*** เข้าใจ Woke ใน 15 นาที ***

ถ้าท่านผู้อ่านติดตามข่าวความเคลื่อนไหวในสหรัฐในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จะเห็นว่ามีกระแสหนึ่งที่มีข่าวคราวออกมาอย่างต่อเนื่อง นั่นก็คือ กระแสที่เรียกว่า “Woke”

Woke คือ การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของสังคม เพื่อขจัดการกดขี่กันในทางเพศหรือสีผิว ตลอดจนลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ พวกเขาเหล่านี้มีหลายจำพวก แต่ที่มีชื่อเสียงเช่น กลุ่มแบล็กไลฟ์แมตเตอร์ หรือแอนตีฟา

คำว่า Woke นี้แปลตามตัวอักษรว่า “ตื่น” แต่พวกเขา “ตื่น” ขึ้นจากอะไร? และการต่อสู้ของพวกเขามีประวัติความเป็นมาอย่างไรบ้าง? บทความนี้จะพาทุกท่านไปหาคำตอบครับ


*** จุดเริ่มต้นของการ “ตื่น” ***

สหรัฐเป็นประเทศที่มีปัญหาภายในหลายประการย ปัญหาที่ขึ้นชื่อมากเช่นปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างคนผิวขาวและผิวดำ, การเลือกปฏิบัติทั้งทางเพศและสีผิว, ไปจนถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ซึ่ง Woke เป็นกระแสที่เกิดขึ้นต่อต้านสิ่งเหล่านี้

จริงๆ Woke ไม่ใช่เรื่องใหม่ ตั้งแต่ช่วงปี 1930s เคยมีศิลปินผิวดำที่ออกมาบอกคนผิวดำด้วยกันว่า “Stay Woke” เป็นการสร้างความตระหนักถึงปัญหาทางสังคมและการเมือง โดยเฉพาะเรื่องเหยียดผิว


ภาพแนบ: ผู้ประท้วง Woke

 ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 เกิดปัญหาการกระทำเกินกว่าเหตุของตำรวจต่อคนผิวดำอยู่หลายคดี โดยเฉพาะเหตุที่ “ไมเคิล บราวน์ จูเนียร์” หนุ่มอเมริกันผิวดำวัย 18 ปี ถูกดาร์เรน วิลสัน ตำรวจผิวขาวยิงเสียชีวิตในเมืองเฟอร์กูสัน รัฐมิสซูรี เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2014 ทำให้คนกลุ่มหนึ่งเกิดความตื่นตัวและคิดอ่านหาทางแก้ไขปัญหาเหล่านี้

คำว่า “Woke” ในที่นี้จึงหมายถึงพวกเขาได้ตื่นขึ้นจากการหลับใหลแล้ว และจะไม่ปล่อยให้สังคมมากดทับพวกเขาอีกต่อไป


ภาพแนบ: เกรต้า ธุนเบิร์ก นักเคลื่อนไหวอายุเพียง 18 ปี

ต่อมากระแส Woke ได้ปริวรรตเป็นกระแสการเมืองฝ่ายซ้ายสายหนึ่ง ซึ่งให้ความสนใจกับปัญหาการเลือกปฏิบัติทางเพศ อัตลักษณ์ และฐานะ นอกจากนั้นยังมุ่งเน้นลดความรุนแรงของตำรวจ และในช่วงหลังได้เพิ่มประเด็นทางเศรษฐกิจเข้าไปด้วย

...ปัจจุบันผู้ที่ยึดเอาอุดมการณ์ Woke มักอยู่ในรุ่นมิลเลเนียล หรือคนที่เกิดหลังกลางทศวรรษ 1990s เป็นต้นมา


ภาพแนบ: ส่วนหนึ่งของโฆษณารับสมัครกำลังพลของกองทัพสหรัฐซึ่งมีเป้าหมายที่เจเนอเรชั่น Woke

 ในที่นี้ผมจะขอแยกอธิบายประเด็นการเรียกร้องของกลุ่ม Woke ออกเป็น 3 เรื่องใหญ่ๆ ที่มีการพูดถึงอย่างกว้างขวาง (ซึ่งจริงๆ มีมากกว่านี้มาก) คือ:

- ความเท่าเทียมระหว่างสีผิว
- ความเท่าเทียมทางเพศ
- ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม


ภาพแนบ: การชุมนุมของกลุ่ม BLM

 *** Woke กลุ่มเรียกร้องความเท่าเทียมระหว่างสีผิว ***

กลุ่มที่มักถูกมองเชื่อมโยงกับคำว่า Woke มากที่สุด คือ กลุ่มที่เรียกร้องความเท่าเทียมระหว่างสีผิว โดยมีกลุ่ม แบล็กไลฟส์แมตเตอร์ (Black Lives Matter) หรือแปลว่า “ชีวิตคนดำก็มีความหมาย” เป็นแกนหลัก

กลุ่มนี้พยายามชี้ประเด็นการใช้กำลังรุนแรงเกินกว่าเหตุของตำรวจ, เหตุฆาตกรรมคนผิวดำ ตลอดจนการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทางอาญาในสหรัฐ กลุ่มนี้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2012 แต่เพิ่งมาดังก็พร้อมกับกระแส Woke จากคดีไมเคิล บราวน์ในปี 2014


ภาพแนบ: การประท้วงของแคเปอร์นิก

กระแสนี้ยังได้รับการขานรับจากผู้มีชื่อเสียงในสังคม โดยเฉพาะหลังจาก คอลิน แคเปอร์นิก (Colin Kaepernick) นักกีฬาอเมริกันฟุตบอล รณรงค์เรื่องนี้ด้วยวิธีการคุกเข่าระหว่างเปิดเพลงชาติ ทำให้เกิดปฏิกิริยาทั้งแง่บวกและแง่ลบอย่างกว้างขวาง

กลุ่มนี้ใช้วิธีการประท้วงหรือจัดการเดินขบวนอยู่เรื่อยๆ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ ซึ่งการประท้วงส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 93 เป็นไปโดยสงบ แต่บางทีก็บานปลายจนเป็นการก่อจลาจล การปล้นสะดมและการทำลายทรัพย์สินได้เหมือนกัน

 
ภาพแนบ: การประท้วงเรียกร้องให้ตัดงบตำรวจ

และในช่วงหลังมานี้ กลุ่มแบล็กไลฟส์แมตเตอร์และกลุ่มเพื่อคนผิวดำอื่นๆ ได้สร้างข้อเรียกร้องใหม่ที่มีสโลแกนว่า “Defund the Police” หรือแปลว่า “ตัดงบตำรวจ” โดยระบุว่า เนื่องจากที่ผ่านมาตำรวจมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม จึงควรลดงบตำรวจแล้วไปเพิ่มสวัสดิการอื่นๆ เพื่อลดอาชญากรรมตั้งแต่ต้นเหตุ เช่น การเพิ่มงบที่อยู่อาศัย, การศึกษา, การจ้างงาน, ความยากจน, และปัญหาทางจิต เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อนำข้อเรียกร้องของกลุ่มนี้ไปปฏิบัติจริงในบางท้องที่ กลับพบว่ามีอาชญากรรมเพิ่มขึ้นแทน มิหนำซ้ำยังเป็นอาชญากรรมต่อกลุ่มคนดำเสียด้วย ข้อเรียกร้องนี้จึงไม่ได้รับความนิยมและถูกโจมตีมาก


ภาพแนบ: สมาชิกแอนตีฟา

อีกกลุ่มหนึ่งที่มีแนวคิดต่อต้านการเหยียดผิว (แม้ไม่ค่อยถูกเชื่อมโยงกับคำว่า Woke) นั่นก็คือ กลุ่มแอนตีฟา (Antifa)
แอนตีฟามาจากคำว่า ต่อต้านฟาสซิสต์ (anti-fascist) กลุ่มนี้จะตอบโต้การเติบโตของพวกนีโอนาซี, พวกเชื่อว่าคนขาวเป็นใหญ่ (white supremacist), และกลุ่มขวาจัดอื่นๆ เช่น ขวาทางเลือก (alt-right)

กลุ่มนี้มีความพิเศษ เนื่องจากแนวคิดของพวกเขามีหลายเฉดเป็นอย่างยิ่ง มีตั้งแต่ต่อต้านฟาสซิสต์ธรรมดา จนถึงพวกซ้ายจัด คือ ต่อต้านทุนนิยม ต่อต้านประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง ต่อต้านรัฐ ไปจนกระทั่งเป็นพวกสังคมนิยม คอมมิวนิสต์ หรือไม่ก็อนาธิปไตย

ภาพแนบ: ภาพจากคลิปที่แอนตีฟาต่อยหน้าของริชาร์ด สเปนเซอร์ ซึ่งเป็นพวกขวาจัดคนหนึ่ง หลังก่อนหน้านี้สเปนเซอร์เรียกร้องให้มี “การกวาดล้างเชื้อชาติอย่างสันติ”

กลุ่มแอนตีฟาเป็นกลุ่มที่พร้อมชนกับตำรวจ (เพราะมองว่าตำรวจอารักขาพวกขวาจัดหรือบางทีก็เป็นพวกเดียวกัน) และพร้อมตีกับพวกขวาจัดดังที่กล่าวมา โดยเฉพาะเมื่อพวกขวาจัดอเมริกากล้าแสดงออกมากขึ้นหลังโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2016

แม้ว่าแอนตีฟาจะถูกพวกฝ่ายขวา หรือฝ่ายซ้ายกลางโจมตีว่าเป็นพวกหัวรุนแรงและก่อการร้ายแต่นักวิชาการบางคนมองว่าความนิยมของแอนตีฟามาจากการเติบโตของพวกขวาจัดก่อน และยังชี้ว่าการเทียบแอนตีฟาว่าเหมือนกับนีโอนาซีเป็นเหตุผลวิบัติอย่างหนึ่ง เพราะความรุนแรงที่เกิดจาก 2 ฝ่ายนี้ไม่เท่ากัน


ภาพแนบ: การประท้วงเรียกร้องให้จ่ายเงินชดเชยทายาทของทาสผิวดำ 
 
 ยังมีประเด็นที่กลุ่มเรียกร้องความเท่าเทียมระหว่างสีผิวชูมีอีกหลายประเด็น อย่างเช่น:

1) แนวคิดเอกสิทธิ์ของคนขาว (white privilege) ที่บอกว่าเป็นคนขาว “สบาย” กว่าคนดำในหลายเรื่อง
2) แนวคิดเรื่องเชื้อชาติแบบวิพากษ์ (critical race theory) ซึ่งชี้ให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมของสหรัฐมีการเลือกปฏิบัติต่อคนผิวดำตลอดมา
3) แนวคิดรัฐบาลควรจ่ายเงินชดเชยให้แก่คนดำที่ทำให้พวกเขาตกเป็นทาส (slavery reparations)
4) การเรียกร้องให้เลิกเชิดชูและการทำลายรูปปั้นของบุคคลในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการมีทาสมาก่อน

นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่แนวคิดดังกล่าวเข้าไปแทรกแซงหลายๆ วงการ เช่นแทรกแซงวงการบันเทิงให้มีการเพิ่มบทนักแสดงผิวดำมากขึ้นนั่นเอง


ภาพแนบ: การประท้วงของเฟมินิสต์ระลอกแรก 
 
*** Woke กลุ่มเรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศ ***

Woke กลุ่มต่อมาที่ผมจะกล่าวถึง คือ กลุ่มเรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศ ซึ่งหลักประกอบด้วยเฟมินิสต์กับกลุ่มสิทธิ LGBTQ

เริ่มจากกลุ่มเฟมินิสต์ กลุ่มนี้เรียกร้องให้สังคมมีความเท่าเทียมกันระหว่างชายและหญิง ...ดังนั้นในความหมายนี้ผู้ชายก็เป็นเฟมินิสต์ได้ อย่างกระแส men’s liberation ที่ชูประเด็นว่าผู้ชายก็ตกเป็นเหยื่อของกรอบบทบาททางเพศตามขนบธรรมเนียม ก็อาจจัดได้ว่าเป็นเฟมินิสต์เช่นกัน


การเคลื่อนไหวเฟมินิสต์นี้ให้ผลดีหลายอย่างต่อสังคม ทั้งสิทธิเลือกตั้ง สิทธิการถือครองทรัพย์สิน สิทธิได้รับการว่าจ้าง สิทธิสมรส ล้วนเป็นผลมาจากกระบวนการเรียกร้องของเฟมินิสต์ระลอกแรก (first wave feminism) ช่วงต้นศตวรรษที่ 20
แม้ความสำเร็จของเฟมินิสต์ระลอกแรกจะได้รับการยกย่องโดยทั่วไป แต่หลังจากนั้นมากระแสเฟมินิสต์ได้ถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับจุดประสงค์และวิธีการมากขึ้น 


ภาพแนบ: การประท้วงเรียกร้องสิทธิทำแท้งปลอดภัย 
 
กระแสเฟมินิสต์ระลอกสองที่เริ่มขึ้นในทศวรรษ 1960s ได้ครอบคลุมถึงประเด็นที่หลากหลายขึ้น เช่น สิทธิการทำแท้ง, ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว, การถูกคู่รักของตัวเองข่มขืน เป็นต้น จะเห็นว่าเรื่องเหล่านี้แม้ยังคงเป็นที่ถกเถียงและต่อสู้กันมาถึงปัจจุบัน

แม้ว่าข้อเรียกร้องเหล่านี้จะดูแล้วเป็นสิ่งดีและสมเหตุสมผลที่จะเรียกร้อง แต่เฟมินิสต์เหล่านี้ก็ยังได้รับเสียงวิจารณ์ ซึ่งบางทีก็มาจากคนบางกลุ่มในสังคมที่ยังหัวโบราณ หรือเพราะเป็นเรื่องที่มีความกำกวมทางศีลธรรม

ในหมู่เฟมินิสต์ยังมีความขัดแย้งกันเอง เช่นเฟมินิสต์กลุ่มหนึ่งชี้ว่าการทำแท้งเป็นการฆาตกรรม ขณะที่บางกลุ่มมองว่าการทำแท้งเป็นสิทธิที่ผู้หญิงควรมี


ภาพแนบ: การประท้วงกระแส MeToo 

สำหรับเฟมินิสต์ระลอกสามที่เกิดขึ้นในทศวรรษ 1980s เป็นกลุ่มที่มีความเห็นแตกออกจากเฟมินิสต์ระลอกสอง เพราะมองว่าเฟมินิสต์ระลอกสองมุ่งไปยังหญิงผิวขาวเป็นหลัก และยังมีหลักคิดแบบชี้นำว่าอะไรควรไม่ควร จึงแยกออกมาตั้งแนวคิดที่เน้นความเชื่อของปัจเจกมากขึ้น

และกระแสที่มาแรงสำหรับเฟมินิสต์ระลอกสี่ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 2010s คือขบวนการ MeToo ที่หญิงหลายคนออกมาเปิดโปงว่าตนเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศจากคนมีชื่อเสียงผ่านช่องทางออนไลน์ เฟมินิสต์บางคนได้เรียกร้องให้สังคมเชื่อเรื่องเล่าของหญิงเหล่านี้เพราะเชื่อว่าไม่น่าจะมีคนโกหก

แต่หลายครั้งกระแสนี้ก็ทำให้ผู้ถูกกล่าวหาหลายคนต้องหมดอนาคตในอาชีพการงาน ทั้งที่ยังไม่ถูกตัดสิน จึงเกิดคำถามว่านี่เป็นการลัดกระบวนการยุติธรรมหรือเปล่า?


ภาพแนบ: ผู้หญิงควรมีสิทธิ์เลือกเองได้ หรือผู้หญิงไม่ควรเป็นโสเภณีตั้งแต่แรก? 
 
นอกจากนี้ยังมีประเด็นปลีกย่อยที่เฟมินิสต์มองว่าผู้ชายทำ เช่น menspreading หรือการที่ผู้ชายบางคนนั่งถ่างขากว้างไปกินที่คนอื่น, mansplaining ที่ผู้ชายอธิบายเรื่องที่ผู้หญิงมักเข้าใจดีอยู่แล้ว ในลักษณะที่มองว่าผู้หญิงไม่ฉลาดเท่าตน, หรือการให้ใช้สรรพนามที่ไม่ระบุเพศ เพื่อไม่ให้เกิดการกดทับทางเพศ

ในหมู่เฟมินิสต์เองก็มีความเห็นไม่ตรงกันในบางประเด็นเหมือนที่ผ่านมา เช่น เรื่องการประกวดความงามหรือการค้าบริการทางเพศ ด้านหนึ่งก็มองว่าเพศหญิงถูกทำให้เป็นวัตถุทางเพศ แต่อีกด้านหนึ่งก็มองว่าถ้าหญิงคนนั้นเลือกเองก็ไม่ควรจะไปก้าวก่าย

*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่