ในเมื่อการขายหุ้นไม่เหมือนการขายก๋วยเตี๋ยว การขายลูกชิ้นปิ้ง หรือการขายประกัน
ยิ่งขายมากยิ่งได้มาก...
เพราะการขายหุ้นในแต่ละครั้ง อาจมีเหตุผลที่แตกต่างกันไป
..ขายเพราะต้องการเอาไปใช้หนี้
..ขายเพราะต้องการปรับพอร์ต
..ขายหนีตาย (ขืนอยู่ยาวต่อไปอาจกลายเป็น 0.1)
ดังนั้นการเก็บภาษีหุ้นเพิ่มจากการขาย อาจเป็นการซ้ำเติมรายย่อยได้
การเก็บภาษีเพิ่ม 0.1% ตั้งแต่ล้านบาทขึ้นไปไม่ได้มากถ้าเป็นการขายที่ได้กำไร
..แต่จะแยกแยะได้ไหม ใครขายเพราะเหตุใด
และถ้าอยากให้นักลงทุน เป็นนักลงทุนในอุดมคติ คือเอาเงินเข้ามาเก็บ เน้นแต่การซื้อไม่เน้นขาย
..ก็ปิดตลาดหุ้นไปซะ ให้เหลือแต่กองทุน พันธบัตร ตราสารหนี้...
หน้าที่ของรัฐอย่างหนึ่งคือการเก็บภาษีเพื่อมาใช้จ่าย..ก็เข้าใจ
แต่การเก็บภาษีที่ถูกต้องคือเก็บจากรายได้ ไม่ใช่เก็บจากต้นทุน
ของเดิมก็มีอยู่แล้ว ซื้อก็จ่าย ขายก็จ่าย(fee+vat)
...แล้วทำไมต้องจ่ายเพิ่มตอนขายอีกครั้ง?
ทำไมถึงต้องมีการเก็บภาษีเพิ่มจากการขายหุ้น?
ยิ่งขายมากยิ่งได้มาก...
เพราะการขายหุ้นในแต่ละครั้ง อาจมีเหตุผลที่แตกต่างกันไป
..ขายเพราะต้องการเอาไปใช้หนี้
..ขายเพราะต้องการปรับพอร์ต
..ขายหนีตาย (ขืนอยู่ยาวต่อไปอาจกลายเป็น 0.1)
ดังนั้นการเก็บภาษีหุ้นเพิ่มจากการขาย อาจเป็นการซ้ำเติมรายย่อยได้
การเก็บภาษีเพิ่ม 0.1% ตั้งแต่ล้านบาทขึ้นไปไม่ได้มากถ้าเป็นการขายที่ได้กำไร
..แต่จะแยกแยะได้ไหม ใครขายเพราะเหตุใด
และถ้าอยากให้นักลงทุน เป็นนักลงทุนในอุดมคติ คือเอาเงินเข้ามาเก็บ เน้นแต่การซื้อไม่เน้นขาย
..ก็ปิดตลาดหุ้นไปซะ ให้เหลือแต่กองทุน พันธบัตร ตราสารหนี้...
หน้าที่ของรัฐอย่างหนึ่งคือการเก็บภาษีเพื่อมาใช้จ่าย..ก็เข้าใจ
แต่การเก็บภาษีที่ถูกต้องคือเก็บจากรายได้ ไม่ใช่เก็บจากต้นทุน
ของเดิมก็มีอยู่แล้ว ซื้อก็จ่าย ขายก็จ่าย(fee+vat)
...แล้วทำไมต้องจ่ายเพิ่มตอนขายอีกครั้ง?