อย่างที่เจ้าของกระทู้เคยมาเล่าให้ฟังแล้วเมื่อกลางปี2019เจ้าของกระทู้ได้ตรวจเจอมะเร็งเต้านมระยะที่2 จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการรักษาทั้งผ่าตัดคีโมแต่ดันโชคร้ายที่คีโมเข็มสุดท้ายเจ้าของกระทู้เกิดปอดติดเชื้อ(อันนี้เคยมาตั้งกระทู้เล่าไว้แล้วเลยขออนุญาตไม่เล่าซ้ำนะคะ) ด้วยความที่กว่าโรงพยาบาลจะรู้ว่าติดเชื้อและเป็นเชื้อตัวไหนนั้นมันก็ลามเข้าสู่กระแสเลือดและหัวใจไปเรียบร้อยแล้วช่วงที่วิกฤตที่สุดคือการบีบตัวของกล้ามเนื้อของหัวใจ (EF)10% ซึ่งในคนปรกติจะต้อง55%ขึ้นไปตอนนั้น(มกรา2020)เจ้าของกระทู้ต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล3เดือนเต็มๆด้วยการเคลื่อนไหวตัวให้น้อยที่สุดเพราะเสี่ยงที่หัวใจจะหยุดทำงาน
พอครบสามเดือนอาการก็ดีขึ้นตอนออกจากโรงพยาบาลEF20%(ต้องกินยาโรคหัวใจ 3 ชนิด ยาแก้กรดไหลย้อนและยาขับปัสสาวะ2ชนิดวันละ2ครั้ง) ด้วยความที่ติดเชื้ออย่างรุนแรงและเคลื่อนไหวน้อยเป็นเวลานานผลที่ตามมาคือกล้ามเนื้ออ่อนแรงต้องมาหัดเดินหัดขึ้นบันไดใหม่ใช้เวลาเป็นเดือนๆในการก้าวขึ้นบันไดด้วยตัวเองอีกครั้งจากนั้นก็เริ่มออกกำลังกายเท่าที่ทำไหวเพิ่มความหนักหน่วงขึ้นทีละน้อยหลังจากนั้นหกเดือนต่อมาก็กลับไปวิ่งจ๊อกกิ้งเบาและยกเวทเบาๆได้อีกครั้งที่ EF 37% หมอก็สั่งงดยาแก้ไหลย้อนและยาขับปัสสาวะหนึ่งตัว
ผ่านไปหนึ่งปีก็เพิ่มระดับความเข้มข้นในการออกกำลังกายเช่นเดินเร็วๆขึ้นเขาชันๆยก deadliftข้าง10โล+แกนได้ครบสามเซ็ทหรือปั่นจักรยานเวลาออกกำลังกายจะเอาลิมิตตัวเองเป็นหลักดันให้ถึงขีดสุดพอถึงจุดที้ไม่ไหวก็จะหยุดไม่ฝืนต่อทำมาเรื่อยๆอีกหกเดือนก็ได้เข้าไปเช็คร่างกายอีกรอบคราวนี้EF เพิ่มเป็น 40%หมอสั่งงดยาขับปัสสาวะและยาโรคหัวใจ1ตัว
จากนั้นก็ใช้ชีวิตปรกติออกกำลังกายเป็นประจำพบหมอฟอลโลว์อัพมะเร็งไปเรื่อยจนเมื่อสิงหาที่ผ่านมาได้ไปเดินขึ้นบันได70ขั้นก็เลยเกิดความคิดว่าน่าจะลองวิ่งขึ้นเขาดู จะดูว่าหัวใจจะไหวมั้ย ปรากฏว่าวิ่งได้ค่ะ ตอนนั้นเรียกว่าดีใจสุดๆ
โดยส่วนตัวแล้วเชื่อว่านอกจากยาแล้วการออกกำลังกายมีส่วนช่วยอย่างมากในการรักษาอาการกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงในครั้งนี้
นอกจากกินยาแล้วการเล่นกีฬาก็เป็นตัวช่วยเสริมอย่างดียิ่งในการรักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง
พอครบสามเดือนอาการก็ดีขึ้นตอนออกจากโรงพยาบาลEF20%(ต้องกินยาโรคหัวใจ 3 ชนิด ยาแก้กรดไหลย้อนและยาขับปัสสาวะ2ชนิดวันละ2ครั้ง) ด้วยความที่ติดเชื้ออย่างรุนแรงและเคลื่อนไหวน้อยเป็นเวลานานผลที่ตามมาคือกล้ามเนื้ออ่อนแรงต้องมาหัดเดินหัดขึ้นบันไดใหม่ใช้เวลาเป็นเดือนๆในการก้าวขึ้นบันไดด้วยตัวเองอีกครั้งจากนั้นก็เริ่มออกกำลังกายเท่าที่ทำไหวเพิ่มความหนักหน่วงขึ้นทีละน้อยหลังจากนั้นหกเดือนต่อมาก็กลับไปวิ่งจ๊อกกิ้งเบาและยกเวทเบาๆได้อีกครั้งที่ EF 37% หมอก็สั่งงดยาแก้ไหลย้อนและยาขับปัสสาวะหนึ่งตัว
ผ่านไปหนึ่งปีก็เพิ่มระดับความเข้มข้นในการออกกำลังกายเช่นเดินเร็วๆขึ้นเขาชันๆยก deadliftข้าง10โล+แกนได้ครบสามเซ็ทหรือปั่นจักรยานเวลาออกกำลังกายจะเอาลิมิตตัวเองเป็นหลักดันให้ถึงขีดสุดพอถึงจุดที้ไม่ไหวก็จะหยุดไม่ฝืนต่อทำมาเรื่อยๆอีกหกเดือนก็ได้เข้าไปเช็คร่างกายอีกรอบคราวนี้EF เพิ่มเป็น 40%หมอสั่งงดยาขับปัสสาวะและยาโรคหัวใจ1ตัว
จากนั้นก็ใช้ชีวิตปรกติออกกำลังกายเป็นประจำพบหมอฟอลโลว์อัพมะเร็งไปเรื่อยจนเมื่อสิงหาที่ผ่านมาได้ไปเดินขึ้นบันได70ขั้นก็เลยเกิดความคิดว่าน่าจะลองวิ่งขึ้นเขาดู จะดูว่าหัวใจจะไหวมั้ย ปรากฏว่าวิ่งได้ค่ะ ตอนนั้นเรียกว่าดีใจสุดๆ
โดยส่วนตัวแล้วเชื่อว่านอกจากยาแล้วการออกกำลังกายมีส่วนช่วยอย่างมากในการรักษาอาการกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงในครั้งนี้