที่จะเฉลิมฉลองในขณะนี้แล้วค่อยไปเสียใจทีหลัง” นายกีบรีเยซุสกล่าว
ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกกล่าวด้วยว่า ประเทศจีนซึ่งพบโควิด-19 เป็นที่แรกของโลกเมื่อปี 2019 จะต้องแบ่งปันข้อมูลต่างๆ ที่มีเกี่ยวกับโควิด-19 เพราะเราจำเป็นจะต้องสืบค้นต่อไปจนกว่าเราจะรู้ถึงต้นตอของมัน และเราต้องเรียนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพื่อที่จะทำให้ดีขึ้นในอนาคต
ด้าน ดร.สมยา สวามินาธาน หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ขององค์การอนามัยโลก กล่าวว่า ไม่ฉลาดเลยถ้าเราจะเร่งสรุปจากข้อมูลเบื้องต้นว่าโอมิครอนเป็นไวรัสที่ไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับตัวก่อนหน้า พร้อมกับเตือนว่าเมื่อตัวเลขผู้ป่วยพุ่งสูงขึ้นระบบสาธารณสุขทั้งหมดก็จะต้องตกอยู่ในภาวะตึงมือ