สวัสดีค่ะ วันนี้เราอยากจะแชร์ประสบการณ์การทำงานพาร์ทไทม์ของเรา และอยากขอคำชี้แนะต่องานที่เรากำลังทำพาร์ทไทม์อยู่ในตอนนี้
ที่แรกที่เราทำ เราทำงานเซเว่น ช่วงปิดเทอมก่อนเข้ามหาลัย ตอนนั้นเราทำแบบ พาร์ทไทม์เต็มเวลา ไม่ใช่พนักงานประจำ แต่มีเข้ากะบ่าย กะดึก ตอนนั้นมันก็เหนื่อย แต่มันไม่ใช่เหนื่อยแบบเหนื่อยล้าอะ เราขอบอกก่อนว่าเราเคยประสบอุบัติเหตุตกจากที่สูง กระดูกสันหลังหัก 1 ซี่ และกระดูกเชิงการหัก ต้องนอนรักษาตัวอยู่ประมาณ 5-6 เดือน พอมาทำงานที่ต้องใช้แรงยกของ หรืองานหนักๆ เราจะรู้สึกปวดหลังมากๆ แต่ตอนเราทำเซเว่นมันยังมีให้เราสามารถนั่งได้บ่อยๆ อาจจะเป็นการจัดเชลล์ เติมของ นั่งยองๆ นั่งพื้นได้ ได้นั่งบ่อยอาการปวดหลังเลยไม่ได้เป็นมาก
งานเซเว่น งานที่ต้องทำจะเรียกว่าทุกอย่างที่มีในร้านคือต้องทำเป็นทั้งหมด แคชเชียร์ จัดของ เติมของ กวาด เช็ด ถู ล้าง เซเว่นที่เราทำมี All cafe ด้วย ก็ต้องทำเครื่องดื่มเป็น เราทำอยู่ประมาณ 1เดือนกว่าๆ ได้เงินเดือนรวมทั้งสิ้นประมาณ 9,000นิดๆ ตอนนั้นสาเหตุที่ขอออกก็เพราะมีเรื่องโควิดเข้ามาระบาดหนักแถวนั้น ทางบ้านเป็นห่วงเลยขอให้ออก เพราะงานเซเว่นก็เสี่ยงเจอคนเยอะ มือก็สัมผัสกับหลายๆอย่าง
ต่อมาที่ๆ 2 อันนี้เราทำตอนช่วงเทอมสุดท้าย ปีสุดท้ายที่เรากำลังเรียน ปวส.2 อยู่ อันนี้เราทำเป็นร้านขนมหวาน ลักษณะงานก็คล้ายๆเซเว่น เป็นงานบริการเหมือนกัน และต้องทำเป็นทุกอย่าง แต่เหมือนจะไปเน้นตรงทำขนมมากกว่า วันแรกที่เราเริ่มงาน วันนั้นลูกค้ายังไม่เยอะมาก เราเลยไม่ได้รู้สึกกดดันอะไร แต่พอมาวันที่ 2 ลูกค้าเริ่มเยอะขึ้น แต่งานที่พี่เขาสอนเราทำตอนนั้นก็แค่เสิร์ฟอุปกรณ์เมื่อลูกค้าเลือกทานในร้าน เก็บโต๊ะ ล้างจาน เก็บร้าน แล้วก็อธิบายโดยรวมของเมนูที่ร้าน เรายังไม่ลงแคชเชียร์ และทำขนม บอกตรงๆว่ามันแอบกดดันตัวเองนิดนึง เพราะเหมือนพนักงานในร้านแต่ละกะก็จะมีอยู่ประมาณ 3 คน พอคนเริ่มเยอะงานมันก็จะเริ่มวุ่นขึ้น แต่ก็ใช่ว่าเราจะอยู่เฉย เราก็จะพยายามหาอะไรทำสักอย่างให้จนได้ เพราะใจก็ไม่อยากโดนพี่เขาดุที่ว่ามาทำงน แต่ยืนอยู่เฉยๆ
เราลืมบอกว่างานที่ 2 เราทำตั้งแต่ 5โมงเย็นถึง4ทุ่มครึ่ง วันที่ 2 คือเราเหนื่อยและล้ามาก ปวดเท้า ปวดหลัง เราไม่รู้ว่าเป็นเพราะเราไม่ค่อยออกกำลังกาย หรือเพราะอุบัติเหตุที่เคยเจอมา พอเราปวดหลังมากๆ เราก็เริ่มเคลื่อนไหวช้า แล้วพอเคลื่อนไหวช้า มันก็ทำอะไรได้ช้า แต่เราก็พยายามที่จะทำให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ถ้าจะถามว่าตอนเราสมัครงานเราไม่ได้บอกพี่ที่ร้านหรอว่าเรามีอาการแบบนี้ อาจเป็นการตัดสินใจที่ผิดของเราก็ได้ เพราะเรากลัวว่าถ้าบอกไปอาจจะไม่ได้งาน หรืออาจจะดูเป็นภาระหนักกว่าเดิม ที่ทำอะไรหนักๆมากไม่ได้ ตอนแรกเราก็ทำใจไว้แล้ว และก็คิดแค่ว่าเราทนได้ แต่งานที่ 2 นี้ เราไม่สามารถหาเรื่องนั่งทำงานบ่อยๆได้เหมือนตอนเซเว่น เพราะงานนี้ต้องยืน เดิน ตลอดเวลา จะพักนั่งได้ก็แค่ตอนไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งก็ได้แค่แปบเดียว และไม่บ่อยนัก ถ้าถามอีกว่าแล้ว/ม่มีเวลาเบรกให้หรอ อันนี้เราไม่แน่ใจ เพราะเราเข้างานก็ช่วงเย็นเกือบค่ำแล้ว ทำงานต่อวันช่วงจันทร์ ถึง ศุกร์ก็ประมาณ 5 ชม. ช่วงเสาร์ อาทิตย์ก็จะเป็นแบบวนกะ วันละ 8-9ชม.
สิ่งที่เราประสบตอนนี้คงเป็นเรื่องร่างกาย เราเหนื่อยล้า ปวดทั้งตัวขนาดที่พอล้มตัวนอนพอจะลุกมากลางดึกก็คือใช้เวลาสักพักเลย มันเหมือนปวดไปทั้งตัว แต่พอนอนแล้วตื่นเช้ามาอาการก็ดีขึ้น แต่ใจก็กลัวว่าถ้าเป็นแบบนี้ไปนานๆเข้ามันจะมีผลกระทบอะไรในอนาคตมั้ย แต่ถ้าจะออกเราก็คิดว่าเรายังทำไม่ถึงเดือนเลย คนที่บ้านก็บอกว่าเอาสุขภาพก่อนถ้าไหวก็ไปต่อ ถ้าไม่ไหวก็ออก แต่เหมือนคงคิดไปเองไม่อยากโดนใครมาพูดว่างานแค่นี้ยังทนไม่ได้เลยจะไปทำไรได้ ทำแค่นี้ไม่ถึงเป็นประสบการณ์หรอก เราควรจัดการกับตัวเอง หรือความคิดของเรายังไงดี
งานพาร์ทไทม์งานนี้ ควรไปต่อหรือพักก่อนดี!?
ที่แรกที่เราทำ เราทำงานเซเว่น ช่วงปิดเทอมก่อนเข้ามหาลัย ตอนนั้นเราทำแบบ พาร์ทไทม์เต็มเวลา ไม่ใช่พนักงานประจำ แต่มีเข้ากะบ่าย กะดึก ตอนนั้นมันก็เหนื่อย แต่มันไม่ใช่เหนื่อยแบบเหนื่อยล้าอะ เราขอบอกก่อนว่าเราเคยประสบอุบัติเหตุตกจากที่สูง กระดูกสันหลังหัก 1 ซี่ และกระดูกเชิงการหัก ต้องนอนรักษาตัวอยู่ประมาณ 5-6 เดือน พอมาทำงานที่ต้องใช้แรงยกของ หรืองานหนักๆ เราจะรู้สึกปวดหลังมากๆ แต่ตอนเราทำเซเว่นมันยังมีให้เราสามารถนั่งได้บ่อยๆ อาจจะเป็นการจัดเชลล์ เติมของ นั่งยองๆ นั่งพื้นได้ ได้นั่งบ่อยอาการปวดหลังเลยไม่ได้เป็นมาก
งานเซเว่น งานที่ต้องทำจะเรียกว่าทุกอย่างที่มีในร้านคือต้องทำเป็นทั้งหมด แคชเชียร์ จัดของ เติมของ กวาด เช็ด ถู ล้าง เซเว่นที่เราทำมี All cafe ด้วย ก็ต้องทำเครื่องดื่มเป็น เราทำอยู่ประมาณ 1เดือนกว่าๆ ได้เงินเดือนรวมทั้งสิ้นประมาณ 9,000นิดๆ ตอนนั้นสาเหตุที่ขอออกก็เพราะมีเรื่องโควิดเข้ามาระบาดหนักแถวนั้น ทางบ้านเป็นห่วงเลยขอให้ออก เพราะงานเซเว่นก็เสี่ยงเจอคนเยอะ มือก็สัมผัสกับหลายๆอย่าง
ต่อมาที่ๆ 2 อันนี้เราทำตอนช่วงเทอมสุดท้าย ปีสุดท้ายที่เรากำลังเรียน ปวส.2 อยู่ อันนี้เราทำเป็นร้านขนมหวาน ลักษณะงานก็คล้ายๆเซเว่น เป็นงานบริการเหมือนกัน และต้องทำเป็นทุกอย่าง แต่เหมือนจะไปเน้นตรงทำขนมมากกว่า วันแรกที่เราเริ่มงาน วันนั้นลูกค้ายังไม่เยอะมาก เราเลยไม่ได้รู้สึกกดดันอะไร แต่พอมาวันที่ 2 ลูกค้าเริ่มเยอะขึ้น แต่งานที่พี่เขาสอนเราทำตอนนั้นก็แค่เสิร์ฟอุปกรณ์เมื่อลูกค้าเลือกทานในร้าน เก็บโต๊ะ ล้างจาน เก็บร้าน แล้วก็อธิบายโดยรวมของเมนูที่ร้าน เรายังไม่ลงแคชเชียร์ และทำขนม บอกตรงๆว่ามันแอบกดดันตัวเองนิดนึง เพราะเหมือนพนักงานในร้านแต่ละกะก็จะมีอยู่ประมาณ 3 คน พอคนเริ่มเยอะงานมันก็จะเริ่มวุ่นขึ้น แต่ก็ใช่ว่าเราจะอยู่เฉย เราก็จะพยายามหาอะไรทำสักอย่างให้จนได้ เพราะใจก็ไม่อยากโดนพี่เขาดุที่ว่ามาทำงน แต่ยืนอยู่เฉยๆ
เราลืมบอกว่างานที่ 2 เราทำตั้งแต่ 5โมงเย็นถึง4ทุ่มครึ่ง วันที่ 2 คือเราเหนื่อยและล้ามาก ปวดเท้า ปวดหลัง เราไม่รู้ว่าเป็นเพราะเราไม่ค่อยออกกำลังกาย หรือเพราะอุบัติเหตุที่เคยเจอมา พอเราปวดหลังมากๆ เราก็เริ่มเคลื่อนไหวช้า แล้วพอเคลื่อนไหวช้า มันก็ทำอะไรได้ช้า แต่เราก็พยายามที่จะทำให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ถ้าจะถามว่าตอนเราสมัครงานเราไม่ได้บอกพี่ที่ร้านหรอว่าเรามีอาการแบบนี้ อาจเป็นการตัดสินใจที่ผิดของเราก็ได้ เพราะเรากลัวว่าถ้าบอกไปอาจจะไม่ได้งาน หรืออาจจะดูเป็นภาระหนักกว่าเดิม ที่ทำอะไรหนักๆมากไม่ได้ ตอนแรกเราก็ทำใจไว้แล้ว และก็คิดแค่ว่าเราทนได้ แต่งานที่ 2 นี้ เราไม่สามารถหาเรื่องนั่งทำงานบ่อยๆได้เหมือนตอนเซเว่น เพราะงานนี้ต้องยืน เดิน ตลอดเวลา จะพักนั่งได้ก็แค่ตอนไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งก็ได้แค่แปบเดียว และไม่บ่อยนัก ถ้าถามอีกว่าแล้ว/ม่มีเวลาเบรกให้หรอ อันนี้เราไม่แน่ใจ เพราะเราเข้างานก็ช่วงเย็นเกือบค่ำแล้ว ทำงานต่อวันช่วงจันทร์ ถึง ศุกร์ก็ประมาณ 5 ชม. ช่วงเสาร์ อาทิตย์ก็จะเป็นแบบวนกะ วันละ 8-9ชม.
สิ่งที่เราประสบตอนนี้คงเป็นเรื่องร่างกาย เราเหนื่อยล้า ปวดทั้งตัวขนาดที่พอล้มตัวนอนพอจะลุกมากลางดึกก็คือใช้เวลาสักพักเลย มันเหมือนปวดไปทั้งตัว แต่พอนอนแล้วตื่นเช้ามาอาการก็ดีขึ้น แต่ใจก็กลัวว่าถ้าเป็นแบบนี้ไปนานๆเข้ามันจะมีผลกระทบอะไรในอนาคตมั้ย แต่ถ้าจะออกเราก็คิดว่าเรายังทำไม่ถึงเดือนเลย คนที่บ้านก็บอกว่าเอาสุขภาพก่อนถ้าไหวก็ไปต่อ ถ้าไม่ไหวก็ออก แต่เหมือนคงคิดไปเองไม่อยากโดนใครมาพูดว่างานแค่นี้ยังทนไม่ได้เลยจะไปทำไรได้ ทำแค่นี้ไม่ถึงเป็นประสบการณ์หรอก เราควรจัดการกับตัวเอง หรือความคิดของเรายังไงดี