.
Psycho G
อย่าดื่มฉันเลยนะคะที่รัก
ก็อย่างผมที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด พวกหมอไม่เชื่อเรื่องที่ผมเล่า จะว่าไปไม่ใช่เพียงพวกหมอ ที่ไม่เชื่อ.... ใครๆ ก็คงไม่อยากเชื่อ....และหาว่าผมบ้า พวกหมอบ้า....หรือไม่ก็ผมนั่นละ ที่บ้า....หรือไม่...คุณนั่นละที่บ้า..
บ้าก็บ้าวะ...
ความจริงแล้วผมจะบ้าจริง หรือไม่จริง ผมเองก็ไม่อยากจะรู้คำตอบ เพราะมันไม่สำคัญอะไรมากนัก แต่ผมก็ยินดีจะเขียนบอกเล่าเรื่องราวให้พวกคุณได้อ่านกัน
“อย่ากินฉันเลยนะคะ...”
เสียงหวานใสดังเต็มรูหูอย่างชัดเจน ผมสะดุ้ง มองซ้ายมองขวาอย่างแปลกใจ แต่ไม่มีใครอยู่แถวนั้นเลย แล้วใครกัน เป็นเจ้าของคำพูดนั้น
“ปล่อยให้ฉันละลาย ตายไปเอง ตามธรรมชาตินะคะ”
เสียงนั้นตอกย้ำซ้ำเติมมาอีก สวนสาธารณะแถวนี้ มีผมนั่งอยู่บนเก้าอี้หินอ่อนใต้ร่มไม้เพียงลำพัง เฝ้ามองเด็ก ๆ วิ่งเล่นกันตามสนามหญ้า อยู่ไกลออกไปอย่างเพลิดเพลิน
“คุณอยู่ไหน....” ผมถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจมากกว่าจะหวาดกลัว เพราะไม่ใช่คนกลัวผีในเวลากลางวัน หรือบางทีอาจเป็นเพียงอาการประหลอนฟั่นเฟือน
“ฉันอยู่นี่ค่ะ”
เสียงดังมาจากข้างหน้านี่เอง ผมก้มลงมองถ้วยน้ำแข็งในมือ เสียงดังมาจากถ้วยน้ำแข็งที่เหลืออยู่ในถ้วยเกินครึ่ง น้ำแข็งปกติจะเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแต่เวลานี้มันหลอม รวมกันกลายเป็นก้อนขนาดใหญ่อย่างน่าประหลาดใจ
น้ำแข็งพูดได้....
โลกทั้งโลกเหมือนหยุดนิ่งกะทันหัน ใช่แล้ว.....เสียงลึกลับนั่นดังมาจากก้อนน้ำแข็ง...เป็นไปได้อย่างไร ผมเกือบจะขว้างถ้วยน้ำแข็งทิ้งเสียแล้วแต่อะไรบางอย่างมารั้งความคิด และการกระทำเอาไว้
ก้อนน้ำแข็งผีสิง....นั่นคือความคิดวูบแรก แต่ไม่น่าเป็นไปได้เพราะคงไม่มีผีที่ไหน คิดสั้นมาสิงสู่อยู่ในก้อนน้ำแข็ง
“นี่มันไม่จริงใช่ไหม.....น้ำแข็งพูดได้”
ผมครางเหมือนคนป่วยหนัก เบิกตากว้าง จ้องมองก้อนน้ำแข็งอย่างไม่กะพริบ ทุกอย่างเลือนหายไป เหลือแต่ก้อนน้ำแข็งใสผิวเป็นประกายเบื้องหน้า
“แล้วอะไรคือความจริงล่ะคะ...” เสียงหวานใสของน้ำแข็งย้อนถาม
“ความจริงคือคนพูดได้ แต่ก้อนน้ำแข็งพูดไม่ได้ หรือความจริงคือคนพูดไม่ได้ แต่น้ำแข็งพูดได้ เอ๊ะ...หรือว่าความจริงแล้วทั้งคนและน้ำแข็งพูดได้.....หรือว่าเรากำลังเป็นบ้าคะ”
ผมใช้เวลานานหลายนาที กว่าจะรวบรวมความคิดอันกระเจิดกระเจิงให้กลับมาเข้ารูปเข้ารอย และเริ่มพูดโต้ตอบกับน้ำแข็งอย่างระมัดระวัง ถ้ามีใครสักคนมาอยู่ข้าง คงต้องหาว่าผมบ้าอย่างไม่ต้องสงสัย
“ถ้าจะมีใครสักคนบ้า ควรจะเป็นผมมากกว่า เพราะก้อนน้ำแข็งคงบ้าไม่เป็น มีอย่างที่ไหน ก้อนน้ำแข็งเป็นบ้า...”
“คุณอย่าคิดเข้าข้างตัวเองหรือจำกัดสิทธิคนอื่นคะ...ความบ้าไม่เข้าใครออกใคร ไม่ว่าใครหรืออะไรก็มีสิทธิบ้าเท่าเทียมกันนะคะ”
“คุณเอ่อ....คุณน้ำแข็ง....เรื่องนั้นช่างเถอะ.แค่นี้ก็บ้ามากพออยู่แล้ว คงไม่ต้องยกระดับความบ้าขึ้นไปอีกนะครับ ว่าแต่ฟังการพูดจาแล้ว คุณเป็นก้อนน้ำแข็งเพศหญิงหรือครับ”
“ใช่คะ....ฉันเป็นน้ำแข็งผู้หญิง ในโลกของพวกเรา ฉันน่ารักมากทีเดียว แต่เมื่อครู่คุณคิดจะกินฉันจริง ๆ หรือคะ”
คิดจะกินหรือ.....ความจริงไม่เห็นต้องคิดเลย เพราะปกติเมื่อดูดน้ำอัดลมจนหมดแก้ว งานสำคัญต่อไป คือการจัดการกับน้ำแข็งที่เหลือไม่เห็นต้องคิดสักหน่อย แต่เหตุการณ์ไม่ธรรมดาเสียแล้วถ้าก้อนน้ำแข็งพูดได้ แถมยังมีเพศเสียด้วย ต่อไป ไก่ย่างคงลุกออกจากไม้ปิ้งมาเต้นรำได้
“ตกลงผมไม่กินคุณก็ได้....แล้วจะให้ผมทำอย่างไร”
“ปล่อยให้ฉันละลายไปเอง นั่นคือธรรมชาติของพวกเรา พวกเราชาวน้ำแข็งเกิดมา เพื่อการหลอมละลายอยู่แล้ว”
“เอ่อ.....แล้วพวกคุณเจ็บปวดบ้างไหม กับการหลอมละลาย” ผมเริ่มวิตกกังวลกับสติของตัวเอง
“ก็มีบ้างเป็นธรรมดาค่ะ แต่มันเป็นธรรมชาติของพวกเรา คงเหมือนที่พวกมนุษย์ตายนั่นละค่ะ ตายตามธรรมชาติหรือถูกฆาตกรรม พวกเราอย่างไรก็อยากเลือกที่จะละลายตามธรรมชาติมากกว่าถูกกิน ถือว่าเป็นการละลายอย่างสงบสุขค่ะ”
ให้ตายผมก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่า ชาตินี้จะได้มีโอกาสมาพูดคุยกับน้ำแข็ง มันเป็นเวลาบ่าย อากาศค่อนข้างร้อนทำให้เริ่มนึกเป็นห่วงน้ำแข็งเธออาจละลายเร็วก่อนวัยอันควร
หันมองรอบบริเวณอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ โชคดีว่าไม่มีใครอยู่ใกล้เคียง สวนสาธารณะผู้คนมักอยู่กันเป็นกลุ่ม และไม่สนใจใคร ผู้คนเหล่านั้นปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการทางการงานชั่วคราว เด็กๆพากันวิ่งเล่นกันรอบ ๆ สระน้ำขนาดใหญ่ ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม หนุ่มสาวหลายคู่นั่งคุยกันอย่างมีความสุข คนแก่กลุ่มหนึ่งกำลังมวยไท้เก๊กด้วยลีลาอันน่าทึ่งเห็นจนชินตา แต่วันนี้มีอะไรแปลกออกไป
ก้อนน้ำแข็งเจ้าปัญหานั่นละ ที่ทำให้มึนงงสงสัย แบบสุดบรรยาย
“คุณมีชื่อไหม.....” ผมเอ่ยถามอีก ขณะประคองถ้วยน้ำแข็งอย่างระมัดระวังจนเกินความจำเป็นผิดมนุษย์
“มีสิคะ..พวกเรามีชื่อในแบบฉบับของพวกเรา คุณคงฟังแล้วงง เอาเป็นว่า คุณเรียกฉันว่า ไอซ์ ก็แล้วนะคะ”
“ครับ คุณไอซ์....”
ตอบไปแล้วก็ให้รู้สึกงงกับตัวเอง ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างไม่กระจ่างชัดผมคงคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป หรือกำลังบ้าไป แต่มันชัดเจนเหลือกัน พวกเราคุ้นเคยกันอย่างรวดเร็วและเริ่มพูดคุยกันอย่างถูกคอ แต่เวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน เธอละลายเป็นน้ำก้อนเล็กลงทุกที นั่นเองทำให้ผมเริ่มกระสับกระส่าย กับคนจริงหลายคนคุยกันมาค่อนชีวิตยังไม่คุ้นเคยไว้ใจสนิทสนมแบบน้ำแข็งเลย
คุณอย่าเพิ่งละลายได้ไหม...
มันเรื่องบ้าอะไรกัน
“คุณกำลังจะละลายหมดแล้ว” ผมบอกด้วยน้ำเสียงบอกอาการวิตกกังวลอย่างชัดเจน แต่ไอซ์กลับตอบด้วยน้ำเสียงไม่วิตกทุกข์ร้อนเลยสักนิดว่า
“ไม่เป็นไรค่ะ......เมื่อเกิดเป็นน้ำแข็งก็ทำใจได้แล้วค่ะ”
“คุณกำลังจะตายนะ......”
“ค่ะ ฉันรู้...เกิดมาแล้วก็ต้องตาย ตายเพราะให้รู้สึกว่าชีวิตสำคัญไงคะ ดีใจที่ได้รู้จักกับคุณค่ะ และขอบคุณที่ไม่กินฉัน”
“ผมจะช่วยคุณได้ยังไง”
ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกว่าก้อนน้ำแข็งกำลังส่ายหน้า มันช่างเป็นความรู้สึกแปลกประหลาดพิสดารเหลือเกิน เพราะน้ำแข็งไม่ได้มีหน้าตาแบบมนุษย์ แต่ทำไมถึงนึกภาพแบบนั้นขึ้นมาในจิตใจก็ไม่อาจทราบได้
“แค่นี้ก็พอแล้วค่ะ...พวกเราคุยกันรู้จักกันไม่นาน แต่บางทีก็มีค่ามากมายนะคะ ช่วงเวลาไม่สำคัญหรอกค่ะ สำคัญที่การเข้าใจกันมากกว่า”
ช่างน่าแปลกเหลือเกิน....หลายครั้งผมพูดคุยกับมนุษย์ด้วยกันไม่รู้เรื่องทั้งที่พูดคุยกันด้วยภาษาเดียวกัน แต่กับก้อนน้ำแข็งเราพูดคุยสื่อสารกันอย่างเข้าอกเข้าใจกัน เธอกำลังละลายใกล้หมดแล้ว เธอกำลังจะตายในแบบฉบับของเธอ ผมรู้สึกใจหายวูบ
ไม่นะ.....ผมคร่ำครวญรวดร้าว
เพื่อนแรก รู้จักได้ไม่นาน กำลังจะละลายตายไปต่อหน้าต่อตา มันช่างโหดร้ายกับความรู้สึกเหลือเกิน
จบบทที่หนึ่ง
โปรดติดตาม ตอนจบ ในบทหน้า เด้อครับ
อย่าดื่มกินฉันเลยนะคะ...ที่รัก...1/2
Psycho G
อย่าดื่มฉันเลยนะคะที่รัก
ก็อย่างผมที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด พวกหมอไม่เชื่อเรื่องที่ผมเล่า จะว่าไปไม่ใช่เพียงพวกหมอ ที่ไม่เชื่อ.... ใครๆ ก็คงไม่อยากเชื่อ....และหาว่าผมบ้า พวกหมอบ้า....หรือไม่ก็ผมนั่นละ ที่บ้า....หรือไม่...คุณนั่นละที่บ้า..
บ้าก็บ้าวะ...
ความจริงแล้วผมจะบ้าจริง หรือไม่จริง ผมเองก็ไม่อยากจะรู้คำตอบ เพราะมันไม่สำคัญอะไรมากนัก แต่ผมก็ยินดีจะเขียนบอกเล่าเรื่องราวให้พวกคุณได้อ่านกัน
“อย่ากินฉันเลยนะคะ...”
เสียงหวานใสดังเต็มรูหูอย่างชัดเจน ผมสะดุ้ง มองซ้ายมองขวาอย่างแปลกใจ แต่ไม่มีใครอยู่แถวนั้นเลย แล้วใครกัน เป็นเจ้าของคำพูดนั้น
“ปล่อยให้ฉันละลาย ตายไปเอง ตามธรรมชาตินะคะ”
เสียงนั้นตอกย้ำซ้ำเติมมาอีก สวนสาธารณะแถวนี้ มีผมนั่งอยู่บนเก้าอี้หินอ่อนใต้ร่มไม้เพียงลำพัง เฝ้ามองเด็ก ๆ วิ่งเล่นกันตามสนามหญ้า อยู่ไกลออกไปอย่างเพลิดเพลิน
“คุณอยู่ไหน....” ผมถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจมากกว่าจะหวาดกลัว เพราะไม่ใช่คนกลัวผีในเวลากลางวัน หรือบางทีอาจเป็นเพียงอาการประหลอนฟั่นเฟือน
“ฉันอยู่นี่ค่ะ”
เสียงดังมาจากข้างหน้านี่เอง ผมก้มลงมองถ้วยน้ำแข็งในมือ เสียงดังมาจากถ้วยน้ำแข็งที่เหลืออยู่ในถ้วยเกินครึ่ง น้ำแข็งปกติจะเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแต่เวลานี้มันหลอม รวมกันกลายเป็นก้อนขนาดใหญ่อย่างน่าประหลาดใจ
น้ำแข็งพูดได้....
โลกทั้งโลกเหมือนหยุดนิ่งกะทันหัน ใช่แล้ว.....เสียงลึกลับนั่นดังมาจากก้อนน้ำแข็ง...เป็นไปได้อย่างไร ผมเกือบจะขว้างถ้วยน้ำแข็งทิ้งเสียแล้วแต่อะไรบางอย่างมารั้งความคิด และการกระทำเอาไว้
ก้อนน้ำแข็งผีสิง....นั่นคือความคิดวูบแรก แต่ไม่น่าเป็นไปได้เพราะคงไม่มีผีที่ไหน คิดสั้นมาสิงสู่อยู่ในก้อนน้ำแข็ง
“นี่มันไม่จริงใช่ไหม.....น้ำแข็งพูดได้”
ผมครางเหมือนคนป่วยหนัก เบิกตากว้าง จ้องมองก้อนน้ำแข็งอย่างไม่กะพริบ ทุกอย่างเลือนหายไป เหลือแต่ก้อนน้ำแข็งใสผิวเป็นประกายเบื้องหน้า
“แล้วอะไรคือความจริงล่ะคะ...” เสียงหวานใสของน้ำแข็งย้อนถาม
“ความจริงคือคนพูดได้ แต่ก้อนน้ำแข็งพูดไม่ได้ หรือความจริงคือคนพูดไม่ได้ แต่น้ำแข็งพูดได้ เอ๊ะ...หรือว่าความจริงแล้วทั้งคนและน้ำแข็งพูดได้.....หรือว่าเรากำลังเป็นบ้าคะ”
ผมใช้เวลานานหลายนาที กว่าจะรวบรวมความคิดอันกระเจิดกระเจิงให้กลับมาเข้ารูปเข้ารอย และเริ่มพูดโต้ตอบกับน้ำแข็งอย่างระมัดระวัง ถ้ามีใครสักคนมาอยู่ข้าง คงต้องหาว่าผมบ้าอย่างไม่ต้องสงสัย
“ถ้าจะมีใครสักคนบ้า ควรจะเป็นผมมากกว่า เพราะก้อนน้ำแข็งคงบ้าไม่เป็น มีอย่างที่ไหน ก้อนน้ำแข็งเป็นบ้า...”
“คุณอย่าคิดเข้าข้างตัวเองหรือจำกัดสิทธิคนอื่นคะ...ความบ้าไม่เข้าใครออกใคร ไม่ว่าใครหรืออะไรก็มีสิทธิบ้าเท่าเทียมกันนะคะ”
“คุณเอ่อ....คุณน้ำแข็ง....เรื่องนั้นช่างเถอะ.แค่นี้ก็บ้ามากพออยู่แล้ว คงไม่ต้องยกระดับความบ้าขึ้นไปอีกนะครับ ว่าแต่ฟังการพูดจาแล้ว คุณเป็นก้อนน้ำแข็งเพศหญิงหรือครับ”
“ใช่คะ....ฉันเป็นน้ำแข็งผู้หญิง ในโลกของพวกเรา ฉันน่ารักมากทีเดียว แต่เมื่อครู่คุณคิดจะกินฉันจริง ๆ หรือคะ”
คิดจะกินหรือ.....ความจริงไม่เห็นต้องคิดเลย เพราะปกติเมื่อดูดน้ำอัดลมจนหมดแก้ว งานสำคัญต่อไป คือการจัดการกับน้ำแข็งที่เหลือไม่เห็นต้องคิดสักหน่อย แต่เหตุการณ์ไม่ธรรมดาเสียแล้วถ้าก้อนน้ำแข็งพูดได้ แถมยังมีเพศเสียด้วย ต่อไป ไก่ย่างคงลุกออกจากไม้ปิ้งมาเต้นรำได้
“ตกลงผมไม่กินคุณก็ได้....แล้วจะให้ผมทำอย่างไร”
“ปล่อยให้ฉันละลายไปเอง นั่นคือธรรมชาติของพวกเรา พวกเราชาวน้ำแข็งเกิดมา เพื่อการหลอมละลายอยู่แล้ว”
“เอ่อ.....แล้วพวกคุณเจ็บปวดบ้างไหม กับการหลอมละลาย” ผมเริ่มวิตกกังวลกับสติของตัวเอง
“ก็มีบ้างเป็นธรรมดาค่ะ แต่มันเป็นธรรมชาติของพวกเรา คงเหมือนที่พวกมนุษย์ตายนั่นละค่ะ ตายตามธรรมชาติหรือถูกฆาตกรรม พวกเราอย่างไรก็อยากเลือกที่จะละลายตามธรรมชาติมากกว่าถูกกิน ถือว่าเป็นการละลายอย่างสงบสุขค่ะ”
ให้ตายผมก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่า ชาตินี้จะได้มีโอกาสมาพูดคุยกับน้ำแข็ง มันเป็นเวลาบ่าย อากาศค่อนข้างร้อนทำให้เริ่มนึกเป็นห่วงน้ำแข็งเธออาจละลายเร็วก่อนวัยอันควร
หันมองรอบบริเวณอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ โชคดีว่าไม่มีใครอยู่ใกล้เคียง สวนสาธารณะผู้คนมักอยู่กันเป็นกลุ่ม และไม่สนใจใคร ผู้คนเหล่านั้นปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการทางการงานชั่วคราว เด็กๆพากันวิ่งเล่นกันรอบ ๆ สระน้ำขนาดใหญ่ ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม หนุ่มสาวหลายคู่นั่งคุยกันอย่างมีความสุข คนแก่กลุ่มหนึ่งกำลังมวยไท้เก๊กด้วยลีลาอันน่าทึ่งเห็นจนชินตา แต่วันนี้มีอะไรแปลกออกไป
ก้อนน้ำแข็งเจ้าปัญหานั่นละ ที่ทำให้มึนงงสงสัย แบบสุดบรรยาย
“คุณมีชื่อไหม.....” ผมเอ่ยถามอีก ขณะประคองถ้วยน้ำแข็งอย่างระมัดระวังจนเกินความจำเป็นผิดมนุษย์
“มีสิคะ..พวกเรามีชื่อในแบบฉบับของพวกเรา คุณคงฟังแล้วงง เอาเป็นว่า คุณเรียกฉันว่า ไอซ์ ก็แล้วนะคะ”
“ครับ คุณไอซ์....”
ตอบไปแล้วก็ให้รู้สึกงงกับตัวเอง ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างไม่กระจ่างชัดผมคงคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป หรือกำลังบ้าไป แต่มันชัดเจนเหลือกัน พวกเราคุ้นเคยกันอย่างรวดเร็วและเริ่มพูดคุยกันอย่างถูกคอ แต่เวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน เธอละลายเป็นน้ำก้อนเล็กลงทุกที นั่นเองทำให้ผมเริ่มกระสับกระส่าย กับคนจริงหลายคนคุยกันมาค่อนชีวิตยังไม่คุ้นเคยไว้ใจสนิทสนมแบบน้ำแข็งเลย
คุณอย่าเพิ่งละลายได้ไหม...
มันเรื่องบ้าอะไรกัน
“คุณกำลังจะละลายหมดแล้ว” ผมบอกด้วยน้ำเสียงบอกอาการวิตกกังวลอย่างชัดเจน แต่ไอซ์กลับตอบด้วยน้ำเสียงไม่วิตกทุกข์ร้อนเลยสักนิดว่า
“ไม่เป็นไรค่ะ......เมื่อเกิดเป็นน้ำแข็งก็ทำใจได้แล้วค่ะ”
“คุณกำลังจะตายนะ......”
“ค่ะ ฉันรู้...เกิดมาแล้วก็ต้องตาย ตายเพราะให้รู้สึกว่าชีวิตสำคัญไงคะ ดีใจที่ได้รู้จักกับคุณค่ะ และขอบคุณที่ไม่กินฉัน”
“ผมจะช่วยคุณได้ยังไง”
ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกว่าก้อนน้ำแข็งกำลังส่ายหน้า มันช่างเป็นความรู้สึกแปลกประหลาดพิสดารเหลือเกิน เพราะน้ำแข็งไม่ได้มีหน้าตาแบบมนุษย์ แต่ทำไมถึงนึกภาพแบบนั้นขึ้นมาในจิตใจก็ไม่อาจทราบได้
“แค่นี้ก็พอแล้วค่ะ...พวกเราคุยกันรู้จักกันไม่นาน แต่บางทีก็มีค่ามากมายนะคะ ช่วงเวลาไม่สำคัญหรอกค่ะ สำคัญที่การเข้าใจกันมากกว่า”
ช่างน่าแปลกเหลือเกิน....หลายครั้งผมพูดคุยกับมนุษย์ด้วยกันไม่รู้เรื่องทั้งที่พูดคุยกันด้วยภาษาเดียวกัน แต่กับก้อนน้ำแข็งเราพูดคุยสื่อสารกันอย่างเข้าอกเข้าใจกัน เธอกำลังละลายใกล้หมดแล้ว เธอกำลังจะตายในแบบฉบับของเธอ ผมรู้สึกใจหายวูบ
ไม่นะ.....ผมคร่ำครวญรวดร้าว
เพื่อนแรก รู้จักได้ไม่นาน กำลังจะละลายตายไปต่อหน้าต่อตา มันช่างโหดร้ายกับความรู้สึกเหลือเกิน
จบบทที่หนึ่ง
โปรดติดตาม ตอนจบ ในบทหน้า เด้อครับ