สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) สิ่งจำเป็นสำหรับประเทศไทยในอนาคต

เมื่อเริ่มเข้าสู่ปลายปี เราจะนึกถึงหน้าหนาว และช่วง High season โดยเฉพาะปีนี้ที่โลกเริ่มฟื้นจากภาวะโควิด -19 ที่คาดการณ์กันว่าหลายๆประเทศน่าจะกลับมามีสภาพเศรษฐกิจที่ดี คนจับจ่ายใช้สอย ท่องเที่ยวกันอย่างเต็มที่ ซึ่งนอกจากเรื่องสภาพเศรษฐกิจแล้ว มีอีกอย่างนึงที่ปรับตัวขึ้นตามฤดูหนาวของทุกๆปี นั่นคือ “ราคาน้ำมัน” ยิ่งปีนี้เห็นได้ชัดเลยว่าราคาน้ำมันทั้งดิบและสำเร็จรูปทะยานสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์เลยทีเดียว สิ่งนึงที่เห็นได้ชัดเลยคือพอราคาเชื้อเพลิงประเภทน้ำมันขึ้นสูง ประเทศไทยเราผู้เป็นคนนำเข้าเชื้อเพลิงน้ำมันอย่างเต็มตัวก็ได้รับผลกระทบอย่างมาก ภาครัฐต้องกระโดดลงมาปรับนโยบายแบบชั่วคราวเพื่อตรึงราคาพลังงานน้ำมันอย่างเร่งด่วน ซึ่งจากที่เห็นผลกระทบดังกล่าววันนี้เลยจะมาชวนคุยถึงการลดใช้พลังงานน้ำมันตรงนี้ลง หันไปใช้พลังงานอย่างอื่นแทน จึงเป็นที่มาที่วันนี้จะมาชวนคุยในประเด็นนี้เรื่อง  สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society)


     สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) เป็นสังคมที่ผู้คนส่วนใหญ่หันมาร่วมมือกันลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในทุกรูปแบบที่เกิดจากการดำรงชีวิตปกติ เพื่อจะได้อยู่ร่วมกันในสังคมที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี  และหากใครยังไม่รู้จะบอกว่าประเทศไทยติด 1 ใน 10 ประเทศปัญหาสภาพแวดล้อมและมลพิษยอดแย่อีกด้วย  (Spoil : 10 ประเทศได้แก่ สิงคโปร์, รวันดา, จีน, อินเดีย, หมู่เกาะโซโลมอน, ภูฏาน, บอตสวานา, จอร์เจีย, เกาหลีใต้และไทย) 
โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ ได้อธิบายว่าสังคมคาร์บอนต่ำ มี 3 ลักษณะดังนี้ 1. สังคมที่ต้องช่วยกันลดความต้องการใช้พลังงาน 2. สังคมที่ต้องหลีกเลี่ยงการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลหรือน้ำมัน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และ 3. สังคมต้องมีมาตรการความมั่นคงทางพลังงานและเป็นสังคมที่มีการพบปะหารือกันในเรื่องความต้องการของคนทุกกลุ่มในสังคม 


     ในประเทศไทยมีหลายๆบริษัทหันมาส่งเสริมผลิตภัณฑ์ช่วยสังคมคาร์บอนต่ำเข้าทดแทน ที่เห็นได้ชัดเจนใน 2 – 3 ปีที่ผ่านมาที่นอกเหนือจากการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนก็คือ เรื่องการใช้ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า รถขนส่งรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า เรือยนต์ขนส่งพลังงานไฟฟ้า ทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลหรือน้ำมัน โดยเฉพาะรถโดยสารและเรือโดยสารของประเทศไทยที่มีอายุแต่ละคันยืนยาวววววววมากๆ ออกตัวทีควันดำลอยขึ้นฟ้าเต็มไปหมด ได้เริ่มถูกทดแทนด้วยรถไฟฟ้าและเรือไฟฟ้าสวยๆเงียบๆหรูๆหมดแล้ว น่าไปลองนั่ง ลองใช้บริการกันนะ 

     ทั้งเรือและรถบัสไฟฟ้าเหล่านี้ถูกพัฒนามาใช้ทดแทน การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลหรือน้ำมัน ได้อย่างดีเยี่ยม เป็นการเปิดประตูประเทศไทยให้ก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างเต็มตัว ซึ่งตรงนี้อยากให้ภาครัฐฯเข้ามาช่วยรณรงค์และหันมาสนับสับสนุนอย่างเต็มตัวสักที โดยขอยกตัวอย่างบริษัทที่กระตุ้นให้ภาครัฐเข้ามาช่วยอย่างบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ที่ทำรถยนต์ไฟฟ้าและสถานีอัดประจุไฟฟ้า  เคยพูดไว้ว่า 

     “หากภาครัฐออกนโยบายมาสนับสนุนการใช้รถ EV มากขึ้น จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามความตกลงปารีส ซึ่งประเทศไทยกำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ให้ได้ร้อยละ 20-25 หรือจำนวน 111-139 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ภายในปี 2573 และจะทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนสำคัญต่างๆ ในอาเซียน อีกทั้งยังช่วยยกระดับรายได้ของคนไทยให้ก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) ไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง” 

     ซึ่งตรงนี้ จขกท. สนับสนุนอย่างเต็มที่นะ เพราะการที่ประเทศจะหันมาเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำได้ ภาครัฐฯ ต้องเป็นผู้สนับสนุนอย่างเต็มที่ และเต็มกำลังทั้งในส่วนของภาคนโยบายและภาคการส่งเสริมการลงทุน ส่วนด้านการขับเคลื่อนธุรกิจให้เป็นรูปธรรม ผู้ประกอบการเค้าจะลุยกันต่อได้เอง  เพราะการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้านอกจากจะดีต่อโลกใบนี้แล้ว สังคมคาร์บอนต่ำตรงนี้สามารถเป็นหัวหอกสร้างรายได้และลดค่าใช้จ่ายให้ประเทศได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย 

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่