JJNY : 4in1 น้ำทะเลหนุนไม่ใช่บอกทำอะไรไม่ได้│ชาวนาสกลฯโอดราคาสวนค่าปุ๋ย│หมูแพงใช่จะได้กำไร│อิสราเอลซ้อมรับมือโควิดใหม่

Thames Barrier จากวิกฤติสู่การป้องกันน้ำท่วม London จากน้ำทะเลหนุนสูง ไม่ใช่บอกทำอะไรไม่ได้
https://brandinside.asia/thames-barrier-london-flood-prevention/
 
 
แม้ปัญหา น้ำท่วม จากปรากฏการณ์ธรรมชาติ อาจจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะจากปัจจัยสภาพอากาศหรือโครงสร้างของตัวเมือง เช่น ความสูงจากระดับน้ำทะเลหรือตำแหน่งที่ตั้งที่ติดแม่น้ำหรือทะเล แต่กรณีของกรุงเทพ ที่หากนับจากภัยพิบัติน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เราก็ยังเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมอยู่ตลอด ประหนึ่งภาครัฐไม่มีการเรียนรู้และออกมาตรการป้องกันหรือบรรเทาใดๆ ออกมา
 
กรุงลอนดอนเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดเคสหนึ่ง ในการป้องกันน้ำท่วมจากปัญหาน้ำทะเลหนุนสูง เนื่องจากตัวเมืองมีแม่น้ำเทมส์ (Thames River) พาดผาดกลางเมืองเหมือนกรุงเทพ และเคยเผชิญปัญหาน้ำท่วมจากน้ำทะเลหนุนสูงเหมือนกัน ซึ่งภาครัฐได้ตัดสินใจสร้าง Thames Barrier หรือผนังกั้นแม่น้ำเทมส์ ซึ่งช่วยป้องกันตัวเมืองลอนดอนชั้นในไม่ให้ถูกน้ำท่วมมาได้หลายครั้ง
 
จากวิกฤติสู่การป้องกัน
 
กรุงลอนดอนในอดีตประสบปัญหาน้ำท่วมจากน้ำทะเลหนุนสูงมาหลายครั้ง เนื่องจากมีพื้นที่ติดทะเล และมีแม่น้ำเทมส์ตัดผ่านกลางเมือง เช่นในปี 1663 และ 1928 ก่อนที่ครั้งล่าสุดเมื่อปี 1953 จะเผชิญกับวิกฤติน้ำท่วมครั้งใหญ่จากพายุที่พัดถล่ม ทำให้น้ำทะเลหนุนสูงถึง 4.7 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ทำให้น้ำจากแม่น้ำเทมส์เข้าท่วมกรุงลอนดอนกินพื้นที่กว่า 600 ตารางกิโลเมตร จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 307 ราย
 
วิกฤติครั้งนั้นทำให้รัฐบาลเริ่มตระหนักว่าแนวคันกั้นน้ำตามชายฝั่งและตามแนวแม่น้ำเทมส์เริ่มไม่เพียงพอ ไม่สามารถป้องกันได้ในระยะยาว แถมกระทบภาพวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำ รัฐบาลท้องถิ่นกรุงลอนดอนเลยตัดสินใจผ่านกฎหมายป้องกันน้ำท่วม (Flood Protection Act) ในปี 1972 และกลายมาเป็นแนวประตูกั้นน้ำแบบเปิดปิดได้ หรือ Thames Barrier ที่ใช้งบประมาณราว 7 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบเป็นมูลค่าเงินในปัจจุบัน
 
Thames Barrier แนวป้องกันที่เห็นผลและมีประสิทธิภาพ
 
Thames Barrier เริ่มสร้างเมื่อราวปี 1974 ใช้เวลา 8 ปีจึงเสร็จสิ้นในปี 1982 และเริ่มใช้งานเมื่อปี 1983 ด้วยตอม่อรูปลักษณ์ทรงโดมขนาดใหญ่สูง 20 เมตร ทำหน้าที่เป็นกลไกระบบไฮดรอลิกสำหรับเปิดปิดประตู 10 ประตูที่มีความสูง 15 เมตร แต่ละประตูหนัก 3,000 ตัน วางตัวตามแนวกว้างของแม่น้ำเทมส์เป็นระยะทาง 520 เมตร ในย่านวูลวิช (Woolwich) ทางตอนใต้ของกรุงลอนดอน เพื่อป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ตอนกลางของกรุงลอนดอน ที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ คิดเป็นพื้นที่ราว 125 ตารางกิโลเมตร

แต่ละประตูจะใช้เวลาประมาณ 10 นาทีในการปิดและทั้งแนวกำแพงกั้นน้ำจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งเพื่อปิดสนิท และจะกลับมาเปิดอีกครั้งเมื่อระดับน้ำเหนือประตู (ต้นแม่น้ำ) และหลังประตู (ปลายแม่น้ำติดทะเล) อยู่ในระดับเท่ากัน โดยประตูสามารถเปิดแบบแง้ม เพื่อควบคุมปริมาณน้ำให้สามารถระบายจากฝั่งหนึ่งไปอีกหนึ่งได้ด้วย
 
และเมื่อไม่ได้ใช้งาน ตัวประตูจะถูกจะวางเอาตัวเอาไว้ที่ก้นแม่น้ำ เพื่อให้เรือสามารถสัญจรผ่านได้อย่างสะดวก
 
Thames Barrier กลายเป็นแนวป้องกันน้ำท่วมที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลกต่อจาก Oosterscheldekering ที่เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็ค Delta Works ป้องกันน้ำท่วมของเนเธอร์แลนด์
 
ตลอดระยะเวลา 38 ปีที่ถูกใช้งานมา Thames Barrier ถูกเปิดปิดเพื่อป้องกันน้ำท่วมกรุงลอนดอนชั้นในและพื้นที่สำคัญมาแล้วกว่า 200 ครั้งนับตั้งแต่เริ่มเปิดใช้งาน
 
บางปีประตูกั้นน้ำก็ไม่ถูกปิดเลย แต่หนึ่งในช่วงที่ Thames Barrier ถูกใช้งานหนักและมีประสิทธิภาพที่สุดคือราวปลายปี 2013 ถึงต้นปี 2014 ที่มีฝนตกหนัก และระดับน้ำทะเลหนุนสูง ทำให้มีการปิดประตูกั้นน้ำกว่า 28 ครั้ง ภายในระยะเวลา 3 เดือน ซึ่งนับเป็นสัดส่วน 1 ใน 5 จาก 150 ครั้งที่มีการเปิดปิดประตู ตั้งแต่เริ่มเปิดใช้งานจนถึงต้นปี 2014
 
Thames Barrier เดิมถูกออกแบบมาให้ป้องกันน้ำท่วมระดับมหาวิกฤติได้ถึงราวปี 2030 แต่การคาดการณ์ล่าสุดจากการวิเคราะห์ปริมาณน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีจากภาวะโลกร้อน ก็คาดว่า Thames Barrier น่าจะช่วยป้องกันกรุงลอนดอนจากน้ำท่วมไปได้ถึงราวปี 2060-2070
 
นอกจากนี้ช่วงที่ผานมา รัฐบาลท้องถิ่นกรุงลอนดอนก็มีการวิจัยและพัฒนามาตรการป้องกันน้ำท่วมอื่นๆ ร่วมด้วยมาตลอด อย่างโครงการ Thames Estuary 2100 ในปี 2010 ที่จะมีการสร้างแนวป้องกันน้ำท่วม ประตูกั้นน้ำหรือโครงสร้างอื่นๆ ที่ช่วยป้องกันน้ำท่วมจากแม่น้ำเทมส์กว่า 480 โครงการย่อย
 
กรุงลอนดอนเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการใช้เทคโนโลยี การวางแผนและระบบขึ้นมาป้องกันและบรรเทาปัญหา ซึ่งแน่นอนว่าปัจจัยสำคัญคือวิสัยทัศน์และความจริงจังในการแก้ปัญหาของภาครัฐ ที่ออกมาเป็นรูปธรรมและได้ผลจริง ไม่ใช่แค่การเตือนให้ยกของขึ้นที่สูง แล้วบอกว่า ก็เตือนแล้ว ทำอะไรไม่ได้
 
อ้างอิง – Gov.uk (1, 2), Institute of Civil Engineer, BBC (1, 2)
 

 
ชาวนาสกลฯ ปล่อยข้าวสุกคานา โอดแทบจะอยู่ไม่รอด ราคาต่ำสวนทางค่าปุ๋ย
https://ch3plus.com/news/category/265518
 
ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ ส่งผลให้วันนี้ชาวนาชะลอการเก็บเกี่ยว ปล่อยให้ข้าวสุกคานากันแล้ว
 
ที่ สกลนคร พบ ชาวนาปล่อยให้ข้าว สุกงอมเหลืองอร่ามคาพื้นนา เนื่องจากเห็นว่าจะเก็บเกี่ยว ก็ไม่คุ้มกับต้นทุนที่ลงไป เพราะวันนี้ข้าวเปลือกราคาเพียงกิโลกรัมละ 5 บาทเท่านั้น จึงรอดูว่าราคาจะปรับขึ้นหรือไม่ ทำให้วันนี้มีการเกี่ยวข้าวเพียงร้อยละ 15% เท่านั้น จากจำนวนนาข้าวกว่า 8,000 ไร่ นางวันเพ็ญ เทพอ่อนอายุ 65 ปี ชาวนาบ้านนาดอกไม้ ตำบลฮางโฮง บอกว่า ราคาข้าวถูกมาก จนจะอยู่ไม่รอดแล้ว
 
ขณะที่ชาวนาจังหวัดยโสธร จำใจต้องเก็บเกี่ยวข้าว แม้ราคาจะตก เหลือกิโลกรัมละ 5 -6 บาท เพื่อนำเงินไปใช้หนี้เงินกู้ธนาคาร ที่กู้มาลงทุน ชาวนา บอกว่า เกิดมาไม่เคยเห็นราคาข้าวตกต่ำขนาดนี้ สวนทางกับราคาปุ๋ย ที่ตกกระสอบละเป็น 1,000 บาท ยาปราบศัตรูพืชก็แสนแพง ยังไม่รวมค่ารถไถ รถเกี่ยวข้าว และค่าน้ำมันที่ขึ้นทุกวัน
 
ส่วนที่ โคราช ชาวนาตัดสินใจสีข้าว แล้วนำมาวางขาย ริมถนนมิตรภาพ ช่วงผ่านอำเภอสีดา จะเห็นสองข้างทาง มีชาวนาตั้งแผงขายข้าวสารกันหลายราย ชาวนาบางรายถึงขนาดลงทุนซื้อเครื่องสีข้าวมาใช้สีข้าวขายเอง เนื่องจากได้ราคาดีกว่าไปขายข้าวเปลือกให้กับโรงสี โดยได้ราคาถึงกิโลกรัมละ 30-34 บาท ซึ่งก็ได้รับความสนใจประชาชน จอดรถแวะซื้อ อุดหนุนกันไม่ขาดสาย
 

 
เกษตรกรโอด หมูแพงใช่จะได้กำไร ขาดทุนสะสม 3 ปีแล้ว
https://ch3plus.com/news/category/265516

เกษตรกรโอด หมูแพงใช่จะได้กำไร ขาดทุนสะสม 3 ปีแล้ว
 
เกษตรกรเลี้ยงหมู ร้องขอผู้บริโภคเข้าใจ หมูแพง ใช่จะขายได้กำไร ความเป็นจริง ราคาขายยังไม่คุ้มต้นทุน แถมขาดทุนสะสมมากว่า 3 ปีแล้ว
 
นายสัตวแพทย์วิวัฒน์ พงษ์วิวัฒนชัย อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า ปัจจุบันเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู กำลังเผชิญผลกระทบ ทั้ง น้ำท่วมที่สร้างความเสียหายแก่ฟาร์มเลี้ยงหมู และยังมีโรคระบาด ทำให้แม่พันธุ์หมู เสียหายไปมากกว่า 300,000 ตัว ฟาร์มหมูขุนได้รับความเสียหายไป 30% บวกกับโควิด-19 ทำให้การบริโภคเนื้อหมูลดลงด้วย
 
นอกจากนี้ ยังต้องแบกรับภาระต้นทุนค่าวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สูงขึ้นแทบทุกตัว โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จากราคา 8.50 บาท ปรับขึ้นเป็น 12.50 บาทต่อกิโลกรัม รวมถึงปลายข้าว ที่แม้ขณะนี้ข้าวจะราคาแสนถูก แต่ปลายข้าวราคาขึ้นไปถึงกระสอบละ 1,100 บาทแล้ว และยังมีต้นทุนในการจัดการป้องกันโรคในสุกร อีก 300-400 บาทต่อตัว
 
โดยสิ่งที่เกษตรกรทุกคนอยากร้องขอ คือ ขอให้ผู้บริโภคเข้าใจ หมูแพงใช่ว่า จะขายได้กำไร เพราะในความเป็นจริง ราคาที่ขายได้ ยังไม่คุ้มกับต้นทุน  เพราะวันนี้ต้นทุนถีบตัวสูงขึ้น ไปมากกว่ากิโลกรัมละ 80 บาทแล้ว สูงกว่าราคาหมูหน้าฟาร์ม ส่งผลเกษตรกรต้องประสบภาวะขาดทุนสะสมมากว่า 3 ปีแล้ว

ขณะที่ราคาหมูขายปลีกยังขึ้นแบบรายวัน ที่ ตลาดสดเทศบาล จังหวัดเชียงราย ราคาเนื้อหมูชำแหละหน้าเขียง อยู่ที่กิโลกรัมละ160-180 บาท แม่ค้าขายหมู บอกว่า ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาค่าขนส่งหมูปรับเพิ่มขึ้นด้วย เขียงหมูจึงต้องบวกเพิ่มตาม ขณะที่ราคาหมูแพง ทำให้ขายหมูลำบาก ส่งผลวันนี้ เหลือเเผงขายหมูเพียง 3 - 5 แผง เท่านั้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่