หลังจากที่ได้แชร์วิธีทำแยมกุหลาบไปแล้วเมื่อกระทู้ก่อนหน้านี้
วันนี้จะพาทำน้ำกุหลาบ ซึ่งหลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่า ดอกกุหลาบมีวิตามินและแร่ธาตุมากมาย ถึงขนาดที่อุตสาหกรรมเครื่องสำอางทั่วโลกนำไปใช้กัน โดยสิ่งที่จะมาแชร์กันในวันนี้คือ จุดเริ่มต้นของการสกัดประโยชน์ต่างๆ ออกจากกลีบกุหลาบ
โดยที่เราสามารถทำเองได้ที่บ้าน เริ่มจาก
- ต้องมีดอกกุหลาบออแกนิคก่อนเลยเป็นอันดับแรก ใครปลูกไว้เองได้ หรือมีอยู่แล้วโดยไม่ฉีดยาฆ่าแมลงให้ใช้ดอกเหล่านั้น ส่วนใครที่ไม่มี แล้วอยากลองทำ จึงต้องหาซื้อดอกกุหลาบแนะนำให้หาร้านที่เชื่อใจกันได้จริงๆ นะคะ เพราะกุหลาบที่จะนำมาใช้จำเป็นต้องไม่มียาฆ่าแมลง เพราะเมื่อทำเสร็จ เราจะนำมาใช้เองกับผิวของเราจริงๆ ซึ่งอาจมีอาการแพ้หรือระคายเคืองได้หากมีสารที่เป็นพิษอยู่ที่กลีบดอกค่ะ
-ต่อมาแกะกลีบดอกออกเป็นกลีบๆ ไม่เอาเกสรนะคะ แล้วนำไปล้างอีกทีเพื่อให้แน่ใจว่า ไม่มีแมลงใดๆ แอบซ่อนอยู่ตามกลีบดอกแต่ละกลีบค่ะ
-ถัดมานำหม้อขนาดใหญ่ตั้งเตาไฟ
-แล้วให้วางถ้วย 2 ใบลงตรงกลางหม้อนั้น โดยถ้วยใบแรกที่วางลงในหม้อให้วางในลักษณะคว่ำ แล้ววางถ้วยใบที่สองในลักษณะหงายบนถ้วยที่ 1 ใครงงให้คลิกลิ้งค์นี้ค่ะ เพื่อเข้าไปดูตามวีดีโอ
https://youtu.be/X6hIIkXS8gQ
-ลำดับต่อมาโรยกลีบกุหลาบที่เด็ดและทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วรอบๆถ้วยในหม้อต้มนั้นตามภาพด้านบน
-เทน้ำกลั่นลงในหม้อ ในปริมาณสูงเท่ากับความสูงของกลีบดอกที่อยู่ในหม้อต้มนั้นค่ะ (กลีบดอกจะลอยขึ้นเมื่อเราใส่น้ำก็ให้กะเอานะคะ ไม่ต้องกดกลีบดอกให้จมน้ำนะคะ เพราะจะเป็นการทำให้น้ำมันในกลีบดอกติดออกมาที่มือเราค่ะ)
-ปิดฝาหม้อ โดยให้ปิดในลักษณะหงายฝาหม้อต้มนั้น หากจุกที่จับฝาหม้อของใครเป็นพลาสติกให้ถอดออกนะคะ เพราะกระบวนการนี้จำเป็นต้องบริสุทธิ์และปราศจากสารเคมีใดๆ หรือแม้กระทั่งน็อตที่จุกจับฝากหม้อนั้นเป็นสนิมก็ให้ถอดออกด้วยเช่นกันค่ะ
-เปิดไฟแก๊สเริ่มกระบวนการกลั่นและต้มกันค่ะ
-ระหว่างการรอให้เกิดหยดน้ำเกาะที่ฝาหม้อตามภาพด้านบนนั้น ให้นำน้ำแข็งก้อนใส่ในถุงซิปล็อคเตรียมไว้
-เมื่อเกิดหยดน้ำเกาะที่ฝาหม้อตามภาพแล้ว ให้วางถุงซิปล็อคที่มีน้ำแข็งนั้นลงบนฝาหม้อต้ม เพื่อช่วยเร่งกระบวนการกลั่นตัวของหยดน้ำนั่นเอง (ภาพประกอบด้านล่าง)
-ต้ม 30 นาที (หากเกิดน้ำปุดๆ ระหว่างการต้ม ให้ลดไฟลงไปที่อ่อนสุด เพื่อไม่ให้ถ้วยเกิดการผลิกค่ะ) แล้วปิดไฟแก๊ส แต่ยังคงวางน้ำแข็งลงบนฝาหม้อไปจนกว่าหม้อจะเย็นค่ะ ถ้าน้ำแข็งละลายหมดก่อน สามารถเติมน้ำแข็งใหม่ในถุงซิปล็อคแล้ววางไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสิ้นสุดกระบวนกลั่น นั่นคือตอนที่ทุกอย่างเย็นหมดแล้วนั่นเอง
-หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนต้มและกลั่นแล้ว เมื่อเปิดฝาหม้อขึ้นมาเราจะพบว่า กลีบดอกเปลี่ยนสีเป็นซีดลง โดยที่สีของกลีบดอกทั้งหมดนั้นได้ไปอยู่ในน้ำที่ต้มแล้ว ซึ่งสีน้ำจะเปลี่ยนเป็นสีตามกลีบดอกที่เราใช้ ซึ่งน้ำนี้ชื่อภาษาอังกฤษคือ Rose infused Water บางคนก็เรียกว่า Rose tea หรือบางคนก็เรียก Rose Water
-และในถ้วยบนสุด จะมีน้ำใสๆ อยู่ในปริมาณไม่มาก ซึ่งน้ำใสๆ เหล่านี้ได้มาจากกระบวนการกลั่นตัวของน้ำสะอาด ควบรวมกับน้ำมันหอมระเหยที่ออกมาจากกลีบดอกตอนที่ต้ม ซึ่งน้ำใสๆ อันนี้ชื่อในภาษาอังกฤษคือ Rose Hydrosol ไม่มีคำแปลภาษาไทย แต่พี่โอ๋ขอเรียกว่า "น้ำกุหลาบบริสุทธิ์" ละกันนะคะเพราะกระบวนการที่ได้มามันบริสุทธิ์มาก หรือฝรั่งเองจะเรียกว่า Rose Water อีกเหมือนกันก็มี
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า เจ้าน้ำใสๆ ในถ้วยจะมีปริมาณน้อยมากเมื่อเทียบกับน้ำสีๆ ที่อยู่ในหม้อต้ม จึงเป็นที่มาว่าทำไม Rose Hydrosol จึงมีราคาแพงสูงลิบลิ่วเมื่อเทียบกับน้ำกุหลาบในหม้อต้ม เพราะนอกจากปริมาณที่ได้มาน้อยแล้วนั้น รวมถึงว่ายังมีความบริสุทธิ์กว่าด้วยกระบวนการที่ได้มาอีกด้วย เรียกง่ายๆ ว่า ต้องใช้กุหลาบออแกนิคเป็นพันๆ ดอกจึงจะได้น้ำกุหลาบบริสุทธิ์นี้มา 1 ขวด
ดังนั้น น้ำกุหลาบบริสุทธิ์นี้ จึงถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง (ประหนึ่งว่าหัวเชื้อ) เพราะด้วยราคาและปริมาณที่กว่าจะได้มานั่นเอง
ส่วนน้ำกุหลาบสีๆ นั้น จะถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางด้วยเหมือนกัน แต่ยังนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกด้วย เช่น การทำอาหาร เป็นต้น
น้ำกุหลาบถือเป็นโทนเนอร์จากธรรมชาติ มีคุณสมบัติในการช่วยลดอาการระเคืองต่างๆ ของผิว มีแอนตี้ออกซิไดซ์ และอื่นๆ อีกมากมาย จึงเป็นที่นิยมของวงการความสวยความงาม
หลังทำเสร็จให้เก็บใส้ขวดทึบแสง แต่หากไม่มีขวดสีชา หรือขวดทึบแสงแบบพี่โอ๋ ก็ให้เก็บขวดใสที่มีน้ำกุหลาบอยู่ในตู้ทึบแสงแทนได้ค่ะ ยิ่งถ้าสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้ก็ยิ่งดี เพราะบ้านเราที่ไทยอุณหภูมิจะสูงกว่าต่างประเทศ
หากเก็บรักษาได้ถูกวิธีตามที่บอกไป จะสามารถอยู่ได้ถึง 6 เดือน โดยไม่ต้องใส่สารเคมีวัตถุกันเสียแต่อย่างใดเลย
ทั้งนี้ หลังถ่ายภาพนี้เสร็จ พี่โอ๋ก็เปลี่ยนใจ นำน้ำกุหลาบไปใส่ไว้ในขวดสเปรย์ เพราะต้องการนำไปสเปรย์หน้า ก่อนการทาครีมบำรุงในทุกๆวันค่ะ นอกจากกลิ่นกุหลาบที่หอมเป็นเอกลักษณ์ของดอกไม้ชนิดนี้แล้ว ยังได้ความชุ่มชื้น รวมถึงให้ความรู้สึกถึงผิวที่นุ่มลงอีกด้วยค่ะ
ส่วนน้ำกุหลาบที่ได้มาจากการต้มนั้น พี่โอ๋นำไปใช้ผสมอาหารมาแล้ว 1 เมนู และยังมีเหลืออีกเยอะมากกกกกก ซึ่งกำลังหาวิธีแปรรูป หรือนำไปใช้แบบอื่นๆ ต่อไป หากได้ลองทำสำเร็จเมื่อไหร่ จะนำมาแชร์ให้ทราบกันอีกครั้งนะคะ
และหากใครอ่านยาวๆ จนงง แนะนำให้เข้าไปดูวิธีทำในวีดีโอ 4 นาทีกว่าๆ ไม่ยาวมาก แค่วีดีโอเดียวจบ มีครบทั้งซับไทย-ลาว-อังกฤษ และอื่นๆ อีกเกือบๆ 30 ภาษาให้เลือกกัน ตามลิ้งค์นี้นะคะ
https://youtu.be/X6hIIkXS8gQ
พบกันใหม่เมื่อหาวิธีนำน้ำกุหลาบสีชมพูนี้ไปทำอย่างอื่นอย่างใดได้ค่ะ ขอบที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ด้วยค่ะ สวัสดีค่าาาา
น้ำกุหลาบคืออะไร และวิธีทำน้ำกุหลาบทำอย่างไร เครื่องประทินผิวจากธรรมชาติ คุณค่าที่เราคู่ควร 555
วันนี้จะพาทำน้ำกุหลาบ ซึ่งหลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่า ดอกกุหลาบมีวิตามินและแร่ธาตุมากมาย ถึงขนาดที่อุตสาหกรรมเครื่องสำอางทั่วโลกนำไปใช้กัน โดยสิ่งที่จะมาแชร์กันในวันนี้คือ จุดเริ่มต้นของการสกัดประโยชน์ต่างๆ ออกจากกลีบกุหลาบ
โดยที่เราสามารถทำเองได้ที่บ้าน เริ่มจาก
- ต้องมีดอกกุหลาบออแกนิคก่อนเลยเป็นอันดับแรก ใครปลูกไว้เองได้ หรือมีอยู่แล้วโดยไม่ฉีดยาฆ่าแมลงให้ใช้ดอกเหล่านั้น ส่วนใครที่ไม่มี แล้วอยากลองทำ จึงต้องหาซื้อดอกกุหลาบแนะนำให้หาร้านที่เชื่อใจกันได้จริงๆ นะคะ เพราะกุหลาบที่จะนำมาใช้จำเป็นต้องไม่มียาฆ่าแมลง เพราะเมื่อทำเสร็จ เราจะนำมาใช้เองกับผิวของเราจริงๆ ซึ่งอาจมีอาการแพ้หรือระคายเคืองได้หากมีสารที่เป็นพิษอยู่ที่กลีบดอกค่ะ
-ต่อมาแกะกลีบดอกออกเป็นกลีบๆ ไม่เอาเกสรนะคะ แล้วนำไปล้างอีกทีเพื่อให้แน่ใจว่า ไม่มีแมลงใดๆ แอบซ่อนอยู่ตามกลีบดอกแต่ละกลีบค่ะ
-ถัดมานำหม้อขนาดใหญ่ตั้งเตาไฟ
-แล้วให้วางถ้วย 2 ใบลงตรงกลางหม้อนั้น โดยถ้วยใบแรกที่วางลงในหม้อให้วางในลักษณะคว่ำ แล้ววางถ้วยใบที่สองในลักษณะหงายบนถ้วยที่ 1 ใครงงให้คลิกลิ้งค์นี้ค่ะ เพื่อเข้าไปดูตามวีดีโอ https://youtu.be/X6hIIkXS8gQ
-ลำดับต่อมาโรยกลีบกุหลาบที่เด็ดและทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วรอบๆถ้วยในหม้อต้มนั้นตามภาพด้านบน
-เทน้ำกลั่นลงในหม้อ ในปริมาณสูงเท่ากับความสูงของกลีบดอกที่อยู่ในหม้อต้มนั้นค่ะ (กลีบดอกจะลอยขึ้นเมื่อเราใส่น้ำก็ให้กะเอานะคะ ไม่ต้องกดกลีบดอกให้จมน้ำนะคะ เพราะจะเป็นการทำให้น้ำมันในกลีบดอกติดออกมาที่มือเราค่ะ)
-ปิดฝาหม้อ โดยให้ปิดในลักษณะหงายฝาหม้อต้มนั้น หากจุกที่จับฝาหม้อของใครเป็นพลาสติกให้ถอดออกนะคะ เพราะกระบวนการนี้จำเป็นต้องบริสุทธิ์และปราศจากสารเคมีใดๆ หรือแม้กระทั่งน็อตที่จุกจับฝากหม้อนั้นเป็นสนิมก็ให้ถอดออกด้วยเช่นกันค่ะ
-เปิดไฟแก๊สเริ่มกระบวนการกลั่นและต้มกันค่ะ
-ระหว่างการรอให้เกิดหยดน้ำเกาะที่ฝาหม้อตามภาพด้านบนนั้น ให้นำน้ำแข็งก้อนใส่ในถุงซิปล็อคเตรียมไว้
-เมื่อเกิดหยดน้ำเกาะที่ฝาหม้อตามภาพแล้ว ให้วางถุงซิปล็อคที่มีน้ำแข็งนั้นลงบนฝาหม้อต้ม เพื่อช่วยเร่งกระบวนการกลั่นตัวของหยดน้ำนั่นเอง (ภาพประกอบด้านล่าง)
-ต้ม 30 นาที (หากเกิดน้ำปุดๆ ระหว่างการต้ม ให้ลดไฟลงไปที่อ่อนสุด เพื่อไม่ให้ถ้วยเกิดการผลิกค่ะ) แล้วปิดไฟแก๊ส แต่ยังคงวางน้ำแข็งลงบนฝาหม้อไปจนกว่าหม้อจะเย็นค่ะ ถ้าน้ำแข็งละลายหมดก่อน สามารถเติมน้ำแข็งใหม่ในถุงซิปล็อคแล้ววางไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสิ้นสุดกระบวนกลั่น นั่นคือตอนที่ทุกอย่างเย็นหมดแล้วนั่นเอง
-หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนต้มและกลั่นแล้ว เมื่อเปิดฝาหม้อขึ้นมาเราจะพบว่า กลีบดอกเปลี่ยนสีเป็นซีดลง โดยที่สีของกลีบดอกทั้งหมดนั้นได้ไปอยู่ในน้ำที่ต้มแล้ว ซึ่งสีน้ำจะเปลี่ยนเป็นสีตามกลีบดอกที่เราใช้ ซึ่งน้ำนี้ชื่อภาษาอังกฤษคือ Rose infused Water บางคนก็เรียกว่า Rose tea หรือบางคนก็เรียก Rose Water
-และในถ้วยบนสุด จะมีน้ำใสๆ อยู่ในปริมาณไม่มาก ซึ่งน้ำใสๆ เหล่านี้ได้มาจากกระบวนการกลั่นตัวของน้ำสะอาด ควบรวมกับน้ำมันหอมระเหยที่ออกมาจากกลีบดอกตอนที่ต้ม ซึ่งน้ำใสๆ อันนี้ชื่อในภาษาอังกฤษคือ Rose Hydrosol ไม่มีคำแปลภาษาไทย แต่พี่โอ๋ขอเรียกว่า "น้ำกุหลาบบริสุทธิ์" ละกันนะคะเพราะกระบวนการที่ได้มามันบริสุทธิ์มาก หรือฝรั่งเองจะเรียกว่า Rose Water อีกเหมือนกันก็มี
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า เจ้าน้ำใสๆ ในถ้วยจะมีปริมาณน้อยมากเมื่อเทียบกับน้ำสีๆ ที่อยู่ในหม้อต้ม จึงเป็นที่มาว่าทำไม Rose Hydrosol จึงมีราคาแพงสูงลิบลิ่วเมื่อเทียบกับน้ำกุหลาบในหม้อต้ม เพราะนอกจากปริมาณที่ได้มาน้อยแล้วนั้น รวมถึงว่ายังมีความบริสุทธิ์กว่าด้วยกระบวนการที่ได้มาอีกด้วย เรียกง่ายๆ ว่า ต้องใช้กุหลาบออแกนิคเป็นพันๆ ดอกจึงจะได้น้ำกุหลาบบริสุทธิ์นี้มา 1 ขวด
ดังนั้น น้ำกุหลาบบริสุทธิ์นี้ จึงถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง (ประหนึ่งว่าหัวเชื้อ) เพราะด้วยราคาและปริมาณที่กว่าจะได้มานั่นเอง
ส่วนน้ำกุหลาบสีๆ นั้น จะถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางด้วยเหมือนกัน แต่ยังนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกด้วย เช่น การทำอาหาร เป็นต้น
น้ำกุหลาบถือเป็นโทนเนอร์จากธรรมชาติ มีคุณสมบัติในการช่วยลดอาการระเคืองต่างๆ ของผิว มีแอนตี้ออกซิไดซ์ และอื่นๆ อีกมากมาย จึงเป็นที่นิยมของวงการความสวยความงาม
หลังทำเสร็จให้เก็บใส้ขวดทึบแสง แต่หากไม่มีขวดสีชา หรือขวดทึบแสงแบบพี่โอ๋ ก็ให้เก็บขวดใสที่มีน้ำกุหลาบอยู่ในตู้ทึบแสงแทนได้ค่ะ ยิ่งถ้าสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้ก็ยิ่งดี เพราะบ้านเราที่ไทยอุณหภูมิจะสูงกว่าต่างประเทศ
หากเก็บรักษาได้ถูกวิธีตามที่บอกไป จะสามารถอยู่ได้ถึง 6 เดือน โดยไม่ต้องใส่สารเคมีวัตถุกันเสียแต่อย่างใดเลย
ทั้งนี้ หลังถ่ายภาพนี้เสร็จ พี่โอ๋ก็เปลี่ยนใจ นำน้ำกุหลาบไปใส่ไว้ในขวดสเปรย์ เพราะต้องการนำไปสเปรย์หน้า ก่อนการทาครีมบำรุงในทุกๆวันค่ะ นอกจากกลิ่นกุหลาบที่หอมเป็นเอกลักษณ์ของดอกไม้ชนิดนี้แล้ว ยังได้ความชุ่มชื้น รวมถึงให้ความรู้สึกถึงผิวที่นุ่มลงอีกด้วยค่ะ
ส่วนน้ำกุหลาบที่ได้มาจากการต้มนั้น พี่โอ๋นำไปใช้ผสมอาหารมาแล้ว 1 เมนู และยังมีเหลืออีกเยอะมากกกกกก ซึ่งกำลังหาวิธีแปรรูป หรือนำไปใช้แบบอื่นๆ ต่อไป หากได้ลองทำสำเร็จเมื่อไหร่ จะนำมาแชร์ให้ทราบกันอีกครั้งนะคะ
และหากใครอ่านยาวๆ จนงง แนะนำให้เข้าไปดูวิธีทำในวีดีโอ 4 นาทีกว่าๆ ไม่ยาวมาก แค่วีดีโอเดียวจบ มีครบทั้งซับไทย-ลาว-อังกฤษ และอื่นๆ อีกเกือบๆ 30 ภาษาให้เลือกกัน ตามลิ้งค์นี้นะคะ https://youtu.be/X6hIIkXS8gQ
พบกันใหม่เมื่อหาวิธีนำน้ำกุหลาบสีชมพูนี้ไปทำอย่างอื่นอย่างใดได้ค่ะ ขอบที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ด้วยค่ะ สวัสดีค่าาาา