พระพุทธเจ้าตรัสแก่พราหมณ์ สูตร 1 เสื่อมเพราะละเลยสติปัฏฐาน 4
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้พราหมณสูตร (ว่าด้วยพระสัทธรรมตั้งอยู่ไม่ได้นาน)
ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้น พราหมณ์
คนหนึ่งเข้าไป เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกะพระ
ผู้มีพระภาค เจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
" ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปัจจัย
เครื่องทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ไม่ได้นาน ในเมื่อพระตถาคตเสด็จ
ปรินิพพานแล้ว และอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องทำให้พระ
สัทธรรมตั้งอยู่ได้นาน ในเมื่อพระตถาคต เสด็จปรินิพพานแล้ว "
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
" ดูก่อนพราหมณ์ เพราะบุคคลไม่ได้เจริญ ไม่ได้กระทำให้มาก
ซึ่งสติปัฏฐาน ๔ พระสัทธรรมจึงตั้งอยู่ไม่ได้ ไม่ได้เจริญ ไม่ได้กระทำ
ให้มากซึ่งสติปัฏฐาน ๔ พระสัทธรรมจึงตั้งอยู่ไม่ได้นานในเมื่อตถาคต
ปรินิพพานแล้ว และเพราะบุคคลเจริญ กระทำให้มากซึ่ง สติปัฏฐาน ๔
พระสัทธรรมจึงตั้งอยู่ได้นาน ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว
สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร
มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ย่อมพิจารณา
เห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ... ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ... ย่อมพิจารณา
เห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา
และโทมนัสโนโลกเสีย
ดูก่อนพราหมณ์ เพราะบุคคลไม่ได้เจริญ ไม่ได้กระทำให้มากซึ่ง
สติปัฏฐาน ๔ เหล่านั้นแล พระสัทธรรมจึงตั้งอยู่ได้ไม่นาน ในเมื่อตถาคต
ปรินิพพานแล้ว
และเพราะบุคคลได้เจริญ ได้กระทำให้มากซึ่งสติปัฏฐาน ๔ เหล่า
นี้แล พระสัทธรรมจึงตั้งอยู่ได้นาน ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว พราหมณ์นั้นได้กราบทูล
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์ไพเราะ
ยิ่งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่
บุคคลผู้หลงทาง หรือตามประทีปในที่มืดด้วยหวังว่าผู้มีจักษุจักแลเห็นได้
ฉะนั้น ขอท่านพระโคดมโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะ
จนตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป
จบพราหมณสูตรที่ ๕
อีก 3 พระสูตร เนื้อหาใกล้เคียงกัน พระอานนท์ กับพระภัททะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ฐิติสูตร (ว่าด้วยการตั้งอยู่แห่งพระสัทธรรม)
ท่านพระภัททะนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว
ได้ถามท่านพระอานนท์ว่า
" ดูก่อนท่านอานนท์ อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องทำให้
พระสัทธรรมตั้งอยู่ไม่ได้นาน ในเมื่อพระตถาคตเสด็จปรินิพพานแล้วและ
อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้นาน ในเมื่อพระ
ตถาคตเสด็จปรินิพพานแล้ว "
ท่านพระอานนท์กล่าวว่า
" ดีละๆ ท่านภัททะ ท่านช่างคิด ช่างเฉียบแหลม ช่างไต่ถาม
เหมาะๆ ก็ท่านถามอย่างนี้หรือว่า ดูก่อนท่านอานนท์ อะไรเป็นเหตุ
เป็นปัจจัย เครื่องทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ไม่ได้นาน ในเมื่อพระตถาคต
เสด็จปรินิพพานแล้ว และอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องทำให้พระสัทธรรม
ตั้งอยู่ได้นาน ในเมื่อพระตถาคตเสด็จปรินิพพานแล้ว
พระภัททะกล่าวว่า " อย่างนั้น ท่านผู้มีอายุ "
ท่านพระอานนท์กล่าว ว่า
" ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เพราะบุคคลไม่ได้เจริญ ไม่ได้กระทำให้มาก
ซึ่งสติปัฏฐาน ๔ พระสัทธรรมจึงตั้งอยู่ไม่ได้นาน ในเมื่อพระตถาคตเสด็จ
ปรินิพพานแล้ว และเพราะบุคคลเจริญ กระทำให้มากซึ่งสติปัฏฐาน ๔
พระสัทธรรมจึงตั้งอยู่ได้นาน ในเมื่อพระตถาคตเสด็จปรินิพพานแล้ว
สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสีย.
ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ......
ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ......
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสีย
ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เพราะบุคคลไม่ได้เจริญ ไม่ได้กระทำให้มาก
ซึ่งสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้แล พระสัทธรรมจึงตั้งอยู่ไม่ได้นาน ในเมื่อพระ
ตถาคตเสด็จปรินิพพานแล้ว และเพราะบุคคลได้เจริญ ได้กระทำให้มาก
ซึ่งสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้แล พระสัทธรรมจึงตั้งอยู่ได้นาน ในเมื่อพระ
ตถาคตเสด็จปรินิพพาน แล้ว "
จบฐิติสูตรที่ ๒
ปริหานสูตร (ว่าด้วยความเสื่อมแห่งพระสัทธรรม)
สมัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์และท่านพระภัททะอยู่ ณ กุกกุฏาราม
ใกล้เมืองปาฏลีบุตร ครั้งนั้น ท่านพระภัททะออกจากที่เร้นในเวลาเย็นเข้า
ไปหาท่านพระอานนท์ถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระอานนท์ ครั้นผ่าน
การปราศรัยพอให้ระลึก ถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
ได้ถามท่านพระอานนท์ว่า
" ดูก่อนท่านอานนท์ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องทำให้
พระสัทธรรมเสื่อม อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องทำให้พระสัทธรรม
ไม่เสื่อม "
ท่านพระอานนท์กล่าวว่า
" ดีละๆ ท่านภัททะ ท่านช่างคิด ช่างเฉียบแหลมช่างไต่ถาม
เหมาะๆ ก็ท่านถามอย่างนี้หรือว่า ดูก่อนอานนท์ อะไรหนอเป็นเหตุเป็น
ปัจจัยเครื่องทำให้พระ สัทธรรมเสื่อม อะไรหนอเป็น เหตุเป็นปัจจัยเครื่อง
ทำให้พระสัทธรรมไม่เสื่อม "
พระภัททะกล่าวว่า " อย่างนั้น ท่านผู้เจริญ "
ท่านพระอานนท์กล่าว ว่า
"ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เพราะบุคคลไม่ได้เจริญ ไม่ได้กระทำให้มาก
ซึ่งสติปัฏฐาน ๔ พระสัทธรรมจึงเสื่อม และเพราะบุคคลได้เจริญได้กระทำ
ให้มากซึ่งสติปัฏฐาน ๔ พระสัทธรรมจึงไม่เสื่อม สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสีย.
ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ......
ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ......
ย่อมพิจารณาเห็น ธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสีย
ดูก่อนท่านผู้มี อายุ "
" เพราะบุคคลไม่ได้เจริญ ไม่ได้กระทำ ให้มากซึ่งสติปัฏฐาน ๔
เหล่านี้แล พระสัทธรรมจึงเสื่อม
เพราะบุคคลได้เจริญได้กระทำให้มากซึ่ง สติปัฏฐาน ๔ เหล่านั้นแล
พระสัทธรรมจึงไม่เสื่อม "
จบปริหานสูตรที่ ๓
สุทธกสูตร (ว่าด้วยการเจริญสติปัฏฐาน ๔)
" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สติปัฏฐาน ๔ เหล่านั้น
สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสีย
ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ......
ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ......
ย่อมพิจารณาเห็น ธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสีย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สติปัฏฐาน ๔ เหล่านั้นแล "
จบสุทธกสูตรที่ ๔
พระสูตรที่เกี่ยวกับเรื่องนี้จะเป็นเกี่ยวกับพระธรรมทั้งนั้น เรื่องสติปัฏฐาน 4 และเรื่องการถ่ายทอดเนื้อหาในพระสูตรในหมู่คณะสงฆ์ ไม่มีเรื่องการมีขึ้นของภิกษุณีแล้ว ทำให้สัทธรรมเสื่อม จาก 1000 ปี เหลือ 500 ปี ที่น่าจะมีการเพิ่มขึ้นมาในภายหลังพุทธกาล
สัทธรรมเสื่อม ไม่ใช่เพราะ การมีภิกษุณี
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อีก 3 พระสูตร เนื้อหาใกล้เคียงกัน พระอานนท์ กับพระภัททะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พระสูตรที่เกี่ยวกับเรื่องนี้จะเป็นเกี่ยวกับพระธรรมทั้งนั้น เรื่องสติปัฏฐาน 4 และเรื่องการถ่ายทอดเนื้อหาในพระสูตรในหมู่คณะสงฆ์ ไม่มีเรื่องการมีขึ้นของภิกษุณีแล้ว ทำให้สัทธรรมเสื่อม จาก 1000 ปี เหลือ 500 ปี ที่น่าจะมีการเพิ่มขึ้นมาในภายหลังพุทธกาล