สภาถกญัตติด่วน แก้ปัญหา ‘จะนะรักษ์ถิ่น’ พร้อมเสนอทบทวนนิคมจะนะ ก่อนส่งให้ รบ.พิจารณา
https://www.matichon.co.th/politics/news_3080261
สภาถกญัตติด่วน แก้ปัญหาเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น พร้อมเสนอทบทวนโครงการนิคมจะนะ ก่อนส่งให้ รบ.พิจารณา
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นาย
ชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณาญัตติด่วน จำนวน 5 ญัตติ ของ ส.ส.จากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.), พรรคประชาชาติ (ปช.), พรรคก้าวไกล (ก.ก.), พรรคภูมิใจไทย (ภท.) และพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เพื่อให้สภาตั้งกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญตรวจสอบการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าสลายการชุมนุมเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2564 เและให้ตรวจสอบโครงการจะนะ เมืองต้นแบบนิคมอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต ทั้งนี้ มีข้อเสนอให้รื้อกระบวนการจัดสร้างนิคมฯจะนะใหม่ เพื่อให้เกิดการรับฟังประชาชนอย่างรอบด้าน
ในช่วงหนึ่งของการอภิปรายเสนอญัตติ ผู้เสนอญัตติเห็นตรงกันว่าการใช้กำลังเจ้าหน้าที่รัฐเข้าสลายการชุมนุมของเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น 6 ธ.ค.64 ที่หน้าทำเนียบรัฐบาลเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ และไม่เคารพต่อการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ชุมนุมโดยสงบ เพราะพบการกระทำที่รุนแรง ใช้กำลังกับผู้ชุมนุม และพบการปิดกั้นการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน
ขณะที่การเดินหน้าโครงการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมจะนะนั้น พบว่ามีความเคลื่อนไหวของกลุ่มทุนที่เตรียมจัดเวทีประชาพิจารณ์ในพื้นที่ช่วงปลายเดือนธันวาคม ถือเป็นความไม่ชอบมาพากล และเป็นการจัดเวทีที่เชื่อว่าไม่รอบด้าน มีการจัดตั้งประชาชนเข้าร่วม ดังนั้น จึงเรียกร้องให้รัฐบาลสั่งการให้ยุติ และทบทวน พร้อมกับศึกษาโครงการให้รอบด้านอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ผู้อภิปรายได้อภิปรายครบถ้วนแล้ว นาย
อาดิลัน อาลีอิสเฮาะ ส.ส.ยะลา พรรค พปชร. ในฐานะผู้เสนอญัตติ กล่าวปิดท้ายว่า ตนเห็นถึงความจำเป็นและความต้องการของ ส.ส.ต้องการตรวจสอบตำรวจ ผู้ใดสั่งการสลายการชุมนุมหากพบผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย หรือการกระทำเกินกว่าเหตุ เกินความจำเป็นขอให้ลงโทษทางอาญาและดำเนินการลงโทษทางวินัย พร้อมกับทบทวนนิคมอุตสาหกรรมจะนะเพราะพบพิรุธและข้อเท็จจริง หากรัฐบาลเห็นว่าจะนะเป็นคนไทย ต้องพิจารณาตามข้อเสนอที่สภาจะเสนอต่อไป
จากนั้นนายชวนกล่าวว่า ในการเสนอญัตติดังกล่าวไม่มีผู้ที่คัดค้าน ดังนั้น จะขอใช้ข้อบังคับเพื่อส่งญัตติดังกล่าวให้รัฐบาลรับไปพิจารณา จากนั้นได้ปิดประชุมในเวลา 20.17 น.
คลังเผย สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ หนี้เสียพุ่ง 858 ล้านบาท
https://www.prachachat.net/finance/news-818449
คลังเผยเดือน ก.ย. 64 สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ หนี้เสียพุ่ง 858 ล้านบาท ผู้ประกอบการช่วยพักหนี้บรรเทาผลกระทบโควิดแล้ว 23,172 บัญชี
วันที่ 9 ธันวาคม 2564 น.ส.สภัทร์พร ธรรมาภรณ์พิลาศ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า
ผลดำเนินงานธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ตั้งแต่เดือนธ.ค.59 จนถึงสิ้นเดือน ก.ย. 64 มียอดสินเชื่อคงค้างจำนวนทั้งสิ้น 222,920 บัญชี วงเงิน 4,620 ล้านบาท ในจำนวนนี้มีสินเชื่อค้างชำระ 1 – 3 เดือน สะสมรวมทั้งสิ้น 29,571 บัญชี หรือคิดเป็นจำนวนเงินสะสมรวม 629.44 ล้านบาท หรือ 13.62% ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม
และมีสินเชื่อค้างชำระที่เกินกว่า 3 เดือน (เอ็นพีแอล) สะสมรวมจำนวน 36,524 บัญชี หรือคิดเป็นจำนวนเงินสะสมรวม 858.11 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 18.57%ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม เพิ่มจากเดือนส.ค.64 ที่มีหนี้เสีย 30,365 บัญชี วงเงิน 796 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาคลังร่วมผู้ประกอบการ ออกมาตรการช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด ให้กับลูกหนี้ ทั้งการลดค่างวด การขยายระยะเวลาการชำระหนี้ การเปลี่ยนประเภทหนี้จากระยะสั้นเป็นระยะยาว การพักชำระค่างวด การพักชำระเงินต้นและจ่ายดอกเบี้ยบางส่วน และการพักชำระเงินต้นและลดอัตราดอกเบี้ย สามารถช่วยเหลือลูกหนี้จำนวนสะสมทั้งสิ้น 23,172 บัญชี โดยจังหวัดที่ให้ความช่วยเหลือสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา 50 ราย ขอนแก่น 32 ราย และกรุงเทพมหานคร 24 ราย
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังคงดำเนินการร่วมกับหน่วยงานภาคีแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย ซึ่งนับตั้งแต่เดือนต.ค.59 จนถึงสิ้นเดือนต.ค. 64 สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบที่กระทำผิดกฎหมายจำนวนสะสม 10,257 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 163 ราย
น.ส.
สภัทร์พร กล่าวว่า ภาพรวมการประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2564 มีจำนวนผู้ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และเปิดดำเนินการแล้วสะสมสุทธิ 1,018 ราย ใน 75 จังหวัด ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบธุรกิจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 593 ราย รองลงมา ได้แก่ ภาคกลาง 174 ราย ภาคเหนือ 133 ราย ภาคตะวันออก 66 รายและภาคใต้ 52 ราย โดยมีการอนุมัติสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้กับประชาชนรายย่อยไปแล้ว 1.13 ล้านบัญชี รวมวงเงิน 16,112.41 ล้านบาท
ทั้งนี้ สินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์ ณ สิ้นเดือนต.ค.64 มีจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์สะสมสุทธิทั้งสิ้น 888 ราย ใน 74 จังหวัด และมีจำนวนผู้เปิดดำเนินการแล้ว 867 ราย ใน 74 จังหวัด ส่วนสินเชื่อประเภทพิโกพลัส มีจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกพลัสสะสมสุทธิทั้งสิ้น 168 ราย ใน 50 จังหวัด และมีจำนวนผู้เปิดดำเนินการแล้ว 151 ราย ใน 46 จังหวัด
ทำไปก็ไม่เจริญ! สารวัตรนํ้าดีตบะแตก สับโผโยกย้ายทิ้งทวน ก่อนยื่นใบลาออก
https://www.dailynews.co.th/news/557611/
สารวัตรจาก จ.ราชบุรี ตบะแตก โพสต์จวกเละโผโยกย้ายประจำปี "คนทำงานไม่เจริญ คนเจริญไม่ทำงาน นี่มันอาชีพส้นxxอะไรครับ" ก่อนยื่นขอลาออก ด้านผู้บังคับบัญชาระบุเป็นเรื่องจริง เผยเป็นตำรวจนํ้าดีที่ชาวบ้านรักและมีความรับผิดชอบสูง
จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊ก “Buri Amornpichit” ซึ่งทราบต่อมาคือ พ.ต.ท.
บุรี อมรพิชิต ตำแหน่ง สว.อก.สภ.กรับใหญ่ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. ว่า
“สงสารคนทำงานที่ผิดหวังกับการแต่งตั้ง คนที่โดนย้ายไปไกลบ้าน มีทุกปี ไม่ว่าจะยุคไหน ทำปากดีพูดนโยบายสวยเลิศเลอ ไหนจะลูกเมีย พ่อแม่ที่แก่ชราต้องดูแลชีวิตปกติที่เปลี่ยนไป แค่ปลายปากกา กระเด็นกระดอน ทุกปีสองปี นโยบายปัจจุบันด้วย ไปไหนไม่ได้ประชุมกันทุกวัน งานนอกหน้าที่เยอะ คนออกนโยบายคนสั่งห่วย จะเอาเวลาที่ไหนกลับมาดูแลครอบครัว คนทำงานไม่เจริญ คนเจริญไม่ทำงาน นี่มันอาชีพส้นxxอะไรครับ (ที่กล่าวมาแค่ยิบย่อย) # ลาออกสิครับรอxxอะไร # ตบะ-ูเริ่มแตก”
หลังกองสารนิเทศ ตร.ได้เผยแพร่คำสั่งแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ระดับ สว.-รอง ผกก. โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 ธ.ค. 64
ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวได้เข้าพบกับ พ.ต.อ.
วีระศักดิ์ กลั่นเกิด ผกก.สภ.กรับใหญ่ เพื่อสอบถามเรื่องราวดังกล่าว พร้อมกล่าวว่า ขณะนี้ พ.ต.ท.
บุรี อยู่ระหว่างลาราชการ โดยเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. ที่ผ่านมา พ.ต.ท.
บุรี ได้มายื่นหนังสือขอลาออกจากข้าราชการจริง และกำลังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบรออนุมัติหนังสือลาออก ส่วนสาเหตุที่ขอลาออกนั้น จากการพูดคุยกับ พ.ต.ท.
บุรี ได้ให้เหตุผลว่า คุณแม่ของ พ.ต.ท.
บุรี ซึ่งมีอายุ 81 ปี ได้ล้มป่วย จะต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ประกอบกับต้องการไปช่วยทำธุรกิจของครอบครัว
พ.ต.อ.
วีระศักดิ์ กล่าวต่อว่า เนื่องจากตนเพิ่งย้ายเข้ามารับตำแหน่ง ผกก.สภ.กรับใหญ่ เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมา จึงยังไม่มีโอกาสใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.
บุรี แต่จากการสอบถามเพื่อนร่วมงาน และผู้ใต้บังคับบัญชา ทราบว่า พ.ต.ท.
บุรี นั้นเป็นที่รักของเพื่อนตำรวจและชาวบ้าน ด้วยเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงและจริงจังในการทำงาน อีกทั้งยังสนใจในเรื่องของธรรมะ นอกจากการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสารวัตรฝ่ายอำนายการแล้ว ยังลงพื้นที่ร่วมกิจกรรมสร้างมวลชนสัมพันธ์ ใกล้ชิดกับชาวบ้านอีกด้วย
ทั้งนี้ ภายหลังจากทที่ พ.ต.ท.
บุรี ได้โพสต์ระบายความรู้สึกผ่านเฟซบุ๊กไป ทำให้เกิดความคิดเห็นต่างๆ นานา ถึงระบบการโยกย้ายข้าราชการตำรวจ โดยล่าสุด พ.ต.ท.บุรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวอีกครั้งว่า
“ขอบคุณทุกท่านที่ให้กำลังใจ มีบางท่านไม่รู้จักกันก็ยังโทรฯ มาให้กำลังใจ ฝากเพื่อนพี่น้อง ที่อยู่ในอาชีพตำรวจต่อไป ขอให้อยู่บนพื้นฐานของความจริงใจ รักลูกน้องเสมือนเขาเป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติเรา ให้ความเป็นธรรมกับเขา ใช้พระคุณ ดีกว่าพระเดช ชาวบ้านเขาไม่ต้องการอะไรจากตำรวจ แค่เกิดเหตุตามจับคนร้ายให้เขาได้ มีเหตุไประงับให้เขาโดยไว ให้ความเป็นธรรม เป็นมิตร ไม่รังแก ไม่แสวงหาผลประโยชน์จากเขา เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว นายที่ดีไม่สร้างงานให้ลูกน้องโดยไม่จำเป็น ถามให้เยอะๆ นโยบายที่ออกมาตำรวจเราได้อะไร ประชาชนได้อะไร ได้จริงไหมหรือแค่วาดฝัน หรือมีผลงานไว้แค่โชว์สื่อหรือต่อรองเก้าอี้เท่านั้น หาประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมไม่ได้ อยู่ให้เป็นตำนาน อย่าอยู่ให้เขาสาปแช่งไปวันๆ ครับ”
สำหรับประวัติ พ.ต.ท.
บุรี อมรพิชิต เริ่มรับราชการตำรวจในระดับชั้นประทวน เมื่อปี พ.ศ.2541 ต่อมาปี พ.ศ.2547 ได้สอบเลื่อนเป็นตำรวจชั้นสัญญาบัตร โดยปฏิบัติหน้าที่สายงานด้านปราบปรามและสืบสวนในพื้นที่ภาค 7 ก่อนจะย้ายมาดำรงตำแหน่ง สารวัตรอำนวยการ ที่ สภ.กรับใหญ่ เมื่อปี 2562 และตัดสินใจโพสต์ระบายความในใจ ก่อนยื่นใบลาออกดังกล่าว ทั้งที่ยังคงเหลืออายุราชการอีกกว่า 10 ปี.
https://www.facebook.com/buri.amornpichit/posts/4580906611945691
https://www.facebook.com/buri.amornpichit/posts/4585984221437930
JJNY : 4in1 สภาถกด่วน‘จะนะรักษ์ถิ่น’│พิโกไฟแนนซ์ หนี้เสียพุ่ง858 ล.│สารวัตรนํ้าดีตบะแตก│แจง ปมปล่อยศพยายติดโควิด
https://www.matichon.co.th/politics/news_3080261
สภาถกญัตติด่วน แก้ปัญหาเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น พร้อมเสนอทบทวนโครงการนิคมจะนะ ก่อนส่งให้ รบ.พิจารณา
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณาญัตติด่วน จำนวน 5 ญัตติ ของ ส.ส.จากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.), พรรคประชาชาติ (ปช.), พรรคก้าวไกล (ก.ก.), พรรคภูมิใจไทย (ภท.) และพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เพื่อให้สภาตั้งกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญตรวจสอบการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าสลายการชุมนุมเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2564 เและให้ตรวจสอบโครงการจะนะ เมืองต้นแบบนิคมอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต ทั้งนี้ มีข้อเสนอให้รื้อกระบวนการจัดสร้างนิคมฯจะนะใหม่ เพื่อให้เกิดการรับฟังประชาชนอย่างรอบด้าน
ในช่วงหนึ่งของการอภิปรายเสนอญัตติ ผู้เสนอญัตติเห็นตรงกันว่าการใช้กำลังเจ้าหน้าที่รัฐเข้าสลายการชุมนุมของเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น 6 ธ.ค.64 ที่หน้าทำเนียบรัฐบาลเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ และไม่เคารพต่อการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ชุมนุมโดยสงบ เพราะพบการกระทำที่รุนแรง ใช้กำลังกับผู้ชุมนุม และพบการปิดกั้นการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน
ขณะที่การเดินหน้าโครงการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมจะนะนั้น พบว่ามีความเคลื่อนไหวของกลุ่มทุนที่เตรียมจัดเวทีประชาพิจารณ์ในพื้นที่ช่วงปลายเดือนธันวาคม ถือเป็นความไม่ชอบมาพากล และเป็นการจัดเวทีที่เชื่อว่าไม่รอบด้าน มีการจัดตั้งประชาชนเข้าร่วม ดังนั้น จึงเรียกร้องให้รัฐบาลสั่งการให้ยุติ และทบทวน พร้อมกับศึกษาโครงการให้รอบด้านอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ผู้อภิปรายได้อภิปรายครบถ้วนแล้ว นายอาดิลัน อาลีอิสเฮาะ ส.ส.ยะลา พรรค พปชร. ในฐานะผู้เสนอญัตติ กล่าวปิดท้ายว่า ตนเห็นถึงความจำเป็นและความต้องการของ ส.ส.ต้องการตรวจสอบตำรวจ ผู้ใดสั่งการสลายการชุมนุมหากพบผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย หรือการกระทำเกินกว่าเหตุ เกินความจำเป็นขอให้ลงโทษทางอาญาและดำเนินการลงโทษทางวินัย พร้อมกับทบทวนนิคมอุตสาหกรรมจะนะเพราะพบพิรุธและข้อเท็จจริง หากรัฐบาลเห็นว่าจะนะเป็นคนไทย ต้องพิจารณาตามข้อเสนอที่สภาจะเสนอต่อไป
จากนั้นนายชวนกล่าวว่า ในการเสนอญัตติดังกล่าวไม่มีผู้ที่คัดค้าน ดังนั้น จะขอใช้ข้อบังคับเพื่อส่งญัตติดังกล่าวให้รัฐบาลรับไปพิจารณา จากนั้นได้ปิดประชุมในเวลา 20.17 น.
คลังเผย สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ หนี้เสียพุ่ง 858 ล้านบาท
https://www.prachachat.net/finance/news-818449
คลังเผยเดือน ก.ย. 64 สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ หนี้เสียพุ่ง 858 ล้านบาท ผู้ประกอบการช่วยพักหนี้บรรเทาผลกระทบโควิดแล้ว 23,172 บัญชี
วันที่ 9 ธันวาคม 2564 น.ส.สภัทร์พร ธรรมาภรณ์พิลาศ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า
ผลดำเนินงานธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ตั้งแต่เดือนธ.ค.59 จนถึงสิ้นเดือน ก.ย. 64 มียอดสินเชื่อคงค้างจำนวนทั้งสิ้น 222,920 บัญชี วงเงิน 4,620 ล้านบาท ในจำนวนนี้มีสินเชื่อค้างชำระ 1 – 3 เดือน สะสมรวมทั้งสิ้น 29,571 บัญชี หรือคิดเป็นจำนวนเงินสะสมรวม 629.44 ล้านบาท หรือ 13.62% ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม
และมีสินเชื่อค้างชำระที่เกินกว่า 3 เดือน (เอ็นพีแอล) สะสมรวมจำนวน 36,524 บัญชี หรือคิดเป็นจำนวนเงินสะสมรวม 858.11 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 18.57%ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม เพิ่มจากเดือนส.ค.64 ที่มีหนี้เสีย 30,365 บัญชี วงเงิน 796 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาคลังร่วมผู้ประกอบการ ออกมาตรการช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด ให้กับลูกหนี้ ทั้งการลดค่างวด การขยายระยะเวลาการชำระหนี้ การเปลี่ยนประเภทหนี้จากระยะสั้นเป็นระยะยาว การพักชำระค่างวด การพักชำระเงินต้นและจ่ายดอกเบี้ยบางส่วน และการพักชำระเงินต้นและลดอัตราดอกเบี้ย สามารถช่วยเหลือลูกหนี้จำนวนสะสมทั้งสิ้น 23,172 บัญชี โดยจังหวัดที่ให้ความช่วยเหลือสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา 50 ราย ขอนแก่น 32 ราย และกรุงเทพมหานคร 24 ราย
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังคงดำเนินการร่วมกับหน่วยงานภาคีแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย ซึ่งนับตั้งแต่เดือนต.ค.59 จนถึงสิ้นเดือนต.ค. 64 สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบที่กระทำผิดกฎหมายจำนวนสะสม 10,257 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 163 ราย
น.ส.สภัทร์พร กล่าวว่า ภาพรวมการประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2564 มีจำนวนผู้ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และเปิดดำเนินการแล้วสะสมสุทธิ 1,018 ราย ใน 75 จังหวัด ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบธุรกิจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 593 ราย รองลงมา ได้แก่ ภาคกลาง 174 ราย ภาคเหนือ 133 ราย ภาคตะวันออก 66 รายและภาคใต้ 52 ราย โดยมีการอนุมัติสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้กับประชาชนรายย่อยไปแล้ว 1.13 ล้านบัญชี รวมวงเงิน 16,112.41 ล้านบาท
ทั้งนี้ สินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์ ณ สิ้นเดือนต.ค.64 มีจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์สะสมสุทธิทั้งสิ้น 888 ราย ใน 74 จังหวัด และมีจำนวนผู้เปิดดำเนินการแล้ว 867 ราย ใน 74 จังหวัด ส่วนสินเชื่อประเภทพิโกพลัส มีจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกพลัสสะสมสุทธิทั้งสิ้น 168 ราย ใน 50 จังหวัด และมีจำนวนผู้เปิดดำเนินการแล้ว 151 ราย ใน 46 จังหวัด
ทำไปก็ไม่เจริญ! สารวัตรนํ้าดีตบะแตก สับโผโยกย้ายทิ้งทวน ก่อนยื่นใบลาออก
https://www.dailynews.co.th/news/557611/
สารวัตรจาก จ.ราชบุรี ตบะแตก โพสต์จวกเละโผโยกย้ายประจำปี "คนทำงานไม่เจริญ คนเจริญไม่ทำงาน นี่มันอาชีพส้นxxอะไรครับ" ก่อนยื่นขอลาออก ด้านผู้บังคับบัญชาระบุเป็นเรื่องจริง เผยเป็นตำรวจนํ้าดีที่ชาวบ้านรักและมีความรับผิดชอบสูง
จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊ก “Buri Amornpichit” ซึ่งทราบต่อมาคือ พ.ต.ท.บุรี อมรพิชิต ตำแหน่ง สว.อก.สภ.กรับใหญ่ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. ว่า
“สงสารคนทำงานที่ผิดหวังกับการแต่งตั้ง คนที่โดนย้ายไปไกลบ้าน มีทุกปี ไม่ว่าจะยุคไหน ทำปากดีพูดนโยบายสวยเลิศเลอ ไหนจะลูกเมีย พ่อแม่ที่แก่ชราต้องดูแลชีวิตปกติที่เปลี่ยนไป แค่ปลายปากกา กระเด็นกระดอน ทุกปีสองปี นโยบายปัจจุบันด้วย ไปไหนไม่ได้ประชุมกันทุกวัน งานนอกหน้าที่เยอะ คนออกนโยบายคนสั่งห่วย จะเอาเวลาที่ไหนกลับมาดูแลครอบครัว คนทำงานไม่เจริญ คนเจริญไม่ทำงาน นี่มันอาชีพส้นxxอะไรครับ (ที่กล่าวมาแค่ยิบย่อย) # ลาออกสิครับรอxxอะไร # ตบะ-ูเริ่มแตก”
หลังกองสารนิเทศ ตร.ได้เผยแพร่คำสั่งแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ระดับ สว.-รอง ผกก. โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 ธ.ค. 64
ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวได้เข้าพบกับ พ.ต.อ.วีระศักดิ์ กลั่นเกิด ผกก.สภ.กรับใหญ่ เพื่อสอบถามเรื่องราวดังกล่าว พร้อมกล่าวว่า ขณะนี้ พ.ต.ท.บุรี อยู่ระหว่างลาราชการ โดยเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. ที่ผ่านมา พ.ต.ท.บุรี ได้มายื่นหนังสือขอลาออกจากข้าราชการจริง และกำลังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบรออนุมัติหนังสือลาออก ส่วนสาเหตุที่ขอลาออกนั้น จากการพูดคุยกับ พ.ต.ท.บุรี ได้ให้เหตุผลว่า คุณแม่ของ พ.ต.ท.บุรี ซึ่งมีอายุ 81 ปี ได้ล้มป่วย จะต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ประกอบกับต้องการไปช่วยทำธุรกิจของครอบครัว
พ.ต.อ.วีระศักดิ์ กล่าวต่อว่า เนื่องจากตนเพิ่งย้ายเข้ามารับตำแหน่ง ผกก.สภ.กรับใหญ่ เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมา จึงยังไม่มีโอกาสใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.บุรี แต่จากการสอบถามเพื่อนร่วมงาน และผู้ใต้บังคับบัญชา ทราบว่า พ.ต.ท.บุรี นั้นเป็นที่รักของเพื่อนตำรวจและชาวบ้าน ด้วยเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงและจริงจังในการทำงาน อีกทั้งยังสนใจในเรื่องของธรรมะ นอกจากการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสารวัตรฝ่ายอำนายการแล้ว ยังลงพื้นที่ร่วมกิจกรรมสร้างมวลชนสัมพันธ์ ใกล้ชิดกับชาวบ้านอีกด้วย
ทั้งนี้ ภายหลังจากทที่ พ.ต.ท.บุรี ได้โพสต์ระบายความรู้สึกผ่านเฟซบุ๊กไป ทำให้เกิดความคิดเห็นต่างๆ นานา ถึงระบบการโยกย้ายข้าราชการตำรวจ โดยล่าสุด พ.ต.ท.บุรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวอีกครั้งว่า
“ขอบคุณทุกท่านที่ให้กำลังใจ มีบางท่านไม่รู้จักกันก็ยังโทรฯ มาให้กำลังใจ ฝากเพื่อนพี่น้อง ที่อยู่ในอาชีพตำรวจต่อไป ขอให้อยู่บนพื้นฐานของความจริงใจ รักลูกน้องเสมือนเขาเป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติเรา ให้ความเป็นธรรมกับเขา ใช้พระคุณ ดีกว่าพระเดช ชาวบ้านเขาไม่ต้องการอะไรจากตำรวจ แค่เกิดเหตุตามจับคนร้ายให้เขาได้ มีเหตุไประงับให้เขาโดยไว ให้ความเป็นธรรม เป็นมิตร ไม่รังแก ไม่แสวงหาผลประโยชน์จากเขา เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว นายที่ดีไม่สร้างงานให้ลูกน้องโดยไม่จำเป็น ถามให้เยอะๆ นโยบายที่ออกมาตำรวจเราได้อะไร ประชาชนได้อะไร ได้จริงไหมหรือแค่วาดฝัน หรือมีผลงานไว้แค่โชว์สื่อหรือต่อรองเก้าอี้เท่านั้น หาประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมไม่ได้ อยู่ให้เป็นตำนาน อย่าอยู่ให้เขาสาปแช่งไปวันๆ ครับ”
สำหรับประวัติ พ.ต.ท.บุรี อมรพิชิต เริ่มรับราชการตำรวจในระดับชั้นประทวน เมื่อปี พ.ศ.2541 ต่อมาปี พ.ศ.2547 ได้สอบเลื่อนเป็นตำรวจชั้นสัญญาบัตร โดยปฏิบัติหน้าที่สายงานด้านปราบปรามและสืบสวนในพื้นที่ภาค 7 ก่อนจะย้ายมาดำรงตำแหน่ง สารวัตรอำนวยการ ที่ สภ.กรับใหญ่ เมื่อปี 2562 และตัดสินใจโพสต์ระบายความในใจ ก่อนยื่นใบลาออกดังกล่าว ทั้งที่ยังคงเหลืออายุราชการอีกกว่า 10 ปี.
https://www.facebook.com/buri.amornpichit/posts/4580906611945691
https://www.facebook.com/buri.amornpichit/posts/4585984221437930