เรื่องเล่าที่ 6 : วิ่ง : ระดับความหลอน 5 กะโหลก
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ขอแทนตัวผู้เล่าว่า มีม
เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนสมัยที่มีมกำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่ ด้วยความที่มีมเรียนอยู่ห้องกิฟต์ การทำโครงงานวิชาการของแต่ละวิชาจึงเป็นเรื่องปกติมากๆ
หลังได้รับคำสั่งจากคุณครูประจำวิชาฟิสิกส์ว่าให้ทำโครงงานฟิสิกส์มาส่งกลุ่มละหนึ่งโครงการ ซึ่งกลุ่มของมีมนั้นมีสมาชิกเพียงสามคน นั่นก็คือ มีม อ้อยใจ และเทล ซึ่งมีมเห็นว่าสัปดาห์หน้ามีวันหยุดที่ตรงกับวันศุกร์พอดี จึงได้นัดแนะกับอ้อยใจและเทลว่า จะไปนอนค้างที่บ้านของเทลในเย็นวันพฤหัสเพื่อทำโครงงานกันให้เสร็จ
แน่นอนว่าในช่วงวัยเด็กของทุกคน การได้ไปนอนค้างที่บ้านเพื่อนเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นและน่าสนุกสนานมากที่สุด ตัวมีมเองก็เช่นกัน หลังเก็บของเตรียมตัวไปค้างที่บ้านของเทลเรียบร้อยแล้ว มีมก็ขอให้คุณแม่ขับรถไปส่งที่บ้านของเทลทันที
ในระหว่างทางที่คุณแม่ขับรถไปส่งมีมนั้น ด้วยความเป็นห่วง คุณแม่เอ่ยเตือนกำชับอีกครั้ง “ดึกดื่นมืดค่ำก็อย่าพากันออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนกันนะลูก” มีมทำเพียงรับปากส่งๆ กับคุณแม่ไปเท่านั้น
เพราะเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว พระอาทิตย์จึงตกเร็วกว่าปกติ ช่วงเวลาเพียงหกโมงเย็น ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว หลังเริ่มทำโครงงานไปได้สักพักอ้อยใจก็เริ่มชักชวนให้มีมและเทลออกไปทานมื้อเย็นที่ร้านอาหารร้านประจำของทั้งสาม ร้านตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของเทลมากนัก แต่เพราะว่ามืดแล้ว คุณแม่ของเทลจึงให้ยืมมอเตอร์ไซต์ของที่บ้านไปขับแทนการเดินไปกันเอง
หลังทานมื้อเย็นกันเสร็จ มีมที่รับหน้าที่เป็นคนขับมอเตอร์ไซต์ก็สังเกตว่าน้ำมันรถใกล้จะหมด ด้วยความเกรงใจเลยเอ่ยชวนอ้อยใจและเทลไปเติมน้ำมันรถกันก่อนเข้าบ้านเทล เทลเสนอให้ไปเติมกันที่ปั้มใกล้บ้าน แต่เมื่อขับไปถึงปั้มน้ำมันก็ปิดแล้ว ณ ตอนนั้นทั้งสามคนต่างก็ไม่มีใครเอะใจกันเลยว่าขณะนั้นเป็นเวลากี่โมงแล้ว
ด้วยความที่ทั้งอ้อยใจ และมีมเป็นคนกินเก่ง เลยตกลงกันว่า จะขับมอเตอร์ไซต์เข้าตัวเมืองไปเติมน้ำมันและจะแวะไปที่ร้านนมสดหน้าที่ว่าการอำเภอเพื่อซื้อนมสดและขนมปังปิ้งมากินกันต่อที่บ้านของเทล ในระหว่างทางที่ขับรถอยู่นั้น มีมสังเกตเห็นว่า ช่วงทางที่ต้องขับไปที่ปั้มน้ำมันนั้นมืดผิดปกติ ไฟกิ่งข้างทางเฉพาะบริเวณนั้นก็ถูกปิดไว้อีกด้วย ปั้มน้ำมันในตัวเมืองที่มีมและเพื่อนๆ กำลังเดินทางไปนั้น เป็นปั้มที่อยู่ถัดห่างจากโรงเรียนของมีมไปประมาณสี่ร้อยเมตร ห่างออกไปอีกแค่สองร้อยเมตรก็จะเป็นโรงเรียนเอกชนอีกโรงเรียนหนึ่ง และเมื่อขับรถมาถึง ทั้งสามก็ต้องเจอกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
นั่นคือ...ปั้มน้ำมันปิดทำการแล้ว
ด้วยความเซ็ง มีมจึงบ่นเล็กน้อยว่าวันนี้ทำไมแต่ละปั้มจึงปิดทำการเร็วกว่าปกติ เทลที่สงสัยก็เลยหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดดูเวลา แล้วทั้งสามคนถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่าขณะนี้เป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว ในชนบทเวลาสามทุ่มกว่านี้นับว่าดึกมากแล้ว ยิ่งเป็นช่วงฤดูหนาว ท้องฟ้ามืดเร็ว ผู้คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยออกมาเตร็ดเตร่ข้างนอกกันมากนัก
“วันนี้เหมือนจะเป็นคืนเดือนแรมเลย ไม่เห็นพระจันทร์ไม่เห็นดาวสักดวง” อ้อยใจแหงนหน้ามองท้องฟ้าขณะที่ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์อยู่
“ถึงว่าสิ คืนนี้ถึงได้ดูมืดๆ” เทลที่นั่งอยู่หน้าสุดตอบกลับพลางแหงนหน้าดูท้องฟ้าตามมีมที่ทำหน้าที่เป็นคนขับมอเตอร์ไซค์ซึ่งไม่สามารถแหงนหน้าขึ้นดูท้องฟ้าตามพื่อนๆ ได้ ทำเพียงส่งเสียง “อืม” เบาๆ เท่านั้น
แต่แล้ว...
ขณะขับรถเลยจากปั้มน้ำมันไปได้เล็กน้อย สายตาของมีมก็ไปสะดุดเข้ากับเงาๆ หนึ่งของถนนฝั่งตรงข้ามเข้า มีมกะพริบตาเร็วๆ แล้วรีบมองกระจกข้างเพื่อเช็คดูอีกครั้ง แต่ก็ไม่เห็นอะไรอีก จึงคิดว่าตนคงตาฝาดไปเอง
จู่ๆ มีมก็คิดถึงข่าวอุบัติเหตุที่เกิดก่อนหน้านี้ไม่นานนักขึ้นมา เด็กนักเรียนโรงเรียนข้างๆ ประสบอุบัติเหตุรถชนจนเสียชีวิตคาที่ ถ้าจำไม่ผิด จุดที่เมื่อสักครู่มีมเหมือนเห็นเงาอยู่นั้นคือจุดเดียวกันกับที่เกิดเหตุ...
คิดถึงตรงนี้ มีมก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาและพยายามร่วมวงสนทนากับอ้อยใจและเทลที่คุยกันอยู่ก่อนแล้วแทน เส้นทางกลับไปยังบ้านเทลนั้น มีมจะต้องขับมอเตอร์ไซค์ ไปยูเทิร์นกลับมา นั่นหมายความว่า มีมจะต้องขับมอเตอร์ไซค์ผ่านจุดที่เกิดเหตุ
บนถนนตอนนี้ปลอดโล่ง ไร้รถยนต์สัญจร มอเตอร์ไซค์เคลื่อนตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็วคงที่ ถนนฝั่งนี้ค่อนข้างมืดกว่าถนนฝั่งปั้มน้ำมันมาก ร้านค้าข้างทางปิดเงียบไม่มีแม้แต่ไฟหน้าร้าน ไฟกิ่งถูกปิดเว้นช่วง บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดจนดูวังเวง แม้แต่อ้อยใจกับเทลที่ตอนแรกพูดคุยกันอย่างสนุกสนานก็ยังหยุดคุยกัน
ตึก! ตึก! ตึก!
ชั่วขณะที่มอเตอร์ไซด์เคลื่อนตัวผ่านจุดที่เคยเกิดอุบัติเหตุนั้น มีมคล้ายกับได้ยินเสียงของคนกำลังวิ่งอยู่ใกล้ๆ ในตอนแรกมีมไม่ได้ใส่ใจกับเสียงนั้นเท่าไหร่ คิดว่าคงหูแว่วไปเอง แต่เพราะว่าเสียงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มีมจึงตัดสินใจเหลือบดูกระจกข้าง สิ่งที่สะท้อนให้เห็นในกระจกทำเอามีมรีบร้องบอกเพื่อนๆ ทั้งสองทันที
“ขอเร่งความเร็วรถจนสุดเลยนะ!” พูดจบ มีมก็บิดคันเร่งของมอเตอร์ไซค์จนสุด รถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว มีมพยายามประคองสติและตั้งสมาธิในการขับรถไว้ เพราะการขับขี่มอเตอร์ไซค์ด้วยความเร็วสูงเช่นนี้ ย่อมมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุขึ้นสูงตาม
ในกระจกข้างยังคงสะท้อนภาพเงาดำที่มีรูปร่างคล้ายกับคนกำลังวิ่งตามหลังมอเตอร์ไซต์มาติดๆ หัวใจของมีมเต้นเร็วมากขึ้นไปอีก ยิ่งเมื่อเห็นว่าเงานั้นเอื้อมมือเข้ามาใกล้กับแผ่นหลังของอ้อยใจที่ซ้อนท้ายอยู่ มีมกลั้นหายใจด้วยความกลัว ก่อนจะพยายามเร่งความเร็วเพิ่มเข้าไปอีก
สิ่งเดียวที่มีมคิดได้ในตอนนี้คือต้องรีบขับให้พ้นจากตรงนี้ไปให้เร็วที่สุด! และอย่าให้เงานั้นมาถึงตัวได้!
เงานั้นยังคงวิ่งตามมาติดๆ ชนิดที่เรียกได้ว่าเป็นการวิ่งกวดเลยก็ว่าได้ มือที่เอื้อมมานั้น อีกเพียงนิดเดียวก็จะแตะถูกหลังของอ้อยใจ ในช่วงที่มีมคิดว่ามือนั้นต้องแตะถูกหลังของอ้อยใจแน่ๆ นั้น เงานั้นก็ค่อยๆ ชะล้อความเร็วลงและหยุดยืนนิ่งอยู่กลางถนน
ตลอดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ มีมขนลุกไปทั่วทั้งร่าง และทั้งเทลทั้งอ้อยใจนั้นก็คล้ายกับรู้สึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะหลังจากที่ได้ยินมีมร้องบอก ทั้งคู่ต่างก็เงียบเสียง ไม่เอ่ยถามหรือสงสัยอะไรเลย
มีมจอดรถที่หน้าร้านขายนมสด ทั้งสามคนยืนนิ่งสักพัก ก่อนจะมองหน้ากันนิ่งๆ ด้วยสายตาประมาณว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ ค่อยรอกลับไปถึงที่บ้านเทลก่อนค่อยพูดถึง
หลังจากซื้อของทานเล่นและมื้อดึกกันเสร็จแล้ว มีมก็ขับมอเตอร์ไซต์กลับไปยังบ้านของเทลโดยที่ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีก หลังจัดการโครงงานจนเสร็จแล้ว ทั้งสามคนก็นั่งล้อมวงกันพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
มีมเล่าให้อ้อยใจและเทลฟังว่าทำไมอยู่ๆ ถึงได้ร้องบอกออกมาและเร่งความเร็วของรถอย่างกะทันหัน และเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่ตนเจอ เทลและอ้อยใจที่ได้ฟังมีมเล่าจบ ก็เริ่มเล่าในสิ่งที่ตัวเองเจอเช่นกันให้มีมฟัง โดยเทลเริ่มเล่าก่อนว่า ในระหว่างที่กำลังคุยกับอ้อยใจอยู่นั้น เทลคล้ายกับได้ยินเสียงคนกระซิบถามข้างหูว่า “มาอยู่แทนหน่อย” เสียงนั้นเยือกเย็นจนเทลรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที โทนเสียงที่ได้ยินติดจะโหยหวนเล็กน้อย
ในครั้งแรกเทลคิดว่าตนหูฝาดไปแน่ๆ แต่เสียงกระซิบก็ยังคงดังขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมๆ กับเริ่มได้ยินเสียงคนวิ่งเข้ามาใกล้ จนกระทั่งได้ยินเสียงมีมร้องบอกขึ้น ถึงรู้ว่าตนโดนเข้าแล้ว
ส่วนอ้อยใจนั้น คล้ายว่าจะเจอหนักที่สุด เพราะนับตั้งแต่ที่อ้อยใจร้องทักว่าวันนี้ต้องเป็นคืนเดือนแรมจบ ก็มีลมเย็นๆ พัดเข้ามาที่ข้างหูพร้อมกับเสียงพ่นลมหายใจดัง “ฟู่!”
วินาทีนั้นอ้อยใจบอกว่าเริ่มรู้สึกขนลุกอยู่ตลอดเวลา แต่เพราะไม่อยากคิดมากประกอบกับที่เทลตอบกลับคำพูดของตนพอดี เลยเบี่ยงเบนความสนใจเพื่อลดความหวาดกลัวลง
ในช่วงที่มอเตอร์ไซค์กำลังจะยูเทิร์นนั้น อ้อยใจรู้สึกว่าอากาศของถนนฝั่งนี้ติดจะเย็นเยียบกว่าฝั่งของปั้มน้ำมัน แต่เพราะว่าอากาศในช่วงนั้นเป็นฤดูหนาวอยู่แล้ว อ้อยใจเลยไม่ใส่ใจมาก และพูดคุยกับเทลต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง...
อ้อยใจเริ่มได้ยินเสียงกระซิบที่ข้างหู เสียงกระซิบค่อนข้างเบา แต่อ้อยใจจำได้แม่นเลยว่า โทนเสียงกระซิบนี้ค่อนข้างหนักแน่น คล้ายเป็นเสียงร้องตะโกนไกลๆ เสียงนั้นพูดแต่คำเดียวติดๆ กันว่า “ตาย! ตาย! ตาย! ตาย! ตาย!”
และก่อนที่มีมจะร้องบอก อ้อยใจก็เริ่มได้ยินเสียงคนวิ่งเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับความรู้สึกขนลุกชันไปทั่วร่าง แต่ที่แผ่นหลังรู้สึกจะเย็นวาบมากกว่าที่ใด ที่สำคัญที่สุดนั้นคือ...เสียงกระซิบนั้นกระซิบดังที่ข้างหูอ้อยใจมากกว่าเดิม
“ตาย! ตาย! ตาย! ตาย! ตาย!”
ประโยคสั้นๆ เดิมๆ ถูกกระซิบข้างหู ในช่วงที่เสียงกระซิบนั้นกลายเป็นเสียงตะโกน อ้อยใจทำได้แค่หลับตาปี๋ด้วยความกลัว สองมือเอื้อมไปคว้าชายเสื้อของมีมกำไว้แน่น ในใจได้แต่ภาวนาขอให้มีมรีบขับมอเตอร์ไซค์ไปให้พ้นจากจุดนี้ให้เร็วที่สุด
ในช่วงสุดท้ายที่อ้อยใจหวาดกลัวที่สุด...คือเสียงตะโกนนั้นหยุดลงและเปลี่ยนเป็นเสียงคนพูดข้างหูว่า “มาอยู่แทนก...เถอะ มาแทนที่ก...เถอะ” จบประโยคนี้ก็มีเพียงเสียงหัวเราะเบาๆ ทิ้งท้าย อยู่ๆ อ้อยใจก็คล้ายกับหายใจไม่ค่อยออก ความรู้สึกทั้งอึดอัดทั้งกดดันและทั้งหวาดกลัวผสมปนเป ขณะนั้นอ้อยใจคิดในใจสั้นๆ ว่าตนต้องไม่รอดแล้วแน่ๆ แต่แล้วทุกอย่างก็คล้ายกับหยุดลง
อ้อยใจรู้สึกหายใจหายคอได้โล่งขึ้น ความรู้สึกอึดอัดและกดดันที่มีอยู่หายไปพร้อมๆ กับเสียงร้องข้างหูเองก็ด้วย มอเตอร์ไซค์ขับพ้นมายังจุดที่มีแสงสว่างแล้ว คล้ายกับรู้สึกว่าถูกจ้อง อ้อยใจทำใจกล้าด้วยการเหลียวหน้ากลับไปดูข้างหลัง เห็นเป็นเงาทะมึนรูปร่างคล้ายคนกำลังยืนนิ่งอยู่กลางถนนและกำลังจ้องมองมาที่ตนอยู่ อ้อยใจรีบหันหน้ากลับมาทันทีด้วยความตกใจ หากว่ามีมขับมอเตอร์ไซค์ให้พ้นจากตรงนั้นช้าไปอีกเพียงนิดเดียว จะเกิดอะไรขึ้นกับตน...? อ้อยใจส่ายหน้าเพื่อเรียกสติตัวเองให้กลับคืนมาและพยายามไม่คิดอะไรต่อทั้งนั้น
ในวันรุ่งขึ้น ก่อนจะแยกย้ายกันกลับ ทั้งสามคนต่างก็พากันไปทำบุญให้กับเงาปริศนานั้นที่วิ่งไล่พวกตน
และในช่วงสุดท้ายก่อนปิดเทอม... ก็มีข่าวอุบัติเหตุรถชนเกิดขึ้น ซึ่งผู้ประสบอุบัติเหตุในครั้งนี้ก็คือเด็กนักเรียนในโรงเรียนของมีม และที่สำคัญกว่านั้น จุดเกิดเหตุยังเป็นจุดเดียวกับที่พวกมีมเจอเงาปริศนานั้นวิ่งตามอีกด้วย
- จ บ -
ในความคิดของทุกคนคิดว่าเรื่องนี้ควรให้กี่กะโหลกดีคะ เรื่องนี้เพื่อนเราให้ 5 กะโหลกเลยละค่ะ
นิยายชุด : ผลัดกันเล่า by motamad
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ขอแทนตัวผู้เล่าว่า มีม
เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนสมัยที่มีมกำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่ ด้วยความที่มีมเรียนอยู่ห้องกิฟต์ การทำโครงงานวิชาการของแต่ละวิชาจึงเป็นเรื่องปกติมากๆ
หลังได้รับคำสั่งจากคุณครูประจำวิชาฟิสิกส์ว่าให้ทำโครงงานฟิสิกส์มาส่งกลุ่มละหนึ่งโครงการ ซึ่งกลุ่มของมีมนั้นมีสมาชิกเพียงสามคน นั่นก็คือ มีม อ้อยใจ และเทล ซึ่งมีมเห็นว่าสัปดาห์หน้ามีวันหยุดที่ตรงกับวันศุกร์พอดี จึงได้นัดแนะกับอ้อยใจและเทลว่า จะไปนอนค้างที่บ้านของเทลในเย็นวันพฤหัสเพื่อทำโครงงานกันให้เสร็จ
แน่นอนว่าในช่วงวัยเด็กของทุกคน การได้ไปนอนค้างที่บ้านเพื่อนเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นและน่าสนุกสนานมากที่สุด ตัวมีมเองก็เช่นกัน หลังเก็บของเตรียมตัวไปค้างที่บ้านของเทลเรียบร้อยแล้ว มีมก็ขอให้คุณแม่ขับรถไปส่งที่บ้านของเทลทันที
ในระหว่างทางที่คุณแม่ขับรถไปส่งมีมนั้น ด้วยความเป็นห่วง คุณแม่เอ่ยเตือนกำชับอีกครั้ง “ดึกดื่นมืดค่ำก็อย่าพากันออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนกันนะลูก” มีมทำเพียงรับปากส่งๆ กับคุณแม่ไปเท่านั้น
เพราะเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว พระอาทิตย์จึงตกเร็วกว่าปกติ ช่วงเวลาเพียงหกโมงเย็น ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว หลังเริ่มทำโครงงานไปได้สักพักอ้อยใจก็เริ่มชักชวนให้มีมและเทลออกไปทานมื้อเย็นที่ร้านอาหารร้านประจำของทั้งสาม ร้านตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของเทลมากนัก แต่เพราะว่ามืดแล้ว คุณแม่ของเทลจึงให้ยืมมอเตอร์ไซต์ของที่บ้านไปขับแทนการเดินไปกันเอง
หลังทานมื้อเย็นกันเสร็จ มีมที่รับหน้าที่เป็นคนขับมอเตอร์ไซต์ก็สังเกตว่าน้ำมันรถใกล้จะหมด ด้วยความเกรงใจเลยเอ่ยชวนอ้อยใจและเทลไปเติมน้ำมันรถกันก่อนเข้าบ้านเทล เทลเสนอให้ไปเติมกันที่ปั้มใกล้บ้าน แต่เมื่อขับไปถึงปั้มน้ำมันก็ปิดแล้ว ณ ตอนนั้นทั้งสามคนต่างก็ไม่มีใครเอะใจกันเลยว่าขณะนั้นเป็นเวลากี่โมงแล้ว
ด้วยความที่ทั้งอ้อยใจ และมีมเป็นคนกินเก่ง เลยตกลงกันว่า จะขับมอเตอร์ไซต์เข้าตัวเมืองไปเติมน้ำมันและจะแวะไปที่ร้านนมสดหน้าที่ว่าการอำเภอเพื่อซื้อนมสดและขนมปังปิ้งมากินกันต่อที่บ้านของเทล ในระหว่างทางที่ขับรถอยู่นั้น มีมสังเกตเห็นว่า ช่วงทางที่ต้องขับไปที่ปั้มน้ำมันนั้นมืดผิดปกติ ไฟกิ่งข้างทางเฉพาะบริเวณนั้นก็ถูกปิดไว้อีกด้วย ปั้มน้ำมันในตัวเมืองที่มีมและเพื่อนๆ กำลังเดินทางไปนั้น เป็นปั้มที่อยู่ถัดห่างจากโรงเรียนของมีมไปประมาณสี่ร้อยเมตร ห่างออกไปอีกแค่สองร้อยเมตรก็จะเป็นโรงเรียนเอกชนอีกโรงเรียนหนึ่ง และเมื่อขับรถมาถึง ทั้งสามก็ต้องเจอกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
นั่นคือ...ปั้มน้ำมันปิดทำการแล้ว
ด้วยความเซ็ง มีมจึงบ่นเล็กน้อยว่าวันนี้ทำไมแต่ละปั้มจึงปิดทำการเร็วกว่าปกติ เทลที่สงสัยก็เลยหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดดูเวลา แล้วทั้งสามคนถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่าขณะนี้เป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว ในชนบทเวลาสามทุ่มกว่านี้นับว่าดึกมากแล้ว ยิ่งเป็นช่วงฤดูหนาว ท้องฟ้ามืดเร็ว ผู้คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยออกมาเตร็ดเตร่ข้างนอกกันมากนัก
“วันนี้เหมือนจะเป็นคืนเดือนแรมเลย ไม่เห็นพระจันทร์ไม่เห็นดาวสักดวง” อ้อยใจแหงนหน้ามองท้องฟ้าขณะที่ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์อยู่
“ถึงว่าสิ คืนนี้ถึงได้ดูมืดๆ” เทลที่นั่งอยู่หน้าสุดตอบกลับพลางแหงนหน้าดูท้องฟ้าตามมีมที่ทำหน้าที่เป็นคนขับมอเตอร์ไซค์ซึ่งไม่สามารถแหงนหน้าขึ้นดูท้องฟ้าตามพื่อนๆ ได้ ทำเพียงส่งเสียง “อืม” เบาๆ เท่านั้น
แต่แล้ว...
ขณะขับรถเลยจากปั้มน้ำมันไปได้เล็กน้อย สายตาของมีมก็ไปสะดุดเข้ากับเงาๆ หนึ่งของถนนฝั่งตรงข้ามเข้า มีมกะพริบตาเร็วๆ แล้วรีบมองกระจกข้างเพื่อเช็คดูอีกครั้ง แต่ก็ไม่เห็นอะไรอีก จึงคิดว่าตนคงตาฝาดไปเอง
จู่ๆ มีมก็คิดถึงข่าวอุบัติเหตุที่เกิดก่อนหน้านี้ไม่นานนักขึ้นมา เด็กนักเรียนโรงเรียนข้างๆ ประสบอุบัติเหตุรถชนจนเสียชีวิตคาที่ ถ้าจำไม่ผิด จุดที่เมื่อสักครู่มีมเหมือนเห็นเงาอยู่นั้นคือจุดเดียวกันกับที่เกิดเหตุ...
คิดถึงตรงนี้ มีมก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาและพยายามร่วมวงสนทนากับอ้อยใจและเทลที่คุยกันอยู่ก่อนแล้วแทน เส้นทางกลับไปยังบ้านเทลนั้น มีมจะต้องขับมอเตอร์ไซค์ ไปยูเทิร์นกลับมา นั่นหมายความว่า มีมจะต้องขับมอเตอร์ไซค์ผ่านจุดที่เกิดเหตุ
บนถนนตอนนี้ปลอดโล่ง ไร้รถยนต์สัญจร มอเตอร์ไซค์เคลื่อนตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็วคงที่ ถนนฝั่งนี้ค่อนข้างมืดกว่าถนนฝั่งปั้มน้ำมันมาก ร้านค้าข้างทางปิดเงียบไม่มีแม้แต่ไฟหน้าร้าน ไฟกิ่งถูกปิดเว้นช่วง บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดจนดูวังเวง แม้แต่อ้อยใจกับเทลที่ตอนแรกพูดคุยกันอย่างสนุกสนานก็ยังหยุดคุยกัน
ตึก! ตึก! ตึก!
ชั่วขณะที่มอเตอร์ไซด์เคลื่อนตัวผ่านจุดที่เคยเกิดอุบัติเหตุนั้น มีมคล้ายกับได้ยินเสียงของคนกำลังวิ่งอยู่ใกล้ๆ ในตอนแรกมีมไม่ได้ใส่ใจกับเสียงนั้นเท่าไหร่ คิดว่าคงหูแว่วไปเอง แต่เพราะว่าเสียงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มีมจึงตัดสินใจเหลือบดูกระจกข้าง สิ่งที่สะท้อนให้เห็นในกระจกทำเอามีมรีบร้องบอกเพื่อนๆ ทั้งสองทันที
“ขอเร่งความเร็วรถจนสุดเลยนะ!” พูดจบ มีมก็บิดคันเร่งของมอเตอร์ไซค์จนสุด รถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว มีมพยายามประคองสติและตั้งสมาธิในการขับรถไว้ เพราะการขับขี่มอเตอร์ไซค์ด้วยความเร็วสูงเช่นนี้ ย่อมมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุขึ้นสูงตาม
ในกระจกข้างยังคงสะท้อนภาพเงาดำที่มีรูปร่างคล้ายกับคนกำลังวิ่งตามหลังมอเตอร์ไซต์มาติดๆ หัวใจของมีมเต้นเร็วมากขึ้นไปอีก ยิ่งเมื่อเห็นว่าเงานั้นเอื้อมมือเข้ามาใกล้กับแผ่นหลังของอ้อยใจที่ซ้อนท้ายอยู่ มีมกลั้นหายใจด้วยความกลัว ก่อนจะพยายามเร่งความเร็วเพิ่มเข้าไปอีก
สิ่งเดียวที่มีมคิดได้ในตอนนี้คือต้องรีบขับให้พ้นจากตรงนี้ไปให้เร็วที่สุด! และอย่าให้เงานั้นมาถึงตัวได้!
เงานั้นยังคงวิ่งตามมาติดๆ ชนิดที่เรียกได้ว่าเป็นการวิ่งกวดเลยก็ว่าได้ มือที่เอื้อมมานั้น อีกเพียงนิดเดียวก็จะแตะถูกหลังของอ้อยใจ ในช่วงที่มีมคิดว่ามือนั้นต้องแตะถูกหลังของอ้อยใจแน่ๆ นั้น เงานั้นก็ค่อยๆ ชะล้อความเร็วลงและหยุดยืนนิ่งอยู่กลางถนน
ตลอดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ มีมขนลุกไปทั่วทั้งร่าง และทั้งเทลทั้งอ้อยใจนั้นก็คล้ายกับรู้สึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะหลังจากที่ได้ยินมีมร้องบอก ทั้งคู่ต่างก็เงียบเสียง ไม่เอ่ยถามหรือสงสัยอะไรเลย
มีมจอดรถที่หน้าร้านขายนมสด ทั้งสามคนยืนนิ่งสักพัก ก่อนจะมองหน้ากันนิ่งๆ ด้วยสายตาประมาณว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ ค่อยรอกลับไปถึงที่บ้านเทลก่อนค่อยพูดถึง
หลังจากซื้อของทานเล่นและมื้อดึกกันเสร็จแล้ว มีมก็ขับมอเตอร์ไซต์กลับไปยังบ้านของเทลโดยที่ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีก หลังจัดการโครงงานจนเสร็จแล้ว ทั้งสามคนก็นั่งล้อมวงกันพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
มีมเล่าให้อ้อยใจและเทลฟังว่าทำไมอยู่ๆ ถึงได้ร้องบอกออกมาและเร่งความเร็วของรถอย่างกะทันหัน และเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่ตนเจอ เทลและอ้อยใจที่ได้ฟังมีมเล่าจบ ก็เริ่มเล่าในสิ่งที่ตัวเองเจอเช่นกันให้มีมฟัง โดยเทลเริ่มเล่าก่อนว่า ในระหว่างที่กำลังคุยกับอ้อยใจอยู่นั้น เทลคล้ายกับได้ยินเสียงคนกระซิบถามข้างหูว่า “มาอยู่แทนหน่อย” เสียงนั้นเยือกเย็นจนเทลรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที โทนเสียงที่ได้ยินติดจะโหยหวนเล็กน้อย
ในครั้งแรกเทลคิดว่าตนหูฝาดไปแน่ๆ แต่เสียงกระซิบก็ยังคงดังขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมๆ กับเริ่มได้ยินเสียงคนวิ่งเข้ามาใกล้ จนกระทั่งได้ยินเสียงมีมร้องบอกขึ้น ถึงรู้ว่าตนโดนเข้าแล้ว
ส่วนอ้อยใจนั้น คล้ายว่าจะเจอหนักที่สุด เพราะนับตั้งแต่ที่อ้อยใจร้องทักว่าวันนี้ต้องเป็นคืนเดือนแรมจบ ก็มีลมเย็นๆ พัดเข้ามาที่ข้างหูพร้อมกับเสียงพ่นลมหายใจดัง “ฟู่!”
วินาทีนั้นอ้อยใจบอกว่าเริ่มรู้สึกขนลุกอยู่ตลอดเวลา แต่เพราะไม่อยากคิดมากประกอบกับที่เทลตอบกลับคำพูดของตนพอดี เลยเบี่ยงเบนความสนใจเพื่อลดความหวาดกลัวลง
ในช่วงที่มอเตอร์ไซค์กำลังจะยูเทิร์นนั้น อ้อยใจรู้สึกว่าอากาศของถนนฝั่งนี้ติดจะเย็นเยียบกว่าฝั่งของปั้มน้ำมัน แต่เพราะว่าอากาศในช่วงนั้นเป็นฤดูหนาวอยู่แล้ว อ้อยใจเลยไม่ใส่ใจมาก และพูดคุยกับเทลต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง...
อ้อยใจเริ่มได้ยินเสียงกระซิบที่ข้างหู เสียงกระซิบค่อนข้างเบา แต่อ้อยใจจำได้แม่นเลยว่า โทนเสียงกระซิบนี้ค่อนข้างหนักแน่น คล้ายเป็นเสียงร้องตะโกนไกลๆ เสียงนั้นพูดแต่คำเดียวติดๆ กันว่า “ตาย! ตาย! ตาย! ตาย! ตาย!”
และก่อนที่มีมจะร้องบอก อ้อยใจก็เริ่มได้ยินเสียงคนวิ่งเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับความรู้สึกขนลุกชันไปทั่วร่าง แต่ที่แผ่นหลังรู้สึกจะเย็นวาบมากกว่าที่ใด ที่สำคัญที่สุดนั้นคือ...เสียงกระซิบนั้นกระซิบดังที่ข้างหูอ้อยใจมากกว่าเดิม
“ตาย! ตาย! ตาย! ตาย! ตาย!”
ประโยคสั้นๆ เดิมๆ ถูกกระซิบข้างหู ในช่วงที่เสียงกระซิบนั้นกลายเป็นเสียงตะโกน อ้อยใจทำได้แค่หลับตาปี๋ด้วยความกลัว สองมือเอื้อมไปคว้าชายเสื้อของมีมกำไว้แน่น ในใจได้แต่ภาวนาขอให้มีมรีบขับมอเตอร์ไซค์ไปให้พ้นจากจุดนี้ให้เร็วที่สุด
ในช่วงสุดท้ายที่อ้อยใจหวาดกลัวที่สุด...คือเสียงตะโกนนั้นหยุดลงและเปลี่ยนเป็นเสียงคนพูดข้างหูว่า “มาอยู่แทนก...เถอะ มาแทนที่ก...เถอะ” จบประโยคนี้ก็มีเพียงเสียงหัวเราะเบาๆ ทิ้งท้าย อยู่ๆ อ้อยใจก็คล้ายกับหายใจไม่ค่อยออก ความรู้สึกทั้งอึดอัดทั้งกดดันและทั้งหวาดกลัวผสมปนเป ขณะนั้นอ้อยใจคิดในใจสั้นๆ ว่าตนต้องไม่รอดแล้วแน่ๆ แต่แล้วทุกอย่างก็คล้ายกับหยุดลง
อ้อยใจรู้สึกหายใจหายคอได้โล่งขึ้น ความรู้สึกอึดอัดและกดดันที่มีอยู่หายไปพร้อมๆ กับเสียงร้องข้างหูเองก็ด้วย มอเตอร์ไซค์ขับพ้นมายังจุดที่มีแสงสว่างแล้ว คล้ายกับรู้สึกว่าถูกจ้อง อ้อยใจทำใจกล้าด้วยการเหลียวหน้ากลับไปดูข้างหลัง เห็นเป็นเงาทะมึนรูปร่างคล้ายคนกำลังยืนนิ่งอยู่กลางถนนและกำลังจ้องมองมาที่ตนอยู่ อ้อยใจรีบหันหน้ากลับมาทันทีด้วยความตกใจ หากว่ามีมขับมอเตอร์ไซค์ให้พ้นจากตรงนั้นช้าไปอีกเพียงนิดเดียว จะเกิดอะไรขึ้นกับตน...? อ้อยใจส่ายหน้าเพื่อเรียกสติตัวเองให้กลับคืนมาและพยายามไม่คิดอะไรต่อทั้งนั้น
ในวันรุ่งขึ้น ก่อนจะแยกย้ายกันกลับ ทั้งสามคนต่างก็พากันไปทำบุญให้กับเงาปริศนานั้นที่วิ่งไล่พวกตน
และในช่วงสุดท้ายก่อนปิดเทอม... ก็มีข่าวอุบัติเหตุรถชนเกิดขึ้น ซึ่งผู้ประสบอุบัติเหตุในครั้งนี้ก็คือเด็กนักเรียนในโรงเรียนของมีม และที่สำคัญกว่านั้น จุดเกิดเหตุยังเป็นจุดเดียวกับที่พวกมีมเจอเงาปริศนานั้นวิ่งตามอีกด้วย
- จ บ -
ในความคิดของทุกคนคิดว่าเรื่องนี้ควรให้กี่กะโหลกดีคะ เรื่องนี้เพื่อนเราให้ 5 กะโหลกเลยละค่ะ