จะล้างแค้นรอหลายสิบปีก็ไม่มีสายกับเรื่องราวของถูอันกู่ Part 1

ถูอันกู่เป็นขุนนางที่โลดแล่นอยู่ในช่วงกลางยุคชุนชิว โดยเขารับราชอยู่ในแคว้นจิ้น รับใช้เจ้าแคว้นจิ้นถึงสามคน และมีเรื่องราวที่น่าสนใจมากๆ ในเรื่องการตามล้างแค้นและถูกล้างแค้น จึงอยากเอามาเล่าให้ทุกท่านฟังเพื่อความสนุกสนาน แต่การจะเล่าเรื่องความแค้นของถูอันกู่ให้เข้าใจครบถ้วนนั้น จำเป็นต้องเล่าย้อนไปถึงการขึ้นสู่อำนาจของสกุลจ้าว ภายใต้การนำของจ้าวตุนเสียก่อนครับ
 
จ้าวตุนนั้นเป็นบุตรของจ้าวส่วย หนึ่งในขุนนางคนสำคัญที่ติดตามจิ้นเหวินกงออกเร่ร่อนถึงยี่สิบแปดปี ก่อนจะได้กลับมาเป็นเจ้าแคว้นจิ้น พอจิ้นเหวินกงได้ครองแคว้นจิ้นแล้ว จ้าวส่วยก็เป็นกำลังสำคัญในการช่วยวางแผนทำให้แคว้นจิ้นได้เป็นใหญ่เหนือแคว้นต่างๆในยุคชุนชิว และส่งให้จิ้นเหวินกงกลายเป็นห้าอธิราชผู้ยิ่งยงอีกด้วย

เมื่อจ้าวส่วยตาย จ้าวตุนก็ได้รับราชการต่อจากบิดา เขามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้แคว้นจิ้นในยุคของจิ้นเซียงกงยังดำรงความยิ่งใหญ่อยู่ต่อมา 

ปีที่ 621 ก่อนคริสตกาล ตรงกับปีที่ 30 ของรัชกาลจักรพรรดิโจวเซียงอ๋อง จิ้นเซียงกงก็ป่วยตายในวัยหนุ่ม ทิ้งลูกชายเอาไว้หนึ่งคนชื่อว่า กงจื่ออี้เกา ซึ่งมีอายุเพียง 3-4 ขวบเท่านั้น ด้วยเหตุนี้พวกขุนนางในแคว้นจิ้นจึงปรึกษาหารือกันว่าจะสนับสนุนใครขึ้นเป็นเจ้าครองแคว้นดี โดยตอนแรกอยากจะเชิญน้องๆของจิ้นเซียงกงให้มาครองเมือง เพราะพวกเขามีอายุพอสมควรแล้ว น่าจะเป็นเจ้าแคว้นที่ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินให้รุ่งเรืองสืบไปได้

จ้าวตุนก็เป็นหนึ่งในตัวตั้งตัวตีที่สนับสนุน กงจื่อหยง ซึ่งเป็นน้องชายของจิ้นเซียงกง แถมมีศักดิ์เป็นหลานตาของฉินมู่กงให้มาครองแคว้นจิ้น โดยจ้าวตุนส่งเซียนมี่และสุยฮุ่ย สองขุนนางผู้ใหญ่ไปแคว้นฉินเพื่อเชิญตัวกงจื่อหยงกลับมาครองเมือง

ระหว่างที่รอให้กงจื่อหยงและทัพฉินยกมาครองเมืองนั้น ภรรยาม่ายของจิ้นเซียงกงที่ชื่อว่า นางมู่อิง ก็อุ้มกงจื่ออี้เกาเข้าไปหาจ้าวตุนถึงที่บ้าน นางมู่อิงร้องไห้ขอร้องจ้าวตุนและพูดว่า

“ลูกชายของข้าพเจ้านั้นอาภัพนัก ต้องเป็นกำพร้าบิดาตั้งแต่เล็ก เราสองแม่ลูกก็หวังพึ่งพิงท่านเป็นดั่งร่มไม้สืบไป ขอท่านโปรดเมตตาอุ้มชูบุตรของข้าพเจ้าให้ขึ้นเป็นเจ้าครองแคว้นด้วยเถิด หากสำเร็จเราสองแม่ลูกจะสำนึกพระคุณและตอบแทนท่านไปจนชั่วชีวิต”

ด้านจ้าวตุนพอเห็นนางมู่อิงและกงจื่ออี้เกามาร้องไห้ก็ให้คิดสงสาร พาลให้ระลึกถึงบุญคุณของจิ้นเซียงกงที่เคยมีมาแต่ก่อน ทำให้จ้าวตุนเริ่มลังเลที่จะสนับสนุนกงจื่อหยงให้มาครองเมือง อีกทั้งจ้าวตุนยังคิดว่า หากผลักดันให้เด็กอมมืออย่างอี้เกาขึ้นเป็นเจ้าหุ่นเชิดแล้วไซร้ อำนาจทั้งปวงในราชสำนักจิ้นก็จะตกอยู่ในมือตนทั้งสิ้น

พอรุ่งเช้า เซี่ยซิน ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหารก็เข้ามาหาจ้าวตุนแต่เช้าตรู่ พอทักทายคำนับตามธรรมเนียมแล้ว เซี่ยซินก็กล่าวขึ้นว่า

“บิดาข้าพเจ้าเป็นคนโทษมีความผิดหนักหนา แต่จิ้นเซียงกงก็ไม่ได้รังเกียจ รับข้าพเจ้าไว้เป็นขุนนางให้ยศศักดิ์สมฐานะ ข้าพเจ้าซาบซึ้งบุญคุณของจิ้นเซียงกงไม่เคยลืม มาวันนี้ได้ยินว่าท่านจะไปเชิญกงจื่อหยงมาครองเมือง เรื่องนี้ข้าพเจ้าไม่ยอม ขอท่านล้มเลิกความคิดเสียและเชิญกงจื่ออี้เกา บุตรของจิ้นเซียงกงขึ้นเป็นใหญ่เถิด จึงจะเหมาะสมด้วยประเพณี”

จ้าวตุนเห็นเซี่ยซินที่มีอำนาจทหารในมือคัดค้านการตั้งกงจื่อหยงหนักแน่นแบบนี้ ความลังเลในใจของจ้าวตุนก็หมดไป จึงกล่าวตอบไปว่า

“เดิมทีข้าพเจ้าคิดน้อยเกินไปและด่วนตัดสินใจเรื่องนี้ ไม่ได้ปรึกษาท่านซึ่งเป็นผู้ใหญ่เสียก่อน ความผิดข้าพเจ้าหนักหนามาก ขอท่านโปรดยกโทษด้วย มาตอนนี้ข้าพเจ้าสำนึกผิดแล้ว จะแต่งตั้งให้กงจื่ออี้เกาขึ้นเป็นเจ้าสืบสมบัติบ้านเมืองตามคำท่านว่า”

จ้าวตุน เซี่ยซิน และเหล่าขุนนางทั้งปวงก็พากันเข้าไปที่จวนเจ้าแคว้น ร่วมกันสถาปนากงจื่ออี้เกาขึ้นเป็นประมุขแห่งแคว้นจิ้น ภายหลังกงจื่ออี้เกาได้รับนามแต่งตั้งว่า จิ้นหลิงกง (ต่อไปจะขอเรียกว่าจิ้นหลิงกงนะครับ) และเนื่องจากจิ้นหลิงกงยังเด็กมาก เขาจึงแต่งตั้งจ้าวตุนขึ้นเป็นเซียงกั๋ว สำเร็จราชการบ้านเมืองเป็นสิทธิขาดแต่เพียงผู้เดียว ทำให้อำนาจของสกุลจ้าวเพิ่มพูนเข้มแข็งมาก

ภาพดาราที่เล่นเป็นถูอันกู่ จากภาพยนตร์เรื่องดาบแค้นสกุลจ้าว

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่