.
.
.
.
.
.
คังแจที่รับบูจองออกจากสถานีตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นเขาที่ชักชวนเธอหรือเป็นเธอที่ไม่อยากจะกลับบ้านในวันนี้ หรือเพราะทั้งคู่อยากจะใช้เวลาด้วยกันให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
คังแจพาบูจองมาเดินขึ้นเขาดูดาว ในค่ำคืนที่ลมแรงและหนาวเย็น แต่ในเต็นท์เล็กๆ หลังนี้กลับอุ่นจัด อาจถึงขั้นร้อนรุ่มด้วยไฟพิศวาสอย่างไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยวาจา
คังแจเล่าว่า เวลาที่เขาไปทำงาน เขานั่งรถม้าฟักทองไป เหมือนกับค่ำคืนนี้ พอสว่างทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเวลานี้ก็จะหายวับไป บูจองพลิกตัวกลับมาหาเขาแล้วถามเขาว่า . . ฉันขอจับหน้าคุณสักครั้งได้ไหมคะ . .
คังแจพลิกตัวมาหาบูจองให้เธอได้ทำตามที่ขอ เธอสัมผัสหน้าเขาแผ่วเบา แล้วพลิกตัวไปอีกด้าน คังแจถามเธอว่า ทำไมถึงดูเศร้าขนาดนี้ คุณดูเศร้าอยู่ตลอด
บูจองตอบเขาว่า เธอกำลังเศร้าอยู่จริงๆ ในขณะที่ใครๆ พากันพูดว่า เธอโมโหอยู่ตลอด เธอเองยังคิดว่าตัวเองเป็นแบบนั้นจริงๆ คังแจถามว่าใครว่าแบบนั้น เธอตอบว่า ทุกคนที่อยู่รอบตัวเธอ, คังแจย้อนว่า คุณพ่อไม่เป็นแบบนั้นนะ ผมก็เหมือนกัน, เธอขอบคุณเขาที่บอกว่าเธอดูเศร้า ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า เขาไม่ได้มองเธอเหมือนที่คนอื่นมองว่าเธอดูเหมือนโมโหอยู่ตลอด
[ แม้แต่จองซูเองยังเคยรำพึงกับลูกน้องว่าเมียเหมือนอารมณ์ไม่ดีอยู่ตลอด มองในมุมหนึ่ง บูจองก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เธอโมโหอยู่ตลอดหรืออย่างน้อยก็อารมณ์ไม่ดีอยู่ตลอดกับใครๆ ยิ่งคนไม่คุ้นเคยอย่างซุนกยูที่ยื่นน้ำใจให้เธอในห้องน้ำที่งานแต่งงานนั้น เธอก็พูดตรงอย่างที่ใครก็รู้สึกได้ว่าไม่ได้อยากเสวนาด้วย
ในมุมที่ฉันมองคือ บูจองไม่ได้แสดงท่าทีต่อคังแจเหมือนกับที่เธอแสดงออกกับคนอื่น เพราะคังแจมาเจอบูจองในห้วงยามที่เธออ่อนแอถึงขีดสุดและระบายความเศร้าออกมาต่อหน้าเขา คังแจคนที่เก็บซ่อนความเปลี่ยวเหงาไว้ภายใต้ความชิลจนมิดชิด เมื่อคนเหงาและคนเศร้ามาพบกันในจังหวะที่พอดิบพอดี อะไรบางอย่างในความเหงาและความเศร้าของพวกเขาจึงดึงดูดกันเหมือนแม่เหล็กกำลังแรง ]
บูจองบอกว่าเธอกลัว เพราะคังแจบอกว่า พอรุ่งเช้า ที่ตรงนี้ เวลานี้ ทุกอย่างจะหายไป เธอจึงอยากจะขอจับหน้าเขาสักครั้ง
คังแจเอื้อมมือไปเขี่ยผมที่ข้างหูของบูจอง แล้วค่อยๆ แตะหลังมือกับแก้มของเธอ บูจองเหมือนแทบจะหยุดหายใจ เธอหันกลับมาสบตาเขา
ทั้งคู่นอนหันหน้าหากัน สบตากันนิ่งนานหลายอึดใจ ราวกับเวลาหยุดเดิน เหมือนจะหยุดหายใจ คังแจเอื้อมมือไปแตะหลังบูจองแล้วโอบร่างเธอกระชับเข้ามาใกล้ตัวเขา ใกล้ชนิดที่แลกลมหายใจกันได้ มือของบูจองขยำเสื้อคังแจที่กั้นอยู่ระหว่างอกของทั้งคู่ไว้แน่น หน้าแนบหน้าริมฝีปากแทบจะแตะกัน แต่บูจองมุดหน้าลงเพียงนิดเดียว นิดเดียวจริงๆ คังแจคลายอ้อมกอดที่กระชับออก
คังแจลุกขึ้นนั่งอย่างคล้ายจะเข้าใจท่าทีของบูจอง ในฐานะหญิงมีสามีที่ไม่ได้เจนจัดอะไร เขาบอกเธอว่าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย
บูจองนอนกำมือนิ่ง . .
.
.
.
.
.
ต่อในคอมเมนต์ค่ะ
[LOST] คนหาย กับหัวใจที่บินหนีออกจากบ้าน (ep12)
.
.
.
.
.
.
คังแจที่รับบูจองออกจากสถานีตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นเขาที่ชักชวนเธอหรือเป็นเธอที่ไม่อยากจะกลับบ้านในวันนี้ หรือเพราะทั้งคู่อยากจะใช้เวลาด้วยกันให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
คังแจพาบูจองมาเดินขึ้นเขาดูดาว ในค่ำคืนที่ลมแรงและหนาวเย็น แต่ในเต็นท์เล็กๆ หลังนี้กลับอุ่นจัด อาจถึงขั้นร้อนรุ่มด้วยไฟพิศวาสอย่างไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยวาจา
คังแจเล่าว่า เวลาที่เขาไปทำงาน เขานั่งรถม้าฟักทองไป เหมือนกับค่ำคืนนี้ พอสว่างทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเวลานี้ก็จะหายวับไป บูจองพลิกตัวกลับมาหาเขาแล้วถามเขาว่า . . ฉันขอจับหน้าคุณสักครั้งได้ไหมคะ . .
คังแจพลิกตัวมาหาบูจองให้เธอได้ทำตามที่ขอ เธอสัมผัสหน้าเขาแผ่วเบา แล้วพลิกตัวไปอีกด้าน คังแจถามเธอว่า ทำไมถึงดูเศร้าขนาดนี้ คุณดูเศร้าอยู่ตลอด
บูจองตอบเขาว่า เธอกำลังเศร้าอยู่จริงๆ ในขณะที่ใครๆ พากันพูดว่า เธอโมโหอยู่ตลอด เธอเองยังคิดว่าตัวเองเป็นแบบนั้นจริงๆ คังแจถามว่าใครว่าแบบนั้น เธอตอบว่า ทุกคนที่อยู่รอบตัวเธอ, คังแจย้อนว่า คุณพ่อไม่เป็นแบบนั้นนะ ผมก็เหมือนกัน, เธอขอบคุณเขาที่บอกว่าเธอดูเศร้า ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า เขาไม่ได้มองเธอเหมือนที่คนอื่นมองว่าเธอดูเหมือนโมโหอยู่ตลอด
[ แม้แต่จองซูเองยังเคยรำพึงกับลูกน้องว่าเมียเหมือนอารมณ์ไม่ดีอยู่ตลอด มองในมุมหนึ่ง บูจองก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เธอโมโหอยู่ตลอดหรืออย่างน้อยก็อารมณ์ไม่ดีอยู่ตลอดกับใครๆ ยิ่งคนไม่คุ้นเคยอย่างซุนกยูที่ยื่นน้ำใจให้เธอในห้องน้ำที่งานแต่งงานนั้น เธอก็พูดตรงอย่างที่ใครก็รู้สึกได้ว่าไม่ได้อยากเสวนาด้วย
ในมุมที่ฉันมองคือ บูจองไม่ได้แสดงท่าทีต่อคังแจเหมือนกับที่เธอแสดงออกกับคนอื่น เพราะคังแจมาเจอบูจองในห้วงยามที่เธออ่อนแอถึงขีดสุดและระบายความเศร้าออกมาต่อหน้าเขา คังแจคนที่เก็บซ่อนความเปลี่ยวเหงาไว้ภายใต้ความชิลจนมิดชิด เมื่อคนเหงาและคนเศร้ามาพบกันในจังหวะที่พอดิบพอดี อะไรบางอย่างในความเหงาและความเศร้าของพวกเขาจึงดึงดูดกันเหมือนแม่เหล็กกำลังแรง ]
บูจองบอกว่าเธอกลัว เพราะคังแจบอกว่า พอรุ่งเช้า ที่ตรงนี้ เวลานี้ ทุกอย่างจะหายไป เธอจึงอยากจะขอจับหน้าเขาสักครั้ง
คังแจเอื้อมมือไปเขี่ยผมที่ข้างหูของบูจอง แล้วค่อยๆ แตะหลังมือกับแก้มของเธอ บูจองเหมือนแทบจะหยุดหายใจ เธอหันกลับมาสบตาเขา
ทั้งคู่นอนหันหน้าหากัน สบตากันนิ่งนานหลายอึดใจ ราวกับเวลาหยุดเดิน เหมือนจะหยุดหายใจ คังแจเอื้อมมือไปแตะหลังบูจองแล้วโอบร่างเธอกระชับเข้ามาใกล้ตัวเขา ใกล้ชนิดที่แลกลมหายใจกันได้ มือของบูจองขยำเสื้อคังแจที่กั้นอยู่ระหว่างอกของทั้งคู่ไว้แน่น หน้าแนบหน้าริมฝีปากแทบจะแตะกัน แต่บูจองมุดหน้าลงเพียงนิดเดียว นิดเดียวจริงๆ คังแจคลายอ้อมกอดที่กระชับออก
คังแจลุกขึ้นนั่งอย่างคล้ายจะเข้าใจท่าทีของบูจอง ในฐานะหญิงมีสามีที่ไม่ได้เจนจัดอะไร เขาบอกเธอว่าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย
บูจองนอนกำมือนิ่ง . .
.
.
.
.
.
ต่อในคอมเมนต์ค่ะ