ก่อนอื่นต้องแจ้งทุกท่านก่อนอ่านกระทู้นี้ว่า เรื่องราวที่เขียนนี้ได้จบลงไปแล้ว มีการไกล่เกลี่ยระหว่างคู่กรณีจบเรียบร้อย แต่เนื่องจากผู้ก่อเหตุมีพฤติกรรมที่น่าสงสัยบางอย่างต่อตัวผม ผมจึงมาเขียนทิ้งเอาไว้หากอนาคตเกิดอะไรขึ้นกับตัวผม อย่างน้อยเนื้อหาในวันที่ผมเขียนนี้ก็จะใช้เป็นหลักฐานได้บ้าง
เหตุการณ์มีดังนี้
เมื่อราวปี 2560 มีนางสาว A (นามสมมติ) ได้สมัครเข้ามาทำงานเป็นพนักงานชั่วคราวในหน่วยงานของผม เธอเป็นคนหน้าตาดี กริยาดี ดูเป็นมิตร ผู้ชายที่เห็นก็อาจจะตกหลุ่มรักหรือชอบเธอ ซึ่งในนั้นรวมถึงตัวผมด้วย ในช่วงการทำงานก็มีพูดคุยหยอกล้อกันตามปกติ แต่สำหรับผมแล้วไม่เคยล่วงเกินเธอทางร่างกายใดๆ เพราะเธอก็มีสามีที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายอยู่แล้ว ประวัติของเธอก็พอสมควร มีพรรคพวกเยอะ มีผู้ชายติดพันเยอะ มีคนรู้จักเยอะ เพราะเคยทำงานเป็น PR ร้านเหล้ามาก่อน
จนช่วงปี 2561-2562 เกิดเหตุทรัพย์สิน (เงิน) ของพี่ที่ทำงานหาย พี่คนนี้มีกิจการควบคู่กับการทำงานประจำจึงมีเงินหมุนเวียนเป็นจำนวนมาก ในแต่ละวันพี่เขาจะพกเงินสดเพื่อนำมาเข้าบัญชีธนาคารหลายหมื่นบาท ผมเคยนำเงินสดไปฝากธนาคารให้พี่คนนี้ 1-2 แสน ต่อวันเลยทีเดียว ซึ่งเมื่อเงินหายไปพี่คนนี้ก็ไม่ได้โวยวายอะไรมาก แต่ก็แอบมาบอกหลายๆ คนว่า ทำไมเงินมันหายไป เพราะนับมาจากบ้านก่อนจะมาที่ทำงานมันเยอะกว่านี้ ที่ทำงานมีขโมยเหรอพี่เขาถามทุกๆ คน
ช่วงแรกๆ เราก็สงสัยคนงาน สงสัยแม่บ้าน สงสัยไปหมดแต่ก็จับมือใครดมไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐาน จนครั้งหนึ่งนางสาว A ได้ไปพูดกับคนอื่นๆ ว่า ผมน่าสงสัยที่สุด เพราะในช่วงการพักเที่ยงผมไม่เคยนั่งกินข้าวล้อมวงกับใคร จะหายออกไปจากที่ทำงานตลอด และกลับเข้ามาในช่วงที่ไม่มีใครรู้ ผมคับแค้นใจมากที่ถูกกล่าวหาแต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรเพราะพักเที่ยงทุกวันผมเลือกจะออกไปกินข้าวนอกที่ทำงานอยู่แล้ว เป็นเรื่องปกติที่ผมจะเข้าออกโดยที่ไม่มีใครเห็น
ด้วยความสงสัยและอยากพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ในช่วงปี 2562 ผมจึงแอบมาสืบดูว่าในช่วงที่ทุกคนออกจากที่ทำงานไปจัดกิจกรรมที่อื่น หรือช่วงพักเที่ยง ใครอยู่ในห้องคนเดียวและเขามีพฤติกรรมอย่างไร
จนได้คำตอบที่น่าตกใจ!!
หลังจากที่ได้คำตอบจากสายตาที่ตัวเองเห็น ด้วยความที่อยากให้โอกาสคนได้กลับใจ จึงพยายามส่งสัญญานบอกผู้ร้ายมาตลอด เช่นเขียนข้อความเตือนสติติดไว้ที่โต๊ะ หรือ พยายามเล่าเรื่องการกลับตัวกลับใจให้เขาฟัง แต่ก็ยังเกิดเหตุการณ์เดิมๆ (เงินหาย) ซ้ำอีก
ต้นปี 2563 นางสาว A ได้รับการบรรจุเป็นพนักงานประจำจึงต้องย้ายไปอยู่อีกฝ่ายหนึ่งในองค์กรเดียวกัน (แต่แยกอยู่คนละอาคาร) ผมรู้สึกสบายใจมากๆ เพราะอย่างน้อยคนคนหนึ่งก็จะได้แยกออกไปจากตรงนี้และคงจะไม่กลับมาก่อเหตุอะไรอีก ส่วนพี่ที่เงินหายก็จะได้สบายใจไม่ต้องกังวลอะไรอีกต่อไป แต่ผมคิดผิด เพราะทุกๆ วัน นางสาว A จะมาที่สำนักงานผมในช่วงเที่ยง เพื่อแวะมากินข้าวเที่ยงกับพี่ๆ เพื่อนๆ ในที่ทำงานเดิม แรกๆ ผมก็เฉยๆ และไม่คุยด้วย เพราะผมไม่อยากให้นางสาว A มาที่นี่อีก มีโอกาสแก้ตัวแล้วก็ไม่ควรกลับมาทำเรื่องเดิมๆ
จนมาถึงเดือนธันวาคมของปี 63 เกิดเหตุเงินหายครั้งใหญ่ในที่ทำงานอีกครั้ง พี่เจ้าของเงินถึงกับรับไม่ได้เพราะเงินหายเป็นจำนวนมาก (2-3 หมื่น) พี่เจ้าของเงินจึงมาคุยกับผมว่าจะทำอย่างไรดี ผมจึงเสนอว่าผมจะแอบติดกล้อง ip ไว้ที่โต๊ะ แล้วเราจะได้รู้กกันว่าใครเป็นขโมย
(มาถึงจุดนี้ผมคิดแล้วว่า ถึงเวลาที่ต้องทำอะไรสักอย่าง ในเมื่อเราเตือนสติเขามาตลอด และให้โอกาสกลับใจแล้ว แต่เขาไม่รับมัน ก็คงต้องเก็บหลักฐานและดำเนินการตามกฎหมาย)
ปลายเดือนธันวาคม ปี 63 เราก็ได้ภาพคลิปการทำชั่วของหัวขโมย และทุกคนก็ได้เห็นพฤติกรรมอันเลวร้ายของ
"นางสาว A"
หลังเกิดเหตุและมีหลักฐานพี่เจ้าของเงินนัดนางสาว A มาพูดคุย พร้อมจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด แต่ด้วยความสงสารจึงยอมความโดยให้นางสาว A ชดใช้เงินที่ได้ขโมยไป และให้โอกาสกลับตัวเพราะเห็นว่าเพิ่งบรรจุ ไม่อยากทำลายอนาคตกัน
หลังจากเหตุการณ์จบลง ผมเป็นคนที่หาวิธีเก็บหลักฐานจนได้ตัวขโมยตัวจริง กลับรู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะนางสาว A ได้ฝากเพื่อนร่วมงานมาถามว่า ผมลบคลิปหลักฐานไปหรือยัง ซึ่งผมได้แจ้งกับทุกคนไปแล้วว่าผมจัดการเรียบร้อยไปหมดแล้วตามที่ผู้เสียหายร้องขอ และไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ แล้วหลังทุกอย่างจบลง
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ผมกลับรู้สึกถูกคุกคามจากบุคคลแปลกหน้า เช่น มีชายสวมหมวกกันน๊อกมาขับรถวนหน้าบ้าน มีรถขับตามประกบลักษณะมาแอบดูผมทำกิจกรรมต่างๆ ผมเองก็ไม่อยากฟันธงว่าใครใช้คนเหล่านี้มาขู่ผมหรือเปล่า แต่จะเก็บหลักฐานไว้ให้หมด และถ้าวันหนึ่งผมเป็นอะไรไปอย่างน้อยกระทู้นี้ก็จะช่วยเป็นพยานเล็กๆ ให้ผมได้บ้าง
-----------------
สรุปพฤติกรรมของนาวสาว A
1. แอบขโมยเงิน (พี่) ในที่ทำงาน ตลอดปี 61-63 ครั้งละไม่มากเพื่อลดความสงสัย (ครั้งละ 1-3 พันบาท) อาจจะขโมยหลายครั้งต่อเดือน
2. ขโมยเงินครั้งละมากๆ ประมาณ 3-4 ครั้ง (ครั้งละ 3-4 หมื่นบาทหรือมากกว่า)
**สาเหตุที่เจ้าของทรัพย์ไม่สงสัยว่าเงินหายเวลาที่เงินหายไปครั้งละ 1-3 พันบาท เพราะความประมาทและคิดว่าตัวเองนับผิดมาจากบ้านเอง กลับกลายเป็นว่าในช่วงปี 61-63 เงินหายไปรวมกว่า 2 แสนบาท แต่ขาดหลักฐานจึงเรียกร้องคืนจากหัวขโมยทั้งหมดไม่ได้
เข้าไปรับรู้เรื่องการลักเล็กขโมยน้อย (เขียนไว้เป็นหลักฐานถ้าวันหนึ่งผมถูกปองร้าย)
เหตุการณ์มีดังนี้
เมื่อราวปี 2560 มีนางสาว A (นามสมมติ) ได้สมัครเข้ามาทำงานเป็นพนักงานชั่วคราวในหน่วยงานของผม เธอเป็นคนหน้าตาดี กริยาดี ดูเป็นมิตร ผู้ชายที่เห็นก็อาจจะตกหลุ่มรักหรือชอบเธอ ซึ่งในนั้นรวมถึงตัวผมด้วย ในช่วงการทำงานก็มีพูดคุยหยอกล้อกันตามปกติ แต่สำหรับผมแล้วไม่เคยล่วงเกินเธอทางร่างกายใดๆ เพราะเธอก็มีสามีที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายอยู่แล้ว ประวัติของเธอก็พอสมควร มีพรรคพวกเยอะ มีผู้ชายติดพันเยอะ มีคนรู้จักเยอะ เพราะเคยทำงานเป็น PR ร้านเหล้ามาก่อน
จนช่วงปี 2561-2562 เกิดเหตุทรัพย์สิน (เงิน) ของพี่ที่ทำงานหาย พี่คนนี้มีกิจการควบคู่กับการทำงานประจำจึงมีเงินหมุนเวียนเป็นจำนวนมาก ในแต่ละวันพี่เขาจะพกเงินสดเพื่อนำมาเข้าบัญชีธนาคารหลายหมื่นบาท ผมเคยนำเงินสดไปฝากธนาคารให้พี่คนนี้ 1-2 แสน ต่อวันเลยทีเดียว ซึ่งเมื่อเงินหายไปพี่คนนี้ก็ไม่ได้โวยวายอะไรมาก แต่ก็แอบมาบอกหลายๆ คนว่า ทำไมเงินมันหายไป เพราะนับมาจากบ้านก่อนจะมาที่ทำงานมันเยอะกว่านี้ ที่ทำงานมีขโมยเหรอพี่เขาถามทุกๆ คน
ช่วงแรกๆ เราก็สงสัยคนงาน สงสัยแม่บ้าน สงสัยไปหมดแต่ก็จับมือใครดมไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐาน จนครั้งหนึ่งนางสาว A ได้ไปพูดกับคนอื่นๆ ว่า ผมน่าสงสัยที่สุด เพราะในช่วงการพักเที่ยงผมไม่เคยนั่งกินข้าวล้อมวงกับใคร จะหายออกไปจากที่ทำงานตลอด และกลับเข้ามาในช่วงที่ไม่มีใครรู้ ผมคับแค้นใจมากที่ถูกกล่าวหาแต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรเพราะพักเที่ยงทุกวันผมเลือกจะออกไปกินข้าวนอกที่ทำงานอยู่แล้ว เป็นเรื่องปกติที่ผมจะเข้าออกโดยที่ไม่มีใครเห็น
ด้วยความสงสัยและอยากพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ในช่วงปี 2562 ผมจึงแอบมาสืบดูว่าในช่วงที่ทุกคนออกจากที่ทำงานไปจัดกิจกรรมที่อื่น หรือช่วงพักเที่ยง ใครอยู่ในห้องคนเดียวและเขามีพฤติกรรมอย่างไร จนได้คำตอบที่น่าตกใจ!!
หลังจากที่ได้คำตอบจากสายตาที่ตัวเองเห็น ด้วยความที่อยากให้โอกาสคนได้กลับใจ จึงพยายามส่งสัญญานบอกผู้ร้ายมาตลอด เช่นเขียนข้อความเตือนสติติดไว้ที่โต๊ะ หรือ พยายามเล่าเรื่องการกลับตัวกลับใจให้เขาฟัง แต่ก็ยังเกิดเหตุการณ์เดิมๆ (เงินหาย) ซ้ำอีก
ต้นปี 2563 นางสาว A ได้รับการบรรจุเป็นพนักงานประจำจึงต้องย้ายไปอยู่อีกฝ่ายหนึ่งในองค์กรเดียวกัน (แต่แยกอยู่คนละอาคาร) ผมรู้สึกสบายใจมากๆ เพราะอย่างน้อยคนคนหนึ่งก็จะได้แยกออกไปจากตรงนี้และคงจะไม่กลับมาก่อเหตุอะไรอีก ส่วนพี่ที่เงินหายก็จะได้สบายใจไม่ต้องกังวลอะไรอีกต่อไป แต่ผมคิดผิด เพราะทุกๆ วัน นางสาว A จะมาที่สำนักงานผมในช่วงเที่ยง เพื่อแวะมากินข้าวเที่ยงกับพี่ๆ เพื่อนๆ ในที่ทำงานเดิม แรกๆ ผมก็เฉยๆ และไม่คุยด้วย เพราะผมไม่อยากให้นางสาว A มาที่นี่อีก มีโอกาสแก้ตัวแล้วก็ไม่ควรกลับมาทำเรื่องเดิมๆ
จนมาถึงเดือนธันวาคมของปี 63 เกิดเหตุเงินหายครั้งใหญ่ในที่ทำงานอีกครั้ง พี่เจ้าของเงินถึงกับรับไม่ได้เพราะเงินหายเป็นจำนวนมาก (2-3 หมื่น) พี่เจ้าของเงินจึงมาคุยกับผมว่าจะทำอย่างไรดี ผมจึงเสนอว่าผมจะแอบติดกล้อง ip ไว้ที่โต๊ะ แล้วเราจะได้รู้กกันว่าใครเป็นขโมย (มาถึงจุดนี้ผมคิดแล้วว่า ถึงเวลาที่ต้องทำอะไรสักอย่าง ในเมื่อเราเตือนสติเขามาตลอด และให้โอกาสกลับใจแล้ว แต่เขาไม่รับมัน ก็คงต้องเก็บหลักฐานและดำเนินการตามกฎหมาย)
ปลายเดือนธันวาคม ปี 63 เราก็ได้ภาพคลิปการทำชั่วของหัวขโมย และทุกคนก็ได้เห็นพฤติกรรมอันเลวร้ายของ "นางสาว A"
หลังเกิดเหตุและมีหลักฐานพี่เจ้าของเงินนัดนางสาว A มาพูดคุย พร้อมจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด แต่ด้วยความสงสารจึงยอมความโดยให้นางสาว A ชดใช้เงินที่ได้ขโมยไป และให้โอกาสกลับตัวเพราะเห็นว่าเพิ่งบรรจุ ไม่อยากทำลายอนาคตกัน
หลังจากเหตุการณ์จบลง ผมเป็นคนที่หาวิธีเก็บหลักฐานจนได้ตัวขโมยตัวจริง กลับรู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะนางสาว A ได้ฝากเพื่อนร่วมงานมาถามว่า ผมลบคลิปหลักฐานไปหรือยัง ซึ่งผมได้แจ้งกับทุกคนไปแล้วว่าผมจัดการเรียบร้อยไปหมดแล้วตามที่ผู้เสียหายร้องขอ และไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ แล้วหลังทุกอย่างจบลง
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ผมกลับรู้สึกถูกคุกคามจากบุคคลแปลกหน้า เช่น มีชายสวมหมวกกันน๊อกมาขับรถวนหน้าบ้าน มีรถขับตามประกบลักษณะมาแอบดูผมทำกิจกรรมต่างๆ ผมเองก็ไม่อยากฟันธงว่าใครใช้คนเหล่านี้มาขู่ผมหรือเปล่า แต่จะเก็บหลักฐานไว้ให้หมด และถ้าวันหนึ่งผมเป็นอะไรไปอย่างน้อยกระทู้นี้ก็จะช่วยเป็นพยานเล็กๆ ให้ผมได้บ้าง
-----------------
สรุปพฤติกรรมของนาวสาว A
1. แอบขโมยเงิน (พี่) ในที่ทำงาน ตลอดปี 61-63 ครั้งละไม่มากเพื่อลดความสงสัย (ครั้งละ 1-3 พันบาท) อาจจะขโมยหลายครั้งต่อเดือน
2. ขโมยเงินครั้งละมากๆ ประมาณ 3-4 ครั้ง (ครั้งละ 3-4 หมื่นบาทหรือมากกว่า)
**สาเหตุที่เจ้าของทรัพย์ไม่สงสัยว่าเงินหายเวลาที่เงินหายไปครั้งละ 1-3 พันบาท เพราะความประมาทและคิดว่าตัวเองนับผิดมาจากบ้านเอง กลับกลายเป็นว่าในช่วงปี 61-63 เงินหายไปรวมกว่า 2 แสนบาท แต่ขาดหลักฐานจึงเรียกร้องคืนจากหัวขโมยทั้งหมดไม่ได้